ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 65 คำนับเป็นอาจารย์

ตอนที่65 คำนับเป็นอาจารย์

หลังดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญเสร็จสิ้น ฉีเล่ยกับชูเฟิงอี้ก็ไปนั่งคุยกันต่อในห้องนั่งเล่นอีกสักพัก  จึงค่อยลุกขึ้นแยกย้ายเตรียมตัวกลับ

ไม่ว่าชูเฟิงอี้จะพยายามรั้งเขาไว้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงต้องหันไปสั่งคนขับรถให้ไปส่งฉีเล่ยที่บ้าน แต่มีหรือที่ฉีเล่ยจะปล่อยชูซินฮังไปง่ายๆ? เขาจึงได้เสนอให้ชูซินฮังขับรถไปส่งตนเองแทน

ชูเฟิงอี้ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารก่อนหน้า ก็ได้เห็นหลานชายของตนทำหน้าที่รินชาเติมเหล้าให้ตลอดมื้ออาหาร ในขณะที่ฉีเล่ยซึ่งเป็นแขกก็ใจดีคีบเนื้อสัตว์ให้เขา ชูเฟิงอี้จึงคิดว่า ฉีเล่ยคงอยากทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น

เมื่อคิดได้เช่นนั้น จึงเอ่ยปากเรียกพ่อบ้านฟาง ให้ไปบอกชูซินฮังที่เก็บตัวอยู่ในห้องขับรถไปส่งฉีเล่ยแทน

แต่เมื่อเห็นหน้าฉีเล่ยเข้า ชูซินฮังก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาใส่ทันที

“ฉันขอบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพี่สาวของฉันกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะให้เธอเล่นงานนายซะ!”

ฉีเล่ยตอบกลับเพียงแค่สั้นๆ

“อย่าลืมสิครับ ผมเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้  มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องเล่นงานผมด้วย?”

เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของฉีเล่ย ชูซินฮังก็แสยะยิ้มเหยียด พร้อมกับพูดดูถูกว่า

“นายนี่มันโง่จริงๆ โง่โดยสมบูรณ์! ก่อนหน้านี้นายบอกว่าแต่งงานแล้วใช่ไหม? ฉันรู้สึกเศร้าแทนผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ที่ต้องมาทนใช้ชีวิตกับคนไม่ได้เรื่องแบบนี้!”

“ไม่สิ…ฉันไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ! ตรรกะของเธอคงจะเพี้ยนไปหมดแล้ว!”

“แล้วนี่นายรู้อะไรไหมว่า ไอ้สิ่งที่นายพูดกับคุณปู่ไปเมื่อครู่ มันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของพี่สาวฉันมากขนาดไหน?”

พี่สาว?

ศักดิ์ศรี?

ระหว่างทางที่ชูซินฮังขับรถหรูเคอนิกเส็กก์สีเงินมาถึงหน้าบ้านสกุลหลี่นั้น ฉีเล่ยก็เอาแต่ปิดปากเงียบ นั่งเปิดเพลงฟังโดยไม่สนใจกับคำพูดของชูซินฮังเลยแม้แต่น้อย

นี่มันชีวิตของฉัน จะแต่งงาน หรือยังไม่แต่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครต้องมาแส่?

พอฉันปฏิเสธข้อเสนอของอาวุโสชูไป ก็หาว่าทำให้ศักดิ์ศรีของชูซินซูต้องมัวหมอง แต่ถ้าฉันตอบตกลง นั่นก็เท่ากับเป็นการทำรายจิตใจภรรยาของฉันเหมือนกัน จริงไหม?

สุดท้ายก็แค่เด็กหนุ่มร่ำรวยที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น..

………..

เมื่อกลับมาถึงบ้านของหลี่ฮั่วเฉิน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปด้านใน ฉีเล่ยก็ได้เห็นอาวุโสหลี่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา

“ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ?”

ฉีเล่ยที่ยืนเฝ้าสังเกตอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยถามเสียงดังขึ้น

หลังจากเฝ้าสังเกตดูอยู่พักหนึ่ง ฉีเล่ยที่ยืนอยู่จึงร้องถามออกไปเสียงดัง

“อ๊ะ!”

ดูเหมือนชายชรากำลังคิดอะไรอยู่ในใจจริงๆ เสียงร้องตะโกนของฉีเล่ยจึงได้ปลุกเขาให้หลุดจากภวังค์ ชายชราถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นทันทีด้วยความตกใจ

เมื่อเหลียวมองกลับไปเห็นว่าเป็นฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินถึงกับยกมือขึ้นทาบอกด้วยความโล่งใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปจับไม้จับมืออีกฝ่าย พร้อมกับร้องบอกไปว่า

“เธอกลับมาสักที!”

“ครับ… เอ่อ.. มีเรื่องอะไรค่อยๆ เล่าก็ได้ครับ ใจเย็นๆก่อน…”

ฉีเล่ยถึงกับสนไปชั่วขณะ เมื่อได้เห็นท่าทางความกระตือรือร้นของชายชรา ที่จู่ๆก็วิ่งเข้ามากุมมือเขาแน่นขนาดนี้

อย่าบอกนะว่า หมดหวังที่จะคะยั้นคะยอให้ฉันแต่งงานกับหลานสาวแล้ว ก็เลยจะหันมาเป็นฝ่ายจีบฉันซะเอง?

หลี่ฮั่วเฉินดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่า การกระทำของตนเองออกจะเกินเลยมากไปหน่อย จึงรีบปล่อยมือฉีเล่ยทันที แล้วรีบผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ไปนั่งคุยกันที่โซฟา

“นั่งลงก่อน นั่งลง ฉันเรื่องอยากจะคุยกับเธอหน่อย!”

ฉีเล่ยเดินตามชายชราไปทันที พร้อมกับนั่งลงบนโซฟาข้างๆเขาด้วยสีหน้างุนงง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปริปากพูดอะไรออกมา ชายชราก็เปิดฉากพูดขึ้นก่อนทันที

“ฉีเล่ย ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะขอคำนับเธอเป็นอาจารย์!”

“….”

ฉีเล่ยสวนกลับไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกทันที

“ผมง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”

หลี่ฮั่วเฉินรีบลุกขึ้นเดินตามไปด้วยสีหน้าท่าทางร้อนใจ

“เดี๋ยวก่อน! ฉันยังพูดไม่จบ อย่าเพิ่งไป!”

ฉีเล่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปบอกชายชราว่า

“อาวุโสหลี่ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิครับ! คุณเป็นถึงแพทย์ระดับแนวหน้าของวงการแพทย์ จู่ๆ จะมาขอคำนับเด็กหนุ่มอย่างผมเป็นอาจารย์ได้ยังไง?”

“แล้วทำไมจะไม่ได้?”

หลี่ฮั่วเฉินตอบโต้กลับทันที

“ผู้มีความสามารถถือเป็นอาจารย์ แล้วทักษะทางการแพทย์ที่เธอแสดงออกมาให้เห็น มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่า ตัวเธอมีคุณสมบัติสำหรับการเป็นอาจารย์ของฉันได้”

“อีกอย่าง ฉันเองก็ชำนาญด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน  แต่เรื่องการแพทย์แผนจีน หากเทียบกับเธอ ฉันมันก็แค่เด็กประถมเท่านั้น!”

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เขาแทบจะคาดเดาความคิดของชายชราคนนี้ไม่ได้เลย

เมื่อวานยังพยายามทุกวิถีทาง เพื่อจะยัดเยียดหลานสาวให้เขาอยู่เลย แต่มาวันนี้กลับจะขอคำนับเขาเป็นอาจารย์อีก หรืออีกฝ่ายพยายามจะสร้างปัญหาก่อกวนเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?

ไม่แน่ว่า ที่อยากจะให้หลานสาวแต่งกับเขา ก็เพราะต้องการให้เขารับเข้าเป็นศิษย์?

สรุปง่ายๆก็คือ เป้าหมายที่แท้จริงกลับไม่ใช่เรื่องที่ห่วงว่า หลานสาวจะใช้ชีวิตอยู่เป็นโสดไปจนตาย แต่เพราะอยากได้วิชาจากเขาเท่านั้น?

หลังจากที่คิดได้แบบนี้ ฉีเล่ยถึงกับเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที เขารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ พร้อมตอบกลับไปว่า

“อย่าถึงกับต้องคำนับผมเป็นอาจารย์เลยครับ เอาเป็นว่า ถ้าอาวุโสไม่รังเกียจ วันไหนมีเวลาว่าง พวกเราก็มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันก็ได้ครับ”

การรับศิษย์ที่อายุอานามมากกว่าอายุขัยของตนเองถึงครึ่งหนึ่ง ไม่เท่ากับเป็นการแช่งตัวเองหรอกหรือ?

หลี่ฮั่วเฉินที่นั่งอยู่หน้าโซฟา ได้แต่จ้องมองฉีเล่ยตาเขม็งพร้อมกับอ้อนวอนขอร้องต่อ

“ฉีเล่ย ขอบอกเธอตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ฉันอยากจะเรียนรู้ทักษะการแพทย์แผนจีนจากเธอ!”

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วทำไมจู่ๆ อาวุโสถึงได้อยากเรียนรู้ศาสตร์นี้ขึ้นมาล่ะครับ?”

หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้า และรีบอธิบายให้ฉีเล่ยฟังว่า

“ก็ที่โรงพยาบาลวันนั้น เธอจับชีพจรของคุณนายหลิวแค่เดี๋ยวเดียว ก็สามารถวินิจฉัยอาการ และสาเหตุการป่วยของเธอออกมาได้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้นไม่กี่วัน เธอก็หายจากอาการป่วยทันที

“หลังจากที่ฉันได้เห็นแบบนั้น ก็รู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก! และตระหนักได้ว่า วิชาแพทย์ที่เธอศึกษาเรียนรู้มา คือเคล็ดวิชาลึกลับของโลกใบนี้ ฉันก็เลยอยากจะเรียนรู้วิชาเหล่านั้นบ้าง”

“ขอบอกตามตรง ต่อให้สิ่งที่ฉันทำอยู่นี้ จะทำให้เธอต้องหัวเราะจนฟันร่วง แต่ภายในใจลึกๆของฉันก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้จริงๆ จนกระทั่งนอนไม่หลับ ต้องตื่นมานั่งคิดกลางค่ำกลางคืนอยู่แบบนี้ยังไงล่ะ!”

ฉีเล่ยไม่รู้ว่า อาวุโสหลี่มีชื่อเสียงมากมายเพียงใดในวงการแพทย์ของปักกิ่ง จึงได้เป็นถึงรองคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่ๆ และมีตำแหน่งอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่า ถ้าตีพิมพ์ทุกตำแหน่งของเขาลงในนามบัตร ในกระดาษแผ่นเล็กๆนั้น คงจะเต็มไปด้วยตัวอักษรจนไม่เหลือที่ว่าง

แต่ในสายตาของแพทย์เพื่อนร่วมงานนั้น สิ่งที่ทุกคนมักจะพูดถึงหลี่ฮั่วเฉินบ่อยที่สุด กลับไม่ใช่เรื่องเหล่านั้น แต่กลับพูดถึงฉายา ‘หมอคลั่ง’ ของเขาแทน

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน ก็เหมือนกับพวกที่คลั่งไคล้ศิลปะการต่อสู้ในสมัยโบราณ เมื่อพบเจอผู้ใดที่ความแข็งแกร่งกว่า ก็อยากจะไปท้าประลองต่อสู้กับคนผู้นั้น และเมื่อเห็นเคล็ดวิชาที่ตนเองไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน ก็กระวนกระวายอยากจะเรียนรู้

และเป็นเพราะอุปนิสัยของหลี่ฮั่วเฉินที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่พูดมา จึงเป็นที่มาของฉายา ‘หมอคลั่ง’ ที่แพทย์ในวงการตั้งให้

ความรักในศาสตร์แพทย์ของหลี่ฮั่วเฉินนั้น มีมากเสียจนแปรเปลี่ยนเป็นความคลั่งไคล้ จนต้องการที่จะเรียนรู้ และทำความเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในขอบเขตของการแพทย์ทั้งหมด

ชายชรากดร่างของฉีเล่ยให้นั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง ก่อนที่ตัวเองจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องหนังสือ ไม่นานนัก เขาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาส่งให้ฉีเล่ย

ฉีเล่ยรับหนังสือเล่มนั้นมาสำรวจดูด้วยความสนอกสนใจ

นี่เป็นหนังสือเก่าแก่ที่ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อเปิดหน้าหนังสือออกมาดูจึงได้พบว่า ด้านในเป็นตัวอักษรที่ตวัดเขียนด้วยพู่กัน ถึงแม้หมึกดำจะดูเลือนลางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังสามารถอ่านได้อยู่บ้าง ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘คัมภีร์ชีพจร’

หลี่ฮั่วเฉินบอกกับฉีเล่ยว่า

“คราวที่แล้วฉันเห็นเธอจับชีพจรให้คุณนายหลิว ซึ่งวิธีของเธอมันรู้สึกคับคล้ายคับคลากับวิชาที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ชีพจรเล่มนี้มาก”

“ฉันไปเจอคัมภีร์เล่มนี้เข้าโดยบังเอิญ แต่น่าเสียดายที่มันเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว ลำพังอาศัยแค่ภูมิความรู้ในศาสตร์แผนจีนของฉัน ไม่ว่าจะอ่านซ้ำไปซ้ำมาสักกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรได้เลย”

ฉีเล่ยพยักหน้า พร้อมกวาดสายตาดูคร่าวๆ ปรากฏว่าเนื้อหาภายใน เป็นวิชาอ่านชีพจรแบบเดียวกับที่บรรพบุรุษตระกูลเฉินได้ถ่ายทอดให้แก่เขา เพียงแต่ว่ามรดกองค์ความรู้ที่เขาได้รับมานั้น ค่อนข้างสมบูรณ์กว่ามาก

ก่อนหน้านี้เองเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่า วิชาที่ได้รับสืบทอดเหล่านี้เรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้สรุปได้แล้วว่า วิชาที่เขาได้รับมานั้นมีชื่อว่า ‘คัมภีร์อ่านชีพจร’

ฉีเล่ยนั่งพลิกหน้าหนังสืออยู่ไปมา และยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบว่า ข้อความในหนังสือเล่มนี้ ตรงกับองค์ความรู้ที่เขาได้รับมามากขึ้นเท่านั้น

แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้มีอายุที่ยาวนานเกินไป หรือเป็นเพราะเจ้าของก่อนหน้าเก็บรักษาได้ไม่ดี จึงทำให้มันอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร หนังสือบางหน้าก็ขาดหลุดรุ่ย หมึกอักษรบางตัวราวกับโดนน้ำจนจางอ่อนแทบมองไม่เห็น

หลี่ฮั่วเฉินบอกเล่าให้ฉีเล่ยฟังไปตามตรง

“ก่อนหน้าที่จะได้พบกับเธอ ฉันพยายามตามหาคนที่สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้เข้าใจ และหวังว่า เขาจะสามารถถ่ายทอดวิชาในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ให้กับฉันได้”

“เฮ้อ… สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ ฉันไม่อยากให้มันสูญหาย”

และเข้าใจมัน หวังจะให้พวกเขาถ่ายทอดเนื้อหาในหน้าหนังสือให้กับฉัน เฮ้อ…สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ ฉันไม่อยากให้มันสูญหายไปจากโลกเลยจริงๆ!”

ฉีเล่ยคืนหนังสือกลับไปและกล่าวว่า

“อาวุโสหลี่ให้เกียรติเกินไปแล้ว ขอบอกตามตรง ผมไม่เคยหวงวิชาเลยแม้แต่น้อย และพร้อมที่จะถ่ายทอดทักษะนี้ให้กับผู้อื่นเสมอ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนธรรมดาทั่วไปกลับไม่สามารถรับสืบทอดทักษะนี้เหมือนกับผมได้”

สีหน้าของหลี่ฮั่วเฉินเปลี่ยนเป็นประหลาดใจขึ้นมาอย่างมาก ก่อนจะทำหน้าคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ และรีบพูดขึ้นว่า

“เป็นไปได้ไหมว่า… น่าจะเป็นอย่างที่คัมภีร์เล่มนี้บอกไว้ เคล็ดวิชาอ่านชีพจรจำเป็นต้องใช้กำลังภายใน?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

“ถูกต้องแล้วครับ”

“เห้อออ…น่าเสียดาย!”

หลี่ฮั่วเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว คิดจะเริ่มต้นฝึกกำลังภายใน หรือเรียนชี่กงคงสายเกินไปแล้ว ฉันคงไม่มีโอกาสที่จะฝึกวิชาลึกลับนี่สำเร็จแล้วล่ะ”

“แต่เธอน่ะ ฉีเล่ย… เธอต้องปกปักรักษามรดกของบรรพบุรุษเหล่านี้ให้ดี อย่าให้มันสูญหายไปจากโลกโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น มนุษย์เราจะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

ฉีเล่ยหัวเราะเล็กน้อย พร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมเข้าใจครับ อาวุโสไม่ต้องกังวลใจไป ในเมื่อผมได้รับมรดกเหล่านี้มาแล้ว ย่อมต้องทำตามเจตจำนงของเหล่าบรรพบุรุษ รักษาความทุกข์ยากให้แก่ผู้คน ถ้าพบเจอผู้มีคุณสมบัติสามารถรับสืบทอดได้ ผมยินดีที่จะถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขาด้วยมือคู่นี้เอง”

ไม่ใช่ว่า ฉีเล่ยจะพูดออกไปเพื่อเอาหน้า หรือทำให้ตัวเองดูดีก็ตาม แต่เมื่อเขายอมตกลงที่จะรับสืบทอดมรดกเหล่านี้แล้ว ไม่เพียงเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษตระกูลเฉินเท่านั้นที่ได้รับมา

ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้มาก็คือ เจตจำนงที่ต้องการเผยแพร่เคล็ดวิชา และช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากโรคภัย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉีเล่ยจะต้องหวงวิชา?

คุณธรรม ความซื่อสัตย์ และเจตจำนงที่ต้องการช่วยเหลือผู้คนด้วยใจจริง ขอเพียงมีคุณสมบัติสามอย่างนี้  ฉีเล่ยย่อมยินดีที่จะถ่ายทอดมรดกความรู้นี้ให้แก่พวกเขา

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset