ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 58 เล่นแรงดีหนิ

ตอนที่58 เล่นแรงดีหนิ

สำหรับผู้หญิงการชิงดีชิงเด่นกันถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดแล้ว ดีกว่าสวยกว่า บนตัวของใครใส่แบรนด์แพงกว่า หรือแม้แต่เรื่องหน้าอกหน้าใจก็เช่นกัน โดยเฉพาะกับเรื่องผู้ชาย คนที่ควงมาในอ้อมแขนหล่อกว่าหรือรวยกว่า ฝ่ายไหนที่มีอิทธิพลมากกว่าย่อมคว้าชัยชนะไป

โดยรวมแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับหลี่ถงซี ซูเสี่ยวหยานยังรู้สึกว่าตัวเธอยังไม่หมดหวัง

บรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหลายในมหาลัย เธอยินดีเอาใจพวกเขาเต็มที่ แต่กลับเป็นซูเสี่ยวหยานเสียเองที่ไม่ได้รับอะไรกลับไปเลย ผู้ชายที่ควงเธอเองก็อยากเลือกเอง ไม่ใช่พวกของเหลือหลังจากโดนคนอื่นปฏิเสธ และที่สำคัญที่สุด…รถคันที่ซูเซียวหยานได้มาก็คือBMWคันนั้นที่หลี่ถงซีไม่เอา

ในตอนนั้น BMWที่จอดในมหาลัยอยู่นานจนแทบเป็นอนุสรณ์สถาน ทั้งบรรดาอาจารย์และนักศึกษาทั้งหลายต่างทราบดีว่า มันมีที่มาอย่างไร ทุกคนรู้ว่า มันเป็นรถที่หานหมิงต้ามอบให้กับหลี่ถงซี และถ้าสักวันหนึ่งคนที่ขับออกไปเป็นหลี่ถงซีเองก็คงไม่แปลก

แต่ใช่ไง! ตอนนี้รถคันนั้นกลับเป็นของซูเสี่ยวหยาน คำถามคือ เธอยังมีหน้าขับรถคันนั้นไปเหยียบมหาลัยอีกได้อีกเหรอ?

โดยสรุปแล้ว ซูเสี่ยวหยานไม่อยากอยู่ร่วมชายคาที่ทำงานเดียวกับหลี่ถงซี ทุกครั้งที่พบเธอ มันก่อให้เกิดความรู้สึกรังเกียจอย่างอธิบายไม่ถูก

ก่อนหน้านี้ซูเสี่ยวหยานต้องการหาโอกาสแก้แค้นเพื่อระบายความโกรธอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะเยาะเย้ยดุด่าแค่ไหน สิ่งที่ได้รับจากหลี่ถงซีกลับมาคือความเย็นชาไม่แม้แต่แยแส และปฏิบัติต่อเธอราวกับธาตุอากาศ

ถ้าให้เปรียบคงเหมือนกับ ซูเสี่ยวหยานที่พยายามต่อยกระดาษ ทุกครั้งที่ชกออกไปแรงลมกลับทำให้กระดาษหลบได้ตลอด ถึงโดนก็ปราศจากความเสียหาย

แต่ในวันนี้ พวกเธอบังเอิญเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า และนี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้หลี่ถงซีไม่ได้ปฏิบัติกับเธอราวกับธาตุอากาศอีกต่อไปแล้ว

เหลือบหางตามองยอกย้อนกลับ น้ำเสียงของหลี่ถงซีเย็นยะเยือกประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในขั้วโลกเหนือ

“ธุระของเธอเหรอ?”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก ก็พูดลอยๆ”

ซูเสี่ยวหยานยกมือขึ้นปิดปากพลางหัวเราะคิกคัก แสยะยิ้มมุมปากกล่าวต่อว่า

“คุณหลี่ อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ สุดท้ายฉันก็เข้าใจนะคะ ว่าคุณเองก็หิวเป็นเหมือนกัน ถึงได้…ล่อลวงนักศึกษามากินแบบนี้! แต่ไม่อายฟ้าดินเลยนะคะ ถึงขนาดเอามาควงกลางที่สาธารณะแบบนี้ ไม่รู้ว่ายังเหลือจรรยาบรรณความเป็นครูอยู่รึเปล่า”

ครั้งนี้หลี่ถงซีตอบโต้เธอจริงๆ ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมแต่นี่ทำให้ซูเสี่ยวหยานตื่นเต้นอย่างมาก! สิ่งเดียวที่ฉันกลัวคือการที่เธอไม่ตอบโต้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว! ตราบใดที่ตอบโต้ เธอผู้มีฝีปากจัดกว่าย่อมชนะในการโต้คารมแน่นอน!

อย่างไรก็ตามหลี่ถงซีหาใช่แม่พระอย่างที่คิด ตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ฝีปากของเธอที่กัดเจ็บจี้ใจดำ ทว่าแววตาของเธอที่กำลังจับจ้องซูเสี่ยวหยานในขณะนี้กลับเป็นไปด้วยความสมเพช

“ฉันเข้าใจนะ คนที่ไม่มีอะไรดีเลยอย่างเธอ คงชอบสร้างข่าวลือหาเรื่องทำให้คนอื่นเข้าเสื่อมเสีย เพราะนี่เป็นหนทางรอดทางเดียวของคนประเภทนี้”

หลี่ถงซีเหลือบหางตามองไปทางหานหมิงต้าเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า

“หากินได้แค่ของเหลือที่คนอื่นไม่เอา”

ถ้าหลี่ถงซีไม่โต้ตอบอะไรกลับไปบ้าง ซูเสี่ยวหยานเองก็คงซ้ำเธออีกรอบ และหานหมิงต้าคนนี้เธอเองก็จำได้ชัดเจนว่า เป็นคนที่เคยตามตื๊อจีบมาก่อน การที่เข้ามาเสียบแทนแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับพวกขอทานรอกินของเหลือจากคนอื่นเลย และจากนี้ต่อไปไม่ว่า ซูเสี่ยวหยานจะพยายามทำดีแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ถูกตราหน้าว่าเป็นได้แค่ตัวสำรองของหลี่ถงซี สิ่งนี้คงเป็นดั่งเงาดำตามตัวเธอไปตลอดชีวิต

ซูเสี่ยวหยานจะไม่โกรธเกลียดแบบนี้เลยถ้าผู้ชายที่เธอควงแขนคนนี้จะเป็นคนที่ตามจีบตัวเธอเองก่อน แต่นี่กลับต้องมารับช่วงต่อจากผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถหลบพ้นเสียงนิททาจากคนรอบข้างได้

หลี่ถึงซีรู้สึกได้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชในเวลาเดียวกันจริงๆ

“ใครกันห่ะที่สร้างข่าวลือ?!”

ซูเสี่ยวหยานโกรธจัดชี้หน้าด่าฉีเล่ยเจือน้ำเสียงถากถางว่า

“ตะกี้พวกเธอสองคนคงกอด ทำตัวหนุงหนิงกันอยู่เลย พอฉันมาเห็นก็รีบผลักหนีออกจากกันเชียว หลักฐานคาตาแบบนี้ยังมีหน้ามาเล่นลิ้นอีกงั้นเหรอ?”

หนุงหนิง?

หนุงหนิงบ้านเตี๊ยสิ?

เหอะ เหอะ…

ฉีเล่ยลอบถอนหายใจเสียงหนึ่งด้วยความละเหี่ยใจ มันก็ใช่แหละ…เขาเองก็อยากกอดทำตัวหนุงหนิงกับหลี่ถงซี แต่เกรงว่าก่อนที่จะเข้าถึงตัว คงโดนหลี่ถงซีฆ่าตายก่อน แล้วที่สำคัญเลย สิ่งที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่เฉินอวี้หลิวภรรยาของเขาที่รู้เรื่องเข้า แต่เป็นแม่ยาย…

โดยรวมแล้วนะ จะกล่าวหาอะไรก็กล่าวหาไปเถอะ แต่อย่าเล่นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้หญิง’ เลยจะได้ไหม?

ฉีเล่ยย่อมไม่ทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสองชายหนึ่งตรงหน้าเขาเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างสนามรับชมว่า หลี่ถงซีจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรต่อไป

อย่างน้อยที่สุด ถ้าทราบถึงพฤติกรรมการแสดงออกของเธอ สิ่งนี้อาจช่วยให้การรักษาเป็นไปด้วยความสะดวกมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามแต่ อีเจ๊ที่อยู่ตรงข้ามกลับดึงเขาเข้ามาในสมรภูมิเฉยเลย

ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแสเท่าไหร่นักและกล่าวว่า

“งั้นผมขอถามกลับบ้างนะครับ ที่ว่าเห็นพวกเราหนุงหนิงกัน…เห็นด้วยตาข้างไหนครับ?”

“จะให้ฉันหลับตามองข้างเดียวรึไงย๊ะ? ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย! เธอเป็นนักศึกษาแพทย์สาขาไหน?”

ซูเสี่ยวหยานจ้องไปที่ฉีเล่ยตาเขม็งพร้อมสบถถามออกมา

ด้วยลักษณะร่างกายที่ดูสมส่วนหุ่นดี ทั้งยังใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เล่ยนั่นอีก ประกอบกับชุดกีฬาสีขาวที่สวมใส่มาในวันนี้ หากดูโดยรวมแล้วเขาเหมือนกับนักศึกษาคนหนึ่งจริงๆ ดังนั้นซูเสี่ยวหยานจึงปักใจเชื่อไปทันทีว่า ฉีเล่ยจะต้องเป็นนักศึกษาแพทย์ในมหาลัยที่เธอทำงานอยู่อย่างแน่นอน

มิหนำซ้ำ เธอเองก็ทราบว่า หลี่ถงซีไม่มีน้องชายและแทบจะไม่มีทางเลยที่จะยอมออกมาซื้อของกับผู้ชายง่ายๆ นอกจากสถานะคำว่า ‘แฟน’ แล้ว ยังมีความสัมพันธ์แบบใดที่สามารถอธิบายเหตุการณ์ในตอนนี้ได้อีก?

“แสดงว่าเห็นดวงตาทั้งสองข้าง? ด้วยความเคารพนะครับ คุณกำลังป่วยอยู่”

ฉีเล่ยกล่าวน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นทันที ไม่มีสิ่งใดที่เขาให้ความสำคัญไปกว่าอาการป่วยของผู้คนอีกแล้ว และเธอคนนี้กำลังป่วยด้วยโรคทางสายตา

“แกนั่นแหละป่วย! ป่วยกันทั้งครอบครัว! เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ ทำไมปากเสียขนาดนี้? แล้วอีกอย่างนะ เป็นแค่นักศึกษาแพทย์ กล้าดียังไงมาว่าอาจารย์อย่างฉัน!”

ซูเสี่ยวหยานตะคอกสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องด้วยเสียงตะโกนแหกปากดังลั่นของเธอนี้เอง ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบห้างรวมตัวกัน เข้ามามุงดูกันใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเพียงไม่นานฉีเล่ยและคนอื่นๆ ก็กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางฝูงชน โดยมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้าลุมพร้อมกันเป็นวงกลม

และยิ่งมีคนมุงดูมากเท่าไหร่ ซูเสี่ยวหยานก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น เธอกักเก็บความเกลียดชังนี้ภายในใจมานานเกินพอแล้ว ยามนี้เร่งชี้หน้าไปที่ฉีเล่ยและหลี่ถงซีอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันชอบธรรมดังลั่นว่า

“ทุกคนดูนี่เร็ว! เป็นถึงอาจารย์แท้ๆ แต่ทำตัวไร้ยางอายจริงๆ! มีอย่างที่ไหนแอบมาควงแขนเที่ยวกับนักศึกษาของตัวเอง! นี่ยังเหลือจรรยาบรรณความเป็นครูอยู่ไหม?!”

อาจารย์? นักศึกษา? ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างครูกับนักเรียนงั้นเหรอ?

เมื่อได้ยินถ่อยคำอันสุดแสนน่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้ บรรดาผู้คนโดยรอบต่างก็รีบจับกลุ่มซุบซิบนินทา พูดกันไม่หยุดจนปากแทบติดไฟ ทุกคนต่างมองไปที่ฉีเล่ยและหลี่ถงซีด้วยสายตาน่ารังเกียจ บ้างก็ยังมีชี้นิ้วใส่และกระซิบกระซากหัวเราะเยาะเย้ยเป็นครั้งคราว

หื้ม?

เล่นแรงดีหนิ!

ฉีเล่ยผงะชั่วครู่ก่อนหันศีรษะเหลือบมอง พลันพบเห็นว่าใบหน้าของหลี่ถงซีในเวลานี้ดูซีดเซียวลงอย่างมาก เหตุการณ์ในตอนนี้อาจไปกระตุ้นปมในใจของเธอไม่มากก็น้อย

เขายังสังเกตเห็นหยาดเหงื่อบนใบหน้าของเธอชัดเจน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้คงไม่ดีนักแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้อาจกระทบไปถึงสังคมการทำงานของเธอที่มหาลัยได้ ถึงแม้ว่าอาศัยบุคลิกภาพของหลี่ถงซี ฉีเล่ยเชื่อว่า บรรดาอาจารย์ในมหาลัยมักจะแยกแยะได้ว่า อันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องเท็จ

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม ข่าวลือดังกล่าวก็ไม่มีทางจางหายไปในเร็ววันเร็วคืน ผลที่ตามมาไม่ใช่เล็กน้อยเลย เพราะเดิมทีหลี่ถงซีก็มีอาการป่วยทางจิตอยู่แล้ว แถมยังพูดไม่ค่อยเก่ง เหตุการณ์ในวันนี้จะยิ่งไปกระตุ้นอาการทางจิตของเธอ และเขากลัวว่า จะทำให้การรักษายากขึ้นไปอีก…

ไม่มีทางปล่อยให้จบลงแบบนี้แน่ ฉีเล่ยโน้มตัวเข้ากระซิบหูหลี่ถงซีเบาๆ ว่า

“ใจเย็นก่อน เดี๋ยวผมจัดการเอง”

พอเห็นทั้งคู่โน้มตัวใกล้ชิดเข้ากระซิบกันแบบนั้น ซูเสี่ยวหยานก็ได้โอกาสขยี้ต่อทันทีและรีบตะโกนขึ้นลั่นว่า

“ทุกคนเห็นกันไหม? ต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ยังกล้าทำเรื่องไร้ยางอายกันอยู่อีก! ทุเรศจริงๆ!”

ฉีเล่ยผละออกมาอย่างใจเย็นพลางส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหาซูเสี่ยวหยานและต้องการจะไปกระซิบข้างหูของเธอ

“เป็นบ้าอะไรของแก! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน! ถ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาเลย!”

ฉีเล่ยยิ้มและก้าวย่างตรงเข้าไปใกล้ต่อ ราวกับไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องกระซิบข้างหูเธอให้ได้ ซูเสี่ยวหยานที่เจอไม้นี้เข้าไปถึงกับผงะ รีบก้าวถอยหนีทันที

“หยุด! อย่าเข้ามา! นี่แกกำลังจะทำอะไรกันแน่? ถ้ามีอะไรก็พูดออกมาตรงนี้เลย! ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจนะ!”

ฉีเล่ยแสยะยิ้มฉีกกว้างพลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“แน่ใจนะครับ…ว่าจะให้พูดตรงนี้?”

ซูเสี่ยวหยานชี้นิ้วใส่ทันทีและกล่าวว่า

“นี่หมายความว่ายังไง? มีอะไรก็พูดออกมา! ดังๆ ตรงนี้ไปเลย!”

“ในเมื่อต้องการแบบนั้น ก็อย่าโทษกันทีหลังนะครับ”

สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสาเล็กน้อย และในที่สุดเขาก็หันกลับไปหาฝูงชน ยกมือป้องข้างปากตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นว่า

“ทุกคน! เธอฉี่แตก!!!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset