ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 39 เชื่อแล้ว!
ตอนที่ 39 เชื่อแล้ว!
ฉีเล่ยวางนิ้วมือทั้งสามลงบนข้อมือของผู้กํากับดัง จากนั้นจึงได้หลับตานิ่งเพื่อฟังเสียงชีพจรให้ชัดเจน จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“หากผมวินิจฉัยไม่ผิด คุณเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บมาจริงๆ เมื่อราวหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ คุณได้รับบาดเจ็บที่บริเวณก้นกบมา..”
“พระเจ้า!”
ผู้กํากับถังถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความตกใจ!
“เป็นไปได้ยังไง?
“นี่เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
“พ่อหนุ่มคนนี้เป็นแพทย์พิเศษจริงๆน่ะเหรอ? เอ๊ะ! หรือว่าเป็นหมอดูกันแน่?”
เมื่อสัปดาห์ก่อน มีกลุ่มนักเที่ยว และนักดื่มในยามราตรี ทะเลาะวิวาทกันที่ในท์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ซึ่งคืนนั้นเป็นคืนที่ผู้กํากับตั้งอยู่เวรพอดี หลังจากได้รับรายงานเหตุทะเลาะวิวาท เขาก็ได้นําเจ้าหน้าที่ตํารวจออกไปดูเหตุการณ์ทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งหมดไปถึง หนึ่งในผู้ก่อเหตุก็ได้พูดจาหยาบคายให้ผู้กํากับทั้ง ทําให้เขาโมโหมาก และได้ยกเท้าข้างหนึ่งเหวี่ยงขึ้น เป้าหมายของเขาอยู่ที่ศรีษะของอันธพาลวัยรุ่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอันธพาลวัยรุ่นคนนั้นจะสามารถหลบได้ทัน ทําให้ผู้กํากับตั้งถึงกับเสียการทรงตัว และล้มลงก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง
คืนนั้น เขาถูกส่งตัวไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล แม้แพทย์จะได้ทําการเอ็กซ์เรย์กระดูสันหลังของเขาดูแล้ว แต่กลับไม่พบว่ามีการแตกหักแต่อย่างใด ทางโรงพยาบาลจึงให้เขากลับบ้านได้
แต่เมื่อกลับไปถึงบ้าน ตั้งดินกลับรู้สึกว่า ไม่ว่าจะนั่งหรือยืน เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ทําได้เพียงแค่นอนราบ แต่เมื่อเขาบังเอิญไปสัมผัสโดนบริเวณก้นกบเข้ากลับเจ็บปวดจนเหงื่อไหลท่วม
ด้วยเหตุนี้ ตั้งผนจึงได้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกอีกราวสองสามคน และทุกคนต่างก็วินิจฉัยตรงกันว่า กระดูกก้นกบของเขามีปัญหา ตั้งผนต้องกินยาอยู่หลายวันกว่าที่อาการจะค่อยๆทุเลาลง
ในระหว่างที่ผู้อํานวยการตั้งกําลังครุ่นคิดกับเรื่องนี้ด้วยความอัศจรรย์ใจอยู่นั้น นายตํารวจที่เข้ามาทําหน้าที่จดรายงานการสอบสวน ก็ได้หันไปถามฉีเลยว่า
“คุณหมอ ไม่ทราบว่าพอจะตรวจให้ผมบ้างได้มั้ยครับ? ผมจะได้รู้ว่าร่างกายของผมมีอะไรผิดปกติบ้าง”
ฉีเลยหันไปมองหน้านายตํารวจผู้นั้น ก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่ต้องจับชีพจร “ผมไม่จําเป็นต้องจับชีพจรของคุณ ก็สามารถบอกได้ว่าคุณจะมีอาการผมร่วงมาก และไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน มือเท้าของคุณก็จะเย็นและชาอยู่ตลอดเวลา ทุกเช้าที่ตื่นนอนขึ้นมา จะมีเหงื่อไหลท่วมตัว ผมพูดถูกต้องมั้ยครับ?”
และเวลานี้ สีหน้าของนายตํารวจชั้นผู้น้อยนายนั้น ก็มีอาการตกตะลึง และอัศจรรย์ใจไม่ต่างจากใบหน้าของผู้กํากับตั้ง เขาพยักหน้าหมึกๆราวกับไก่จิกข้าว พร้อมกับร้องตอบฉีเลยไปว่า
“ถูกต้องครับ! ถูกต้องทุกอย่าง! เอ่อ.. คุณหมอครับ ไม่ทราบว่าพอจะมีวิธีรักษาบ้างมั้ยครับ?”
“มีสิ! แล้วผมจะเขียนใบสั่งยาให้ คุณต้มยากินสักสองสามชุด รับรองว่าอาการจะดีขึ้นอย่างแน่นอน!”
“ครับคุณหมอ ขอบคุณครับ! นี่ครับปากกาแล้วก็กระดาษ!”
นายตํารวจชั้นผู้น้อยนายนั้น รีบยื่นกระดาษ และปากกาในมือให้กับฉีเลยทันที เพื่อให้เขาเขียนใบสั่งยาให้
เวลานี้ ผู้กํากับดังเชื่อสนิทแล้วว่า ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมิจฉาชีพนั้น คือแพทย์พิเศษจริงๆ!
เขาไม่เคยพบเจอแพทย์ที่เก่งขนาดนี้มาก่อน เพียงแค่จับชีพจรและสังเกตเพียงแค่ใบหน้า กลับสามารถบอกอาการของคนไข้ได้อย่างถูกต้องแม่นยํา หากทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศเช่นนี้ ยังไม่สามารถเป็นแพทย์พิเศษได้แล้ว ต้องเก่งมากกว่านี้แค่ไหนกันถึงจะเป็นได้เล่า?
แต่เมื่อผู้กํากับตั้งหันไปเห็นท่าทางกระตือรือร้นของนายตํารวจชั้นผู้น้อยเข้า เขาถึงบ่นในใจด้วยความโมโห
“ความเจ็บป่วยของเธอสําคัญกว่าความเจ็บปวยของฉันหรือยัง ไง? ฉันมาก่อน ควรจะต้องได้รับการรักษาก่อนสิ!”
ผู้กํากับตั้งถึงกับหันไปถามนายตํารวจชั้นผู้น้อยเสียงห้วน “ที่นี่เป็นห้องสอบสวนนะ! หรือคุณเห็นที่นี่โรงพยาบาล?”
นายตํารวจชั้นผู้น้อยถึงกับหน้าซีดด้วยความตกใจ และรีบหันไปตอบผู้กํากับตั้งทันที “ผู้กํากับครับ คือว่าผม…”
“ผมอะไร? หรือไม่ต้องสนใจกฎระเบียบแล้ว? แล้วนี่ยังไงกัน คุณหมออุตสาห์ตรวจ และเขียนใบสั่งยาให้ ทําไมยังไม่รีบไปหาชามาให้คุณหมอดื่มอีก?”
“เอ่อ.. ครับๆ! ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ!”
สีหน้าของนายตํารวจชั้นผู้น้อย เปลี่ยนจากกังวลมาเป็นยิ้มแย้มในทันที ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องสอบสวนอย่างรวดเร็ว
ผู้กํากับตั้งรีบหันไปยิ้มกว้างให้กับฉีเลย พร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่าของเขาอย่างลืมตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่พ่อหนุ่ม เอ่อ.. ไม่ใช่สิ! นายแพทย์พิเศษฉี คือก่อนหน้านี้ที่ผมกล่าวหาคุณเป็นมิจฉาชีพ ผม ผมขอโทษจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย ที่นี่เป็นห้องสอบสวน ไม่เหมาะสําหรับแพทย์พิเศษอย่างคุณ ถ้ายังไง ไปนั่งที่ห้องทํางานของผมจะดีกว่านะครับ!”
ผู้กํากับตั้งได้แต่แอบคิดดีใจว่า ในที่สุด เขาก็หาเหตุผลที่จะเชิญชายหนุ่มออกจากห้องสอบสวนได้เสียที!
แต่ฉีเล่ยกลับเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูง พร้อมกับร้องถามออกไปว่า “อะไรกันผู้กํากับยัง? แค่ผมตรวจวินิจฉัยบอกอาการโรคเล็กๆน้อยๆ คุณก็เชื่อ และสรุปว่าผมไม่ใช่มิจฉาชีพแล้วเหรอครับ? อย่าดีกว่าครับ ผมว่าสอบสวนต่อจนกว่าผมจะยอมรับสารภาพดีกว่านะครับ!”
” แค่จากข้อเท็จจริงที่ว่าฉันรู้วิธีรักษาผู้ป่วย ฉันสามารถสรุปได้ว่าฉันไม่ใช่คนแอบอ้าง ” ฉันคิดว่าฉันจะสารภาพต่อไป”
ผู้กํากับตั้งถึงกับเหงื่อตก และได้แต่นั่งหนักอกหนักใจ!
ทางด้านหวังเทียนดังซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวอีกหนึ่งคนของหลิวเฟิงเจิ้น ซึ่งกลับไปถึงที่ทํางานแล้ว และกําลังดื่มชาในถ้วยอยู่
วันนี้ หลังจากที่ส่งหลิวเชิงเจิ้นกลับบ้านแล้ว เขากับเลขานุการสาวอีกคน ก็ได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆตามคําสั่งของหลิวเฟิงเจิ้น หลังจากจัดการสะสางภารกิจตามคําสั่งจนเสร็จสิ้นแล้ว ขาทั้งสองข้างของเขาก็เหนื่อยล้าจนแทบไม่มีแรงเดิน
หวังเทียนดังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องทํางานหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน ระหว่างนั้นเขาก็ได้เปิดโทรศัพท์มือถือออกดูนัดหมาย และงานต่างๆที่ต้องทํา เพื่อตรวจเช็คดูอีกครั้งว่า ไม่ได้พลาดงานสําคัญใดๆไป
แต่เมื่อเขาอ่านพบข้อความที่บันทึกไว้ในงานที่ต้องทําวันนี้ว่า “ฉีเล่ยรายงานตัว” หวังเทียนหางถึงกับยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากตนเองอย่างแรง
“แย่แล้ว!”
หวังเทียนทั้งร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ นั่นเพราะเลขานุการสาวเพียงแค่เอาจดหมายไปให้ฉีเลย แต่เขานั้นจะต้องโทรไปแจ้งทางสํานักงานสุขภาพ แต่เขากลับลืมเสียงสนิท
หวังเทียนดังรีบกดโทรศัพท์โทรหาเกาว่านฮุย ซึ่งเป็นหัวหน้าสํานักงานสุขภาพทันที เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว ปลายสายก็รีบกดรับทันที
ทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย หวังเทียนฟังก็พูดขึ้นด้วยความร้อนใจ “คุณเกาครับ ไม่ทราบว่าวันนี้มีแพทย์พิเศษไปรายงานตัวที่สํานักงานบ้างหรือยัง?”
เกาว่านฮุยเข้าใจผิด เขาคิดว่าเรื่องที่มีคนมาแอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษนั้น ได้แพร่กระจายไปเข้าหูหลิวเฟิงเจิ้นแล้ว เขาจึงรีบพูดขึ้นเพื่อเอาหน้าในทันที
“อะไรกันครับ? นี่คุณหวังก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันเหรอครับ! ความจริงผมมองปราดเดียวก็รู้แล้วครับ ว่าหมอนั่นเป็นพวกมิจฉาชีพแอบอ้างมาเป็นแพทย์พิเศษ แต่คุณหวังไม่ต้องห่วง ผมจัดการส่งตัวของมันไปที่สถานีตํารวจหลงซินเรียบร้อยแล้ว!”
หวังเทียนฟังได้ฟังคําพูดของเกาว่านฮุยเข้า เขาถึงกับใจเต้นรุนแรง ปากก็กรุ่นด่าเกาว่านฮุยเสียงดัง
“อะไรนะ?! นี่คุณทําบ้าอะไรลงไปรู้มั้ย? ขึ้นเจ้าหน้าที่ตํารวจทําอันตรายคุณหมอหลี่จนได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะก็ ทั้งคุณและผมคงต้องซวยกันหมดแน่! คุณสวดมนต์รอไว้ได้เลย!”
หวังเทียนดังตัดสายทิ้งโดยไม่รอฟังคําตอบจากเกาว่านฮุย และรีบกดโทรศัพท์หาเนี่ยจิง ซึ่งเป็นหัวหน้าสํานักงานความมั่นคงประจําเมืองหนานหยางทันที
เนี่ยจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องทํางานของตนเอง และกําลังก้มหน้าก้มตาดูแฟ้มคดีต่างๆอยู่ เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น และเห็นว่าผู้ที่โทรมาเป็นใคร เขาก็รีบกดรับสายในทันที
“โอ้โห! วันนี้เป็นวันดีอะไรของผม คุณเลขาใหญ่ถึงโทรมาหาได้ ทําไม? จะโทรมาตามไปดื่มคืนนี้หรือยังไง?”
“เรื่องดื่มเอาไว้ก่อน! ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วน่ะสิ!”
“เรื่องใหญ่งั้นเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่พลังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที น้ําเสียงกลัวหัวเราะพลันเปลี่ยนเป็นจริงจึงเช่นกัน เนี่ยจิงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ และได้แต่แอบคิดว่า
“หรือจะเกิดเหตุร้ายกับข้าราชการระดับสูงคนไหนเข้า?”
หวังเทียนทั้งรีบตอบกลับไปทันที “เกิดเรื่องเข้าใจผิดเข้า เพื่อนของฉันคนหนึ่งก็เลยถูกจับตัวไปส่งที่สถานีตํารวจหลงซินน่ะสิ?”
หลังจากได้ฟังรายละเอียด เนี่ยจิงถึงกับทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม และได้แต่คิดในใจว่า หวังเทียนทั้งพูดเสียจนเขาตกอกตกใจ ก็แค่เพื่อนถูกจับส่งตํารวจเพราะความเข้าใจผิด ไม่เห็นจะต้องทําเสียงคล้ายกับโลกจะถล่มเลย!
เนี่ยจิงตอบกลับทันที “ได้ๆ ฉันจะรีบโทรไปแจ้งทางโน้น ให้ปล่อยตัวเพื่อนนายเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
หวังเทียนฟังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “นี่ ฉันว่านายไปที่นั่นด้วยตัวเองจะดีกว่า แล้วฉันก็จะไปที่นั่นด้วย..”
หลังจากพูดจบ หวังเทียนฟังก็กดตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว!
หากฉีเลยเป็นเพียงแค่แพทย์คนหนึ่ง ต่อให้เขาจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศแค่ไหน หวังเทียนหังก็คงจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
แต่ประเด็นคือ.. เจ้านายของเขาเชื่อถือ และศรัทธาในตัวฉีเล่ยมาก และได้กําชับเขาให้จัดการส่งฉีเล่ยเข้าไปเป็นแพทย์พิเศษใน กรมอนามัยให้เรียบร้อย แต่เกิดปัญหากับฉีเล่ยขึ้นแบบนี้ เขาจะรายงานหลิวเฟิงเฉินได้ยังไงกัน?
หากเรื่องนี้รู้ถึงหูของหลิวเฟิงเจิ้นเข้า เขาในฐานะเลขานุการ ยังจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ทํางานอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?
หวังเทียนทั้งตั้งใจทํางานอย่างระมัดระวังมาตลอดหลายปี จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากหลิวเฟิงเจิ้น ให้มาทําหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัวให้ และให้ขึ้นเป็นผู้อํานวยการสํานักเลขาธิการประจํามณฑล