ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 64 ฉันไม่ยอมแพ้แบบนี้หรอกนะ

ตอนที่64 ฉันไม่ยอมแพ้แบบนี้หรอกนะ

ถนนฉางอัน อาคารพาณิชย์โมเซียง

บรรยากาศโดยรอบหอมคลุ้งด้วยกลิ่นน้ำหอม ประกอบกันเสียงธารน้ำไหลผสานควบคู่กับบทเพลงคลอเคลียผ่อนคลาย บริเวณหน้าต่างปรากฏภาพพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่แสนงดงาม

หญิงสาวเพิ่งส่งคู่ค้าทางธุรกิจเสร็จสรรพ ยามนี้กำลังนอนนิ่งพักผ่อนอยู่บนโซฟา

ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ประตูไม้สีแดงหรูถูกผลักเข้ามา เผยให้เห็นสาวสวยในชุดสูทสีดำเป็นทางการ สวมแว่นตาไร้กรอบเดินเข้ามาในห้องทำงาน โค้งศีรษะคำนับให้หญิงสาวบนโซฟาหนึ่งครั้งพร้อมกล่าวว่า

“คุณหนู ได้เวลาแล้วค่ะ อีก30นาทีการประชุมคณะกรรมการบริหารก็จะเริ่มขึ้นแล้ว คุณหนูมีเวลาเตรียมตัวประมาณ20นาทีค่ะ”

หญิงสาวบนโซฟายืดแขนบิดขี้เกียจเล็กน้อย ดูจะพักผ่อนค่อนข้างเต็มที่ จึงได้ลุกขึ้นนั่งกลับสู่สภาพเอาจริงเอาจังดังเดิม พร้อมเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“เจียซิน ข้อมูลที่ฉันสั่งให้เธอไปหามาได้รึยัง?”

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู”

สาวสวยกล่าวตอบกลับ และหยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากกองหนาในมือของเธอ พร้อมยื่นออกไปตรงหน้า

หญิงสาวรับแผ่นกระดาษชุดนั้นเอาไว้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน เธอนั่งไขว่ห้างวางเอกสารชุดนั้นไว้บนตัก ก้มหน้าก้มตานั่งอ่านทันที

กระดาษแผ่นแรกเป็นข้อมูล และรูปถ่ายภาพสี ซึ่งผู้ชายในรูปหน้าตายังดูเด็กอย่างมาก ค่อนข้างหล่อเหลา ทว่าระหว่างคิ้วกับแววตากลับดูหม่นหมองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บางจุดก็ขาดเป็นรูโหว่

ฉีเล่ย: เพศชาย

อายุในรูปถ่าย : 22ปี

ส่วนสูง : 182 เซ็นติเมตร

น้ำหนัก : 63 กิโลกรัม

ความสามารถพิเศษ : ไม่มี

การศึกษา : ไม่มี

ชื่อเสียง : ไม่มี

ประวัติอาชญากรรม : ไม่มี

ลักษณะร่างกาย : ซูบผอม, ไม่มีเรี่ยวแรง, ขาดสารอาหาร

เธอเลื่อนสายตาลงอ่านรายละเอียดข้อมูลจำเพาะ ที่ปรากฏอีกมากมายนับไม่ถ้วนต่อ

เอกสารหน้าถัดไปเป็นรายงานชีวิตความเป็นอยู่ทุกปี ก่อนจะสิ้นสุดลงตรงที่เขาอายุ 26 ปี และดูเหมือนว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะไม่ง่ายเลย เพราะมีคนสองคนคอยบงการชีวิตของเขาอยู่

รายงานคุณภาพชีวิตในแต่ละปีมีคะแนนรวมที่ต่ำมาก อย่างเช่นปีแรกได้เพียง35คะแนน และปีที่สองอยู่ที่ 32คะแนน ส่วนที่เหลือโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มต่ำลงจนน่าใจหาย

จนกระทั่งกระดาษหน้าสุดท้าย ด้านล่างท้ายสุดกลับถูกเขียนด้วยปากกาสีแดงวงใหญ่ รายงานคุณภาพชีวิตปีล่าสุด : 98คะแนน!

ชูซินซูหรี่สายตาแคบจับจ้องไปยังภาพถ่ายสุดท้ายที่เป็นฉีเล่ยคลี่ยิ้มดูแข็งทื่อ มีเพียงภาพถ่ายล่าสุดนี่แหละที่มั่นใจว่า เขาคือชายหนุ่มที่เธอรู้จักบนเครื่องบิน

เขาไปพบเจออะไรเข้ากันแน่? ถึงทำให้ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้?

ชูซินซูเงยหน้าขึ้นถามเลขาสาวทันทีว่า

“ก่อนอื่นเลยนะ ฉีเล่ยถูกภรรยากับแม่ยายรุมทำร้ายมานานถึงแปดปี?”

“ใช่ค่ะ”

เลขาสาวพยักหน้าตอบเล็กน้อย

“จากข้อมูลของหน่วยลับที่สามของทางเราที่หามาได้ กระบวนการทรมานดังกล่าวกินเวลานานถึงแปดปีเต็ม ไม่ใช่เพียงทารุณกรรมทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังถูกทารุณกรรมทางจิตใจอีกต่างๆนานาค่ะ”

ตระกูลชูเป็นถึงตระกูลอดีตขุนนางของราชวงศ์จีน อิทธิพลอำนาจและเงินตราย่อมแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของประเทศ  เป็นธรรมดาที่ต้องมีหน่วยลับสำหรับสืบข่าวของตัวเอง และความสามารถของพวกเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าFBIของอเมริกา หรือKGBของรัสเซีย ซึ่งทั้งสองหน่วยลับสุดยอดนี้นับเป็นที่สุดของโลกแล้ว

ชูซินซูนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า

“เจียซิน ฉันขอถามอะไรหน่อยนะ ถ้าเป็นเธอ…เธอจะยอมทิ้งโอกาสแต่งงานกับฉัน เพื่ออยู่กับภรรยาที่เคยทำร้ายเธอต่างๆนานานานขนาดนี้ไหม?”

เจียซินส่ายหน้าทันที

“ไม่แน่นอนค่ะ และฉันเองก็คิดว่าไม่มีผู้ชายคนไหนทำใจปฏิเสธโอกาสดีๆแบบนี้ได้ลง อย่าว่าแต่โดนภรรยาตัวเองทำร้ายมาแปดปีเลย ต่อให้ที่บ้านมีทั้งภรรยา และแม่สะใภ้แสนดี เขาก็ยอมทิ้งคนเหล่านั้น เพื่อมาแต่งงานกับคุณหนูได้ลงคอแน่นอนค่ะ”

ชูซินซูหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“แต่เขาฏิเสธฉันเพื่อภรรยานิสัยแบบนั้นจริงๆ”

“ปฏิเสธคุณหนูนี่นะคะ?”

เฉิงเจียซินถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้เลย มีผู้ชายแบบนั้นอยู่บนโลกจริงๆด้วยเหรอ? ต้องบ้าไปแล้ว! หรือผู้ชายคนนั้นมีรสนิยมชอบถูกทรมาน?

แต่นั่นก็ไม่ถูกต้องเสมอไป ถึงจะมีรสนิยมแบบนั้น แต่คุณหนูของเธอยังมีเงินไว้ล่อตาล่อใจอยู่ และเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะมีผู้ชายคนไหนกล้าเมินเฉยต่ออำนาจของเงิน

อ่อ…ฉันเข้าใจแล้ว เพราะกลัวว่าจะไม่มีสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอคุณหนูมากกว่า เขาถึงเลือกที่จะปฏิเสธไป

ชูซินซูกล่าวต่อว่า

“เมื่อชั่วโมงก่อน น้องชายของฉันเพิ่งโทรมาบอกว่า ฉีเล่ยปฏิเสธข้อเสนอของคุณปู่ ถึงเขาจะมีไหวพริบดีที่รู้ว่าคุณปู่กำลังหยั่งเชิงอยู่ แต่ประเด็นคือ ในเมื่อปฏิกิริยาแรกของเขาเป็นที่น่าพอใจมาก แต่ทำไมเขาถึงยังเลือกที่จะปฏิเสธคุณปู่หัวชนฝาอีกล่ะ? ในเมื่อเข้ามาถึงในบ้านของฉันแล้ว ควรต้องทราบถึงสถานะทางครอบครัวฉันแล้วแน่นอน

“เฮ้อ… รู้ไหมว่า เขาตอบอะไรคุณปู่ของฉันกลับไป? ฉีเล่ยบอกว่า ตนเองแต่งงานมีภรรยาแล้ว และพวกเขาทั้งคู่ก็รักกันดี ทั้งๆที่เบื้องหลังมันไม่ใช่แบบนั้นเลย นี่เขากำลังหาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธฉัน ให้ออกไปจากชีวิตของเขาจริงๆใช่ไหม… ผู้ชายคนนี้คาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”

เฉิงเจียซินถอนหายใจเสียงยาว

“คุณหนู เขาอาจตระหนักถึงสถานะของตัวเองดี จึงรู้ว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคุณหนู จึงเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอก็ได้ค่ะ”

“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจนะ”

ชุซินซูหัวเราะเสียงแผ่ว

“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอก”

จากนั้นชูซินซูก็หยิบเอกสารเหล่านั้นวางไว้ข้างโซฟา แล้วลุกขึ้นรับเสื้อคลุมจากมือเลขาที่ส่งให้ ขณะสวมใส่พลางร้องบอกไปว่า

“เตรียมเอกสารที่ใช้สำหรับการประชุมให้พร้อม”

“ให้มันได้แบบนี้สิ ดึกดื่นขนาดนี้ยังจะเรียกประชุมกรรมการกันอีก ฉันล่ะรู้สึกเกรงใจแทนพวกเขาเลย เธอช่วยไปเตรียมชากับขนมทานเล่นไว้ให้พวกเขาหน่อยก็แล้วกัน หลังจากประชุมเสร็จ บอกทุกคนอย่าเพิ่งกลับ ให้ไปภัตาคารต่อเลย ฉันเลี้ยงเอง”

พร้อมกันนั้น ชูซินซูก็ก้มตัวลงใส่รองเท้าส้นสูง และเดินจากห้องทำงานไปที่ห้องประชุม

เฉิงเจียซินที่กำลังเดินตามไปติดๆ ก็จับจ้องไปที่แผ่นหลังของชูซินซู ทันใดนั้นแก้มเนียนสวยของเธอกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

คุณหนูของเธอคือความงดงามที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง สมบูรณ์แบบจนชนิดที่ว่าเฉิงเจีนซินยังอดที่จะเคารพอย่างสุดหัวใจไม่ได้ เธอแทบอยากจะคุกเข่าต่อหน้าเพื่อขอรับใช้อีกฝ่ายไปชั่วชีวิต

นอกจากนี้แล้ว ไม่ใช่แค่หน้าตาของคุณหนูเท่านั้น กระทั่งพรสวรรค์ และความสามารถด้านการบริหารยังโดดเด่นไร้ที่ติ การเรียกประชุมกรรมการบริหารในเวลาดึกดื่นแบบนี้ คงไม่มีเจ้านายคนไหนกล้าทำ เว้นเสียแต่ชูซินซูเพียงคนเดียว

มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถรับมือกับความหยิ่งยโสของบรรดากรรมการบริหารเหล่านี้ได้

ห่างจากห้องประชุมไปประมาณยี่สิบเมตร ชูซินซูชะงักฝีเท้าลงโดยพลัน เหลียวหลังกลับไปพร้อมพูดขึ้นว่า

“แต่ฉันไม่ยอมแพ้แบบนี้หรอกนะ”

“คุณหนู…”

“เจียซิน เธอเองก็เป็นผู้หญิงน่าจะเข้าใจดี ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกทนถูกผู้ชายปฏิเสธแบบนี้ได้หรอก ถึงจะทำเป็นเฉยชา หรือแกล้งทำเป็นไม่สนใจสักแค่ไหนก็ตาม แต่ลึกๆแล้วภายในใจกลับซ่อนความขมขื่นเกินจะบรรยายเลยล่ะ”

“คุณหนูหมายความว่ายังไงกันคะ?”

“ให้หน่วยลับที่สามไปตามสืบมาอีกรอบ ไปหาสาเหตุที่เขาไม่ยอมเลิกกับภรรยาคนปัจจุบันให้ได้ จากนั้นก็นำมาวิเคราะห์ และหากลยุทธ์ในการพิชิตใจเขามาให้ฉัน!”

พรืด…

เฉินเจียซินที่ถือกองเอกสารอยู่ในอ้อมแขน ถึงกับมือไม้อ่อนปล่อยเอกสารหล่นกระจัดกระจายปลิวว่อนอยู่ทั่วพื้น เธอยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน

นี่…นี่ถึงจุดจบของโลกใบนี้แล้วใช่ไหม?

หรือมีมนุษย์ต่างดาวบุกมารุกรานโลกกัน?

อย่าบอกนะว่า…พระเจ้าเกษียณตัวเอง ลาออกจากการดูแลโลกแล้ว?!

ชูซินซูผู้งดงามประดุจเทพธิดาสวรรค์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘หญิงสาวผู้งดงามที่สุด’  ไม่ว่าคุณชาย หรือทายาทเศรษฐีหนุ่มคนได ก็ไม่อาจไขว้คว้าได้ถึง แต่ตอนนี้…กลับรุกสุดตัวเพื่อตามจีบผู้ชายที่แต่งงานแล้ว!?

ถึงขนาดสั่งว่า ให้ไปหาข้อมูลมาวิเคราะห์ สำหรับใช้วางแผนสร้างกลยุทธ์พิชิตใจอีกฝ่าย!!?

 พระเจ้า! ไม่ทราบว่าบนสวรรค์ยังเหลือที่ว่างสักที่ไหมคะ?

ช่วยรับหนูขึ้นไปที!

……..

ฉีเล่ยยกถ้วยชาขึ้นมาริมจิบเล็กน้อย พลางส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ ชูซินฮังที่ยืนอยู่ข้างกายราวกับพ่อบ้านส่วนตัว ถึงกับปั้นสีหน้ารังเกียจ แอบคิดกับตัวเองในใจว่า

‘นี่เป็นชาที่คุณชายแห่งตระกูลชูชงให้กับมือเลยนะ ทำไมส่ายหน้าแบบนั้น? หรือมันไม่อร่อย??’

วันนี้ฉีเล่ยจัดการคุณชายผู้หยิ่งผยองได้อย่างอยู่หมัด

ต่อหน้าชูเฟิงอี้แบบนี้ ฉีเล่ยไม่เพียงสั่งให้เขาไปรินชามาให้เท่านั้น แต่ยังให้เขาทำหน้าที่เป็นบริกรคอยบริการตลอดคืนนี้ ทั้งยังต้องคอยรินเหล้าให้พวกเขาสองคนอีกด้วย

ชูเฟิงอี้ยกแก้วขึ้นเพื่อแสดงถึงการให้เกียรติต่ออีกฝ่าย ฉีเล่ยกับเขาชนแก้วกันหนึ่งที แล้วกระดกจนหยดสุดท้าย เมื่อแก้วแห้งปราศจากเหล้าหอมอร่อย ก็ต้องเป็นหน้าที่ของชูซินฮัง ที่ต้องตามมารินเหล้าเพิ่มให้พวกเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเต็มใจ

แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำขนาดนั้นซะทีเดียว ผ่านไปสักพัก ก็ชวนให้ชูซินฮังเข้ามาร่วมโต๊ะหาอะไรทานบ้าง

ในเวลาเดียวกัน ฉีเล่ยกลับสังเกตเห็นว่า ชูซินฮังแทบจะไม่สนใจเนื้อสัตว์เลย เขาเอาแต่คีบผักมากินกับข้าว มีครั้งสองครั้งเองที่ดูจำใจฝืนกินเนื้อสัตว์

ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งที่นึกอยากแกล้งคุณชายชูหน้าสวยคนนี้พลันแวบเข้ามา  ฉีเล่ยยื่นตะเกียบออกมาคีบเนื้อชิ้นโต แล้วไปวางไว้ในจานอาหารของชูซินฮัง และกล่าวขึ้นว่า

“ตอนนี้นายกำลังอยู่ในวัยเติบโตนะ ดูสิในจานอาหารมีแต่ผักเต็มไปหมด หัดกินเนื้อสัตว์เข้าไปบ้าง ไม่งั้นสารอาหารในร่างกายจะไม่สมดุลเอานะ”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉีเล่ยที่จู่ๆก็ทำดีด้วยแบบนี้ มีหรือที่ชูซินฮังผู้หยิ่งยโสจะยอมทนต่อสถานการณ์เหล่านี้ต่อไป? เขารีบลุกขั้นพรวดเดินจากโต๊ะอาหาร แล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่พูดไม่จาเลยสักคำ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset