ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 52 เปิดใจ

ตอนที่52 เปิดใจ

ตุบ!

ฉีเล่ยผละร่างตัวเองออกจากอีกฝ่ายและวางชามก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะเครื่องแป้งของหลี่ถงซี พร้อมเอ่ยปากกล่าวน้ำเสียงดุดันยิ่งว่า

“ในฐานะที่เป็นถึงอาจารย์หมอ นี่คุณกลับไม่รู้เลยรึไงว่า ตัวเองกำลังป่วยทางจิต? นี่ก็ยี่สิบกว่าแล้ว อย่าว่าแต่ไม่เคยมีแฟน แค่เห็นผู้ชายก็รู้สึกขยะแขยง นี่ไม่คิดว่ามันแปลกเลยรึไงกัน?”

“ฉะ-ฉัน…ฉันแค่ยังหาคนที่ชอบไม่เจอเท่านั้น! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ? จะมาสนใจทำไม?”

“ไม่ใช่ว่าหาคนที่ชอบไม่เจอหรอก แต่คุณรังเกียจผู้ชายจับขั้วกระดูกแล้ว ยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ?”

“คุณ…”

“ยังคิดจะแก้ตัวอยู่อีก?! จิตผิดปกติขนาดนี้ยังคิดว่าตัวเองไม่ป่วยอยู่ไงห่ะ? อย่าลืมไปสิว่า ผมเป็นแพทย์และยังเป็นแพทย์ที่แม้แต่คุณปู่ของคุณเองยังให้เกียรติเชิญมาที่นี่ ยังต้องให้สาธยายอะไรอีกไหม? นี่จะทำให้คุณปู่ตัวเองต้องลำบากใจไปถึงเมื่อไหร่กัน?”

ฉีเล่ยไม่แม้แต่ให้โอกาสเธอปริปากโต้ตอบด้วยซ้ำ ระเบิดคำพูดร่ายใส่ชุดใหญ่ชนิดไม่มีเว้นช่องไฟให้แทรก

เขาไม่ได้ต้องการอวดเบ่งต่อหน้าสาวสวย เพียงต้องการสร้างความเชื่อมั่นของผู้ป่วยที่มีต่อตัวเขาเท่านั้น หากผู้ป่วยทางจิตไม่แม้แต่สามารถเชื่อใจแพทย์ที่พวกเขากำลังทำการรักษาอยู่ได้ นั้นเท่ากับว่าเธอจะไม่มีทางเปิดใจให้แพทย์เข้าสืบเสาะหาต้นเหตุได้เลย

หน้าที่ของฉีเล่ยในขณะนี้คือสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เธอ เพื่อเปิดใจและดูว่าปมสาเหตุที่แท้จริงของโรคดังกล่าวมันคืออะไรกันแน่?

ความคิดทัศนคติของคนจีนยังไม่ค่อยเปิดกว้างพอสำหรับเรื่องพวกนี้ ในความคิดของคนพวกนี้ อาการหรือโรคทางจิตนับเป็นเรื่องอับอายอย่างมาก แนวคิดยังคงโบราณคร่ำครึเกินไป บางคนแค่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า กลับโดนสังคมตีกรอบว่าบ้าก็ยังมีให้เห็นทั่วไป หรือแม้แต่เมื่อครู่ที่หลี่ฮั่วเฉินรำพึงรำพันไปก็เช่นกัน พอฉีเล่ยบอกว่า เธออาจจะกำลังป่วยทางจิต จู่ๆ เขาก็อุทานขึ้นทันทีว่า หรือหลานสาวของเขาจะนิยมชมชอบเพศเดียวกัน

จากคำพูดของหลี่ฮั่วเฉินมันสะท้อนให้เห็นถึงอะไร?

คำตอบก็ง่ายมาก มันสะท้อนให้เห็นถึงกรอบความคิดผิดๆ ที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยก่อน!

นี่จึงเป็นสาเหตุให้จำนวนประชากรของคนจีนที่ป่วยเป็นโรคทางจิตมากกว่าชาวตะวันตกหรือคนในแถบยุโรป อเมริกาเป็นต้น เพราะกลัวโดนคนอื่นตราหน้าว่า ‘เป็นบ้า’ จึงไม่กล้าบอกว่าตัวเองกำลังป่วยทางจิต

แน่นอนว่าอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่เป็นแบบนี้คือ ค่ารักษาโรคจำพวกทางจิตในจีนค่อนข้างมีราคาที่สูงมาก

ภายในห้องสี่เหลี่ยม หลี่ถงซีจับจ้องไปที่ฉีเล่ยด้วยสายตาอันว่างเปล่า เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองควรตอบอย่างไรกลับไปดี

เธอย่อมตระหนักถึงปัญหาของตนเองดีกว่าใคร ทั้งยังรู้อีกว่า บาดแผลทางจิตใจที่ฝังลึกอยู่นี้มันไม่สามารถลบเลือนออกไปได้เช่นกัน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หรือเธอ…ต้องเปิดใจเล่าเรื่องให้กับชายแปลกหน้าคนนี้ฟัง? อีกฝ่ายทั้งอายุน้อยกว่า อ่อนประสบการณ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แล้วช่วยอะไรเธอได้?

“เอาล่ะ จากนี้ต่อไป…ผมจะเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของคุณ ในฐานะจิตแพทย์ ผมควรทราบ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่?”

“ฉัน…”

หลี่ถงซีดูเหมือนต้องการจะพูด แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะเริ่มยังไง

ฉีเล่ยไม่กล้าผ่อนปรนละเลยอีกฝ่ายแม้แต่เสี้ยววินาที ตอนนี้เขาจำเป็นต้องทลาย ‘กำแพงแห่งจิตใจ’ ที่เธอสร้างขึ้นลงให้จงได้ นี่จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เธอยอมปริปากเล่าออกมา

“เขาคนนั้นเป็นใคร?”

ฉีเล่ยเอ่ยถามสวนกลับไปทันทีเชิงว่ารู้ทันอะไรบางอย่าง

สำหรับความรู้ทางด้านจิตวิทยา โดยปกติทั่วไปฉีเล่ยเป็นคนสนใจเกี่ยวกับเรื่องแนวนี้อย่างมาก ทั้งหนังสือศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ และ12ตัวชี้วัดทางจิตวิทยาของไฮเดอร์ [1] เขามักจะอ่านหนังสือแนวนี้มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงมีทักษะและชั้นเชิงการพูดคุยที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไปมาก

“คังฟาน”

หลี่ถงซีตกลงสู่กับดักทางจิตวิทยาของฉีเล่ยเรียบร้อย และยอมปริปากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดออกมา

“พอจะเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังได้ไหม?”

ฉีเล่ยเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งต่อทันที

หลี่ถงซีถึงกับสะดุ้งก่อนตระหนักได้ว่า เธอเผยจุดอ่อนของตนโดยไม่ตั้งใจออกไปเสียแล้ว สัญชาตญาณของผู้ป่วยทางจิตอย่างเธอจำต้องรีบสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจขึ้นมาโดยไว เธอเหลือบสายตามองฉีเล่ยเล็กน้อยอย่างระมัดระวังและเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชายิ่งว่า

“คุณจะรู้ไปทำไม?”

“ผมต้องการทราบต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้คุณเกลียดผู้ชาย คุณเลือกที่จะไม่เล่าก็ได้นะครับ ถ้าคิดว่าทนอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไปไหว? ตอนนี้คุณก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กๆ เรื่องบางเรื่องผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ผมขอพูดตรงนี้เลยนะครับว่า สิ่งเดียวที่ผมกลัวที่สุดคือ แนวโน้มอาการของคุณที่อาจทรุดหนักมากยิ่งขึ้น และถ้ายังปล่อยผ่านไปแบบนี้ สักวันหนึ่ง…แม้แต่คุณปู่ของคุณก็ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวคุณได้”

ฉีเล่ยมองลึกลงไปในแววตาคู่สวยของหลี่ถงซี และปริปากกล่าวน้ำเสียงจริงจังต่อว่า

“ถ้าถึงตอนนั้นขึ้นมาคุณจะทำยังไง? ใช้ชีวิตต่อจากนี้คนเดียวจนตาย? ตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งเพื่อนรวมไปถึงญาติทุกคน? ในวาระสุดท้าย ถ้าหากลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวบนเตียงและสิ้นใจทั้งแบบนั้นโดยไม่มีใครรับรู้ มันไม่น่าหดหู่เกินไปหน่อยเหรอ?”

ภายใต้วาจาที่เข้ากระหน่ำโจมตีของฉีเล่ย กำแพงจิตใจที่หลี่ถงซีสร้างขึ้นมากำบังก็ค่อยๆ พังทลายลง จู่ๆ เธอก็ถอยติดกำแพงห้องและนั่งย่องๆ อยู่กับพื้น ทันใดนั้นเธอก็ระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมา

มันนานเกินไป…เธอเก็บกดความกลัวทั้งหมดนี้นานเกินจะแบกรับไหวได้ไหวอีกต่อไป

…………

แสงจันทร์สีนวลสว่างสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างด้านนอกเป็นแสงอ่อน สายลมยามรัตติกาลราตรีพัดผ่านเป็นคลื่นระลอกโชยอ่อน ปลายผมสลวยยาวสีดำขลับของหลี่ถงซีโบกสะบัด เธอค่อยๆ สวมเสื้อคลุมที่ฉีเล่ยหยิบมาให้ และนั่งหันหน้าเข้ามากันตรงระเบียงห้องนอน

ถึงแบบนั้นหลี่ถงซีกลับไม่ได้แลเหลียวมองฉีเล่ยที่นั้งตรงหน้าแม้สักนิด สายตาของเธอดูเลื่อนลอยเหม่อมองไร้จุดโฟกัส

ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่า หลี่ถงซีเธอเกิดมาพร้อมความงดงามเกินบรรยาย คู่คิ้วของเธอคมสวยราวกับมงกุฎแสนเล่อค่า ผนวกเข้ากับสีหน้าท่าทางอันเย็นชานั้น กลับดูมีเส่นห์อย่างบอกไม่ถูก เพียงได้สบตากับเธอ ก็ถึงกับตกอยู่ในภวังค์เสมือนต้องมนต์

สาวสวยแบบนี้เป็นผู้หญิงที่ชายทุกคนในโลกเฝ้าตามหาอย่างแท้จริง

แต่ถึงแบบนั้น เธอกลับป่วยเป็นโรคกลัวผู้ชาย

ในฐานะแพทย์ ฉีเล่ยรู้สึกว่า นี่เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือเธอให้หลุดจากวัฏจักรความทรมานที่เป็นอยู่ให้ได้ เพื่อให้ตัวเธอสามารถมีความสุขกับคำว่า ‘ความรัก’ เฉกเช่นคนปกติทั่วไป แค่เห็นก็รู้สึกสงสารแทนหลี่ฮั่วเฉินแทนเลย

“หลังจากที่เรียนจบ ฉันก็ถูกเสนอชื่อให้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน”

ในที่สุดหลี่ถงซีก็ยอมปริปากเอ่ยขึ้น ซึ่งได้ทำลายบรรยากาศอันเงียบงันระหว่างทั้งสองลง

“นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวคุณนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มกว้างและพยักหน้าเห็นด้วยทันที นี่ไม่ใช่การประจบสอพลอ แต่คำพูดเหล่านี้ถูกกลั่นออกมาจากใจจริงของเขาต่างหาก ไม่เพียงแค่ความงดงามไร้ที่ติของหลี่ถงซีเท่านั้น แต่ทั้งในด้านความรู้ความสามารถของเธอยังเป็นเลิศอีกด้วย ผู้หญิงแบบนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ล้วนแต่ต้องกลายเป็นจุดสนใจของฝูงชนทั้งสิ้น

ในสมัยนี้ ผู้หญิงรุ่นราว27-28ปีที่ยังไม่แต่งงาน บางคนอาจเคร่งใน ‘ลัทธิไม่แต่งงาน’ บ้างก็ออกไปด้านหัวศิลปินเกินเข้าใจ แยกตัวออกไปจากสังคมเพื่อใช้ชีวิตอิสระตามลำพัง กล่าวได้ว่า สาวสวยแบบเธอล้วนแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว

หรือไม่อย่างนั้นก็ควรมีแฟนที่กำลังคบหาดูใจอยู่บ้าง?

หลี่ถงซีกล่าวต่อว่า

“ตอนที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ในตอนนี้ฉันมีความสุขและทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบอย่างมาก ในด้านวิชาการ ไม่มีใครต้องมาบังคับให้เข้าเรียนตามเวลา แต่ทางมหาลัยต่างให้อิสระแก่เราได้จัดแจงตารางชีวิต นึกอะไรก็สามารถถามออกมาได้โดยไม่ต้องสนใจสายตาหรือทัศนคติคนรอบข้าง ขอเพียงไม่ใช่คำถามที่ล้ำเส้นมากเกินไป”

คล้อยหลังพูดจบ เธอก็ปิดปากเงียบลงอีกครั้ง

ใบหน้าของหลี่ถงซีเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสับสนในเวลาเดียวกัน ราวกับจิตวิญญาณของเธอในขณะนี้ได้ดำดิ่งสู่โลกในวันวานที่มีความทรงจำทั้งดีและเจ็บปวด

ฉีเล่ยเพิ่งจะรู้สึกได้ว่า หลี่ถงซีในตอนนี้คือตัวเธอจริงๆ ส่วนก่อนหน้านั้นทั้งหมดที่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ทั้งหมดเป็นเพียงกำแพงที่เธอสร้างขึ้นเพื่อคั่นกลางระหว่างตัวเองกับคนภายนอก

เธอคนนี้ถูกบังคับให้สวมหน้ากากอยู่ตลอด เพียงเพราะอาการป่วยทางจิตที่เป็นอยู่

“แล้วเขาคนนั้นล่ะ? คงเก่งไม่ต่างจากเธอเลยใช่ไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวเปิดหัวเรื่องต่อทันที ทั้งนี้ก็เพื่อสืบทราบประวัติและภูมิหลังของผู้ป่วยต่อไป

หลี่ถงซีพยักหน้าตอบว่า

“เขามาจากเมืองหลวงที่เดียวกับฉัน ในขณะที่ทุกคนรอบข้างล้วนเป็นชาวต่างชาติกันหมด เดิมทีเข้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนที่บ้านเกิดมาก อีกทั้งยังเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากอีกด้วย เขาเข้าไปศึกษาที่ฮาร์วาร์ดก่อนฉันประมาณหนึ่งปี แต่กลับสามารถจบปริญญาเอกสาขาภูมิคุ้มกันได้ แถมยังสามารถขึ้นเป็นประธานสมาคมได้อีกด้วยในเวลาต่อมา เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในหมู่นักศึกษาต่างชาติด้วยกัน”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ มีเพียงชายผู้เป็นอัจฉริยะเท่านั้นที่คู่ควรกับหลี่ถงซีคนนี้ได้

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset