ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 56 แค่บางครั้ง

ตอนที่56 แค่บางครั้ง

“อ่อถงซี วันนี้ที่บ้านไม่ทำอาหารเย็นนะ”

“ไหนๆฉีเล่ยก็เพิ่งมาปักกิ่งครั้งแรก คงจะยังไม่เคยกินเป็ดย่างของภัตตาคารฉวนจูเต๋อแน่ หลานลองพาฉีเล่ยไปกินเป็ดย่างที่นั่นสิ เผื่อว่าเขาจะติดใจ อ่อ เผือกทอดที่นั่นก็ทั้งกรอบทั้งหอมอย่าบอกใครเชียว! ตกดึกแถวๆนั้นก็จะมีถนนคนเดินซานหลี่ถุน ใครมาปักกิ่งก็ต้องไปเดินเล่นที่นั่นให้ได้สักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะต้องเสียดายแย่”

“เอ… แต่ถ้าดึกมาก ปู่แนะนำว่าให้หาโรงแรมแถวนั้นพักสักคืนก็ได้ แล้วพรุ่งนี้สายๆค่อยกลับบ้านกัน หนุ่มสาวกลับบ้านดึกๆดื่นๆ อันตรายจะตายไปจริงไหม?”

เจตนาของผู้เฒ่าหลี่ชัดเจนแจ่มแจ้งเหลือเกิน!

เขาต้องการให้หลานสาวกับฉีเล่ยได้เดินเที่ยวด้วยกันจนดึก ยิ่งไปเปิดห้องที่โรงแรมพักค้างคืนด้วยกันได้ก็ยิ่งดี ดูเหมือนเขาจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ชายหนุ่มและหญิงสาวร่วมรักกันให้ได้สินะ

หลี่ฮั่วเฉินเองก็คิดเช่นนั้นจริงๆ หากแผนการครั้งนี้ของเขาสำเร็จได้ด้วยดี เขาคงจะไม่ต้องมานั่งกังวลใจ และคอยเป็นห่วงชีวิตของหลานสาวอีกต่อไป

ฉีเล่ยอดรนทนต่อไปไม่ได้ ที่ต้องมาทนฟังอะไรแบบนี้ จึงได้หันไปพูดกับหลี่ฉั่วเฉินเป็นนัยว่า

“อาวุโสหลี่ คุณน่าจะทราบดีนะว่า การทำให้คู่สามีภรรยาผิดใจกันนั้นเป็นบาปกรรม แต่สิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่นี่ มันถึงขั้นทำลายชีวิตคู่ได้เลยนะครับ?”

“อืม เรื่องนั้นฉันรู้”

ชายชราตอบยิ้มๆ

สีหน้าของฉีเล่ยพลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมองเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับไปว่า

“ทั้งๆที่รู้ ก็ยังจะทำแบบนี้อีกเหรอครับ?”

แต่แล้วจู่ๆ หลีฉั่วเฉินกลับพูดถึงเรื่องราวในอดีตของตนเองออกมา เขาเอื้อมมือไปตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆสองสามครั้ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“พ่อหนุ่ม วันข้างหน้าเธอจะต้องเติบโตก้าวหน้าอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึงเชียวล่ะ! ในฐานะที่ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน ฉันกล้ายืนยันว่า ผู้ชายที่มีทั้งลาภยศสรรเสริญ และอำนาจอิทธิพล อย่างไรก็ไม่สามารถต้านทานเสน่ห์เย้ายวนของหญิงงามได้ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็อดคิดถึงตัวเองในวัยนั้นไม่ได้…”

“ฉันอิ่มแล้ว! ไปกันเถอะ!”

หลี่ถงซีกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง พร้อมกับลุกขึ้นยืน และหันไปบอกฉีเล่ยโดยไม่แม้แต่จะสนใจฟังคำพูดปู่เธอเลยสักนิด

“แต่ผมยังกินไม่อิ่มเลยนะ”

ฉีเล่ยเปรยขึ้นเสียงเบา ในขณะที่มือกำลังคีบตับทอดจากชามกับข้าวขึ้นมา น้ำมันเยิ้มกำลังน่ากินเลยทีเดียว แต่ความจริงแล้ว สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตับทอดจานนี้ แต่เป็นเรื่องเล่าของหลี่ฮั่วเฉินเมื่อยังเป็นเสือหนุ่มต่างหาก

แต่ดูเหมือนหลี่ถงซีจะไม่ต้องการฟังเรื่องที่ชายชราจะเล่า เธอผลักเก้าอี้ออกเสียงดังเอี๊ยด พร้อมกับสวนกลับฉีเล่ยทันที

“ถ้ายังไม่อิ่ม ก็รีบๆกินเข้าไปไม่ต้องพูดมาก จะได้รีบๆไป!”

ทันทีที่พูดจบ หลี่ถงซีก็เดินกระแทกกระทั้นขึ้นไปชั้นสองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลี่ฮั่วเฉินได้แต่ยิ้มกว้าง พร้อมกับยกมือขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยอีกครั้ง และพูดขึ้นว่า

“ฉีเล่ย เธอยังหนุ่มยังแน่น ไม่ใช่แค่ตั้งใจทำงาน แต่ต้องรู้จักพาตัวเองไปผ่อนคลายซะบ้าง อนาคตของเธอช่างดูสดใสจริงๆ ในสมัยที่ฉันหนุ่มๆ ยังไม่สดใสเท่าเธอเลย”

“….”

ฉีเลยทำตัวได้แต่ทำหูทวนลมต่อคำแนะนำพวกนี้ แล้วรีบคีบตับทอดยัดเข้าปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ้ยข้าวในชามตามเข้าไป หลังจากนั้นจึงรีบหยิบกระดาษเช็ดปาก แล้วลุกเดินออกจากโต๊ะอาหารทันที

หลี่ฮั่วเฉินเฝ้ามองตามติดอีกฝ่ายไม่ห่าง เขารู้สึกว่า ยิ่งได้รู้จักชายหนุ่มคนนี้ ก็ยิ่งรู้สึกพอใจในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ

ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะแนะนำผู้ชายที่ดีเลิศแค่ไหนให้กับหลี่ถงซี หลานสาวของเขาก็จะปฏิเสธเสมอ และไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำไป นับประสาอะไรที่ยอมออกไปเดินช้อปปิ้งด้วยแบบนี้! แค่จะให้ได้คุยกันก็ยังนับเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญมาก

แต่วันนี้ หลานสาวของเขากลับอาสาออกไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับฉีเล่ยตามลำพังสองต่อสอง สถานการณ์ที่พัฒนาก้าวหน้ามาถึงจุดนี้แล้ว ยังไม่ชัดเจนพออีกอย่างนั้นหรือ?

หลี่ฮั่วเฉินมั่นใจอย่างยิ่งว่า หลานสาวของตนกำลังสนใจในตัวฉีเล่ยอยู่ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

ความจริงแล้ว ใช่ว่าหลี่ฮั่วเฉินจะต้องการให้หลานสาวของเขา ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว เพราะนี่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตได้ แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า ในเมื่อหลานสาวของเขาสนใจในตัวชายหนุ่ม?

แม้หลี่ฮั่วเฉินจะตระหนักแก่ใจดีว่า เรื่องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง แต่เขาก็เพียงแค่หวังว่า การที่หลี่ถงซีได้อยู่กับฉีเล่ยคงจะดีกว่ามาก หากเทียบกับให้หญิงสาวต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังไปจนวันตายโดยไร้คนดูแล

อีกอย่าง ตราบใดชายหนุ่มยังคงมุ่งมั่นที่จะอยู่ปักกิ่ง เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ บางทีความสัมพันธ์ระหว่างฉีเล่ยกับภรรยา อาจจะค่อยๆห่างเหินกัน เมื่อถึงเวลานั้น คนที่อยู่ใกล้ชิดกับเขาตลอดเวลาอย่างหลี่ถงซี ย่อมได้เปรียบกว่ามาก

แม้ว่าจะดูเป็นการเห็นแก่ตัวและไร้ยางอายเพียงใด แต่หลี่ถงซีก็เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ฉะนั้นแล้ว หลี่ฮั่วเฉินยอมที่จะเป็นคนชั่วในสายตาทุกคน เพื่อความสุขของหลานสาวตนเองในวันข้างหน้า

หลังจากฉีเล่ยขึ้นไปแต่งตัวลงมาด้านล่างแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปิดประตูบ้านสนิทด้วยซ้ำ เสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากด้านหน้า หลี่ถงซีขับBMW 735เข้ามาเทียบข้างฉีเล่ยอย่างช้าๆ

“ขึ้นรถเร็วเข้า”

หญิงสาวลดกระจกรถลง พร้อมกับร้องตะโกนเรียกฉีเล่ย

ฉีเล่ยเปิดประตูรถด้านที่นั่งข้างคนขับ และรีบเข้าไปนั่งข้างในทันที จึงได้พบว่าวันนี้หญิงสาวอยู่ในชุดกระโปรงสั้นสีขาว แต่กลับสวมเพียงแค่รองเท้าแตะคู่หนึ่งเท่านั้น

ฉีเล่ยเหลือบมองและเห็นว่า ใกล้ๆมีรองเท้าส้นสูงวางอยู่หนึ่งคู่ ที่แท้เป็นเพราะหญิงสาวถอดรองเท้าส้นสูงออก เพื่อความสะดวกในการขับขี่นั่นเอง

หลังจากที่ฉีเล่ยยื่นมือไปปิดประตูรถ หลี่ถงซีก็เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งออกไปทันที ระหว่างทาง ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างนั่งเงียบปราศจากการสนทนาใดๆ

เมื่อรถแล่นไปถึงใจกลางเมือง ทั้งสองก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว บรรยากาศภายในรถเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก จนแทบกลายเป็นน้ำแข็งเกาะตามเบาะไปแล้ว

ด้วยบุคลิกของหลี่ถงซีที่เป็นคนเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกเป็นทุนเดิม ส่วนฉีเล่ยเองก็พยายามสำรวจอีกฝ่าย และพยายามคิดหาเรื่องมาพูดคุย เพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดราวป่าช้านี้

“ปกติ ชอบนั่งมองคนอื่นแบบนี้เหรอ?”

จู่ๆหลี่ถงซีก็ปรายตามองมาทางฉีเล่ยแวบหนึ่ง พร้อมกับร้องถามขึ้น

จะให้ฉันพูดยังไงดีล่ะ? ก็ตลอดทางกว่ายี่สิบนาที เธอก็เอาแต่ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ที่ฉันจ้องมองสำรวจเธอก็เพราะกำลังคิดหาเรื่องที่จะมาพูดต่างหาก

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น”

ฉีเล่ยส่ายหัว

“แต่ก็มีบ้างบางครั้ง”

หลี่ถงซีเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“แล้วนายอยากได้เสื้อผ้าแบบไหน?”

ฉีเล่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบหญิงสาวกลับไปว่า

“ในเมื่อเป็นถึงอาจารย์ก็ควรจะต้องแต่งตัวสุภาพเป็นทางการหน่อย เป็นพวกชุดสูทก็แล้วกัน”

หลี่ถงซีถึงกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“นักศึกษาพวกนั้นเขาไม่สนใจหรอกว่าคุณจะใส่เสื้อผ้าอะไร พวกเขาสนใจแค่ว่า คุณจะให้ความรู้กับพวกเขาได้มากแค่ไหนต่างหาก”

ในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ผู้คนนิยมมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้ามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิง บ้างก็เป็นกลุ่มผู้หญิงที่มาเดินเที่ยวเล่น บ้างก็เป็นกลุ่มผู้หญิงที่มาทำงาน รวมไปถึงกลุ่มนักศึกษาสาววัยใส จนทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงปักกิ่งเป็นศูนย์รวมบรรดาสาวสวยในจีนสินะ?

มีบ้างที่พวกผู้ชายมาเดินในห้างสรรพสินค้า แต่หากเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายแล้วล่ะก็ จะค่อนข้างเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

ฉีเล่ยอดคิดไม่ได้ว่า ผู้คนทั่วทั้งปักกิ่งมารวมตัวอยู่ที่นี่กันหมดหรือยังไง ที่นี่มีคนแทบทุกประเภท ตั้งแต่นักธุรกิจ พนักงานออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งคนงานตามไซต์งานก่อสร้างก็ยังมี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่มาช้อปปิ้งผ่อนคลายมากที่สุด

“ตามฉันมาดีๆล่ะ จะได้ไม่หลงทาง”

หลังจากจอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่ถงซีก็เดินนำฉีเล่ยเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าทันที

“อืมม…การมาเดินห้างแบบนี้ดูจะเป็นปัญหากับคุณไม่น้อยเลยนะ แล้วยังจะอาสาพาผมมาทำไมกัน?”

ฉีเล่ยหยอกเย้าหญิงสาว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของฉีเล่ย เธอก็พยายามปั้นหน้าเย็นชา แสร้งทำเป็นว่าไม่สนใจฟังและเมินเฉยต่อคำพูดของชายหนุ่ม

หลี่ถงซีเหลียวหลังมองฉีเล่ยแวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดใบหน้าเย็นชาเป็นปกติของเธอหนีทันที

ฉีเล่ยเห็นท่าทีของหญิงก็เพียงแค่ยักไหลไม่ตอบอะไร และรีบเดินตามเธอไปติดๆ

ผู้หญิงกับการช็อปปิ้งเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร มิหนำซ้ำห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็ทั้งใหญ่และกว้างมาก ฉีเล่ยเดินตามหญิงสาวไปตั้งแต่ปีกตะวันออกห้างไปจนสุดปีกตะวันตก แต่ก็ต้องขอบคุณหลี่ถงซีเช่นกันที่แอบหยุดเดินเป็นระยะเพื่อรอเขา ไม่อย่างนั้นฉีเล่ยคงถูกกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชนแล้วแน่ๆ

“ร้านนี้ล่ะ”

ในที่สุดหลี่ถงซีก็เดินไปหยุดอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านขายชุดสูท พร้อมกับถามฉีเล่ยว่า

“อามานี สนใจไหม?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

“งั้นก็เข้าไปดูกันเลย”

แน่นอนว่าฉีเล่ยไม่รู้จักเรื่องแบรนด์เสื้อผ้าอยู่แล้ว และตั้งแต่ที่เขาเดินผ่านร้านแต่ละร้านในห้างมานั้น กว่าครึ่งหนึ่งของร้านเหล่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นร้านขายอะไรบ้าง เพราะแค่สะกดชื่อแบรนด์ก็งงไปหมดแล้ว

เมื่อครั้งที่อยู่หนานหยาง ก็มีแต่เฉินอวี่หลัวที่เป็นคนหาซื้อเสื้อผ้าให้กับเขา และเพียงแค่ตัวสองตัวเขาก็ใส่ได้เป็นปีแล้ว

เมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้าประตูร้านมา พนักงานที่แต่งหน้าแต่งตาสวยงามน่ามองคนหนึ่ง ก็รีบเดินเข้ามาทักทายทันที

“คุณลูกค้าทั้งสอง ต้องการให้ช่วยอะไรไหมค่ะ?”

“ช่วยผมเลือกชุดสูทให้ผมหน่อยครับ”

เมื่อเห็นหลี่ถงซีปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องร้องบอกพนักงานขายเอง

“ด้วยความยินดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต้องการสูทโทนสีแบบไหน แล้วก็สไตล์ไหนค่ะ? แต่ถ้าจะให้ดิฉันแนะนำ จากลักษณะและบุคลิกของคุณผู้ชาย ดิฉันขอแนะนำชุดสูทสั่งตัดสีฟ้าน้ำทะเลสไตล์คลาสสิกของทางแบรน์เราค่ะ เน้นโทนสีสว่างช่วยเสริมให้ผู้สวมใส่ดูภูมิฐานยิ่งขึ้น ช่วงคอเป็นแบบเปิดกว้าง ดูค่อนข้างโมเดิร์น เหมาะกับชายหนุ่มรูปหล่อแบบคุณผู้ชายเลยค่ะ”

“ครับ ขอแบบที่คุณพูดให้ผมดูหน่อย”

ฉีเล่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับที่พนักงานสาวสวยแนะนำ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset