ตอนที่68 ฉันอนุญาต
จากประสบการณ์การฝังเข็มก่อนหน้า ทำให้ครั้งนี้ดูคุ้นเคยไม่ประหม่าแล้ว
หลี่ถงซีเปลี่ยนเป็นชุดนอนสวมใส่สบายและฉีเล่ยเองก็จับจุดฝังเข็มลงทั่วร่างเธอได้อย่างชำนาญมือ ทั้งจุดไท่จง ซงตู ซางเมิง ฉีเมิง ทั้งหมดล้วนเป็นจุดด่านประตูพลังชีวิตทั้งสิ้น
บรรยากาศคราวนี้ไม่น่าอึดอัดแบบครั้งแรก แต่สำหรับจุดฝังเข็มสุดท้ายที่ใกล้กลับบริเวณส่วนซ่อนเร้นและเนินอกของหลี่ถงซี เธอยังคงอดเก้อเขินไม่ได้อยู่ดี ใบหน้าแปรเปลี่ยนแดงระเรื่อโดยไม่ตั้งใจ
เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัดนี้ หลี่ถงซีจึงพยายามเลี่ยงโดยการหยิบยกหัวข้อขึ้นมาสนทนาทันควัน
“คุณปู่บอกฉันว่า คุณจะไปเป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีนในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง?”
“ใช่ครับ วันนี้เขาพาผมไปพบกับหัวหน้าภาคหลินแล้ว”
ฉีเล่ยกล่าวตอบขณะลงเข็มอย่างระมัดระวัง
“งั้นพวกเราก็ถือเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว”
“เพื่อนร่วมงาน? นี่คุณสอนสาขาแพทย์แผนจีนด้วยเหรอ?”
“ไม่ ฉันสอนสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน”
ฉีเล่ยพยักหน้าพลางชี้นิ้วไปที่เนินอกตูมดุจกระต่ายขาวคู่ใหญ่ของหลี่ถงซีและกล่าวขึ้นว่า
“เรียบร้อย สวมชุดได้แล้ว”
“หื้ม? เสร็จแล้วเหรอ?”
หลี่ถงซีร้องอุทานคำหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตระหนักได้ว่าการฝังเข็มรอบใหญ่ที่กินเวลานานกว่าครึ่งวัน ยามนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ก่อนหน้านี้เธอยังต้องเปิดเนื้อหนังส่วนต่างๆให้ฉีเล่ยฝังเข็มอยู่เลย
หรือเป็นเพราะระหว่างกระบวนการรักษา เธอจมอยู่กับความคิดตอนที่พูดคุยกับคูณปู่ระหว่างมื้ออาหารเย็น เขาบอกว่า ฉีเล่ยจะไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเดียวกับเรา แต่เป็นสาขาแพทย์แผนจีน หลี่ถงซีจึงนำเรื่องนี้มาคุยกับฉีเลย่อีกที จนทำให้ลืมตัว รู้สึกตัวอีกทีก็ฝังเข็มเสร็จเรียบร้อย
เมื่อฉีเล่ยเก็บเข็มแต่ละเล่มลงกระเป๋า เธอก็พลันหน้าแดงก่ำรีบติดกระดุมปิดป้องบริเวณเนินอกขาวอวบอิ่มทันที จัดชุดนอนให้เข้าที่เรียบร้อยและลุกจากเตียงกล่าวว่า
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพานายไปรายงานตัวเอง”
“ราตรีสวัสดิ์”
ฉีเล่ยเงยหน้าคลี่ยิ้มบางให้ ก่อนจะเดินจากออกไปพร้อมกับสำรับเข็ม
คล้อยหลังเดินจากประตูออกไป ฉีเล่ยพลันขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ตามหลักแล้ว อาการป่วยของหลี่ถงซีไม่ควรจะดีขึ้นเร็วขนาดนี้ ดูจากพฤติกรรมการแสดงออกของเธอต่อหน้าเขากลับกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นผิดหูผิดตาจากตอนแรก เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายในตอนนี้ดูไม่เหมือนคนไข้ที่ป่วยทางจิตเท่าไหร่ และที่น่าทึ่งคือวิธีจัดการกับอารมณ์ที่ดีจนไม่น่าเชื่อ พอเห็นว่าบรรยากาศระหว่างฝังเข็มเริ่มอึดอัด ก็เป็นเธอที่รีบหาหัวข้อชวนคุย อย่ามองว่านี่เป็นเรื่องปกติ ต้องอย่าลืมว่า เธอคือผู้ป่วยทางจิต
มันไม่ควรเป็นแบบนี้
ในฐานะแพทย์ผู้รักษา ฉีเล่ยจำเป็นต้องเฝ้าสังเกตและรอบคอบเป็นพิเศษ ตอนที่หลี่ถงซีอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่นๆอย่าง หานหมิงต้า หรือนักศึกษาที่เข้ามาบ้านของหลี่ฮั่วเฉินวันก่อนเพื่อปรึกษาเรื่องโปรเจค ปฏิกิริยาการแสดงออกของเธอต่อผู้ชายเหล่านั้นยังคงเย็นชา และพยายามตีตัวห่างเหินเหมือนเคย
แล้วทำไมเธอถึงใกล้ชิดกับเขาได้โดยไม่แสดงอากัปกิริยาพวกนั้นเลย?
เรื่องที่ว่าคนไข้ตกหลุมรักหมออะไรแบบนั้น มันกำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาเองจริงๆงั้นเหรอ?
แต่ถ้าลองคิดตามดีๆมันก็เข้าเค้าอยู่…
ประการแรกคือหลี่ถงซีป่วยเป็นโรคกลัวผู้ชาย และเกลียดผู้ชายทุกคนที่เห็นหรือเข้ามาใกล้ เพื่อที่จะรักษาเยี่ยวยาอาการป่วยนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ให้เธอค่อยๆปรับสภาพจิตใจ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถติดต่อกับพูดคุยกับผู้ชายได้ตามปกติ
แต่ดูเหมือนว่า ตัวฉีเล่ยกลับเป็นตัวแปรที่แตกต่างจากผู้ชายทั่วไป
ผู้ป่วยทางจิตโดยส่วนใหญ่มักจะเก็บกักความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายในใจ เมื่อแพทย์ที่รักษาสามารถปลดปล่อยความรู้สึกคลั่งค้างเหล่านั้นออกมาได้ จึงเป็นการง่ายที่คนไข้จะตกหลุมรักหรือมีความรู้สึกที่ดีต่อแพทย์ผู้รักษา
กล่าวตามตรงเลยก็คือ การรักษาอาการป่วยทางจิตของเธอ กลับเป็นตัวแพทย์เองที่ต้องแบกรับราคานั้นไว้เอง
และราคาที่ว่าก็หมายถึง การที่เธอตกหลุมรักตัวเขาเอง
“เหอะ…”
ฉีเล่ยสบถออกมาคำหนึ่งด้วยความหน่ายใจ
ทำไมทุกอย่างถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เขาก็แค่ต้องการเดินทางมาที่ปักกิ่งเพื่อเป็นอาจารย์ เป็นต้นแบบให้นักศึกษาและพวกอาจารย์ทั้งหลายได้เคารพนับถือเท่านั้น แต่ตอนนี่ดูจะแตกต่างออกไป?
เมื่อกลับมาถึงห้อง ฉีเล่ยก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง หยิบมือถือโทรหาเฉินอวี้หลัว
เฉินอวี้หลัวบอกว่า เธอเพิ่งผ่านเคสผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกครั้งใหญ่มา และทุกอย่างประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่ถึงแบบนั้นเธอยังต้องติดตามอาการของคนไข้หลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนหมอระหว่างกระบวนการรักษาไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะเชื่อใจเธอไปแล้ว จึงไม่มีทางแน่นอนที่เธอจะลาออกเพื่อบินมาปักกิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของคนไข้ได้
ฉีเล่ยเองก็เป็นแพทย์เช่นกันจึงเข้าใจหัวอกของภรรรยาดีว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้กำลังคิดหรือกังวลอะไรอยู่ บางครั้งความไว้วางใจของผู้ป่วยที่มีต่อเรา มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแรงบันดาลใจหรือแรงกระตุ้นเท่านั้น แต่สิ่งนี้ก็สามารถสร้างแรงกดดันได้อย่างมหาศาลให้กับตัวแพทย์ผู้รักษาเอง เปรียบเสมือนดาบสองคมภายในตัว ถ้าตัวคุณที่เป็นแพทย์และยังพอมีมโนธรรมอยู่ในจิตใจ ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา คงโทษความผิดทั้งหมดให้ตัวเองจนกลายมาเป็นตราบาปภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฉีเล่ยกล่าวตอบปลายสายไปว่า
“ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี ฝากบอกคุณแม่ด้วยนะว่าไม่ต้องกังวลฝั่งนี้ ส่วนคุณก็พยายามดูแลในส่วนนั้นให้ดีที่สุด แล้วผมจะรอคุณที่ปักกิ่ง”
“อืม”
เฉินอวี้หลิวเอ่ยตอบขึ้นว่า
“อย่าทำงานหักโหมล่ะ พักผ่อนบ้างนะ แล้วถ้าเหนื่อยมาก…เดี๋ยวฉันจะรีบไปหาและทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของคุณเอง”
ฉีเล่ยกล่าวติดตลกไปว่า
“ในเมืองหลวงมีแต่อะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังไม่รีบมา มีหวังสามีคนนี้โดนผู้หญิงอื่นฉุดไปทำมิดีมิร้ายแน่เลย”
“อุ๊บ!”
เฉินอวี้หลิวกลั้นขำแทบไม่อยู่
“ถ้าถึงขนาดที่มีผู้หญิงอื่นต้องการจะแย่งสามีของฉันไป แสดงว่าสามีของฉันคงเลอค่ามาก…มากซะจน…ฉันไม่คู่ควร…”
ฉีเล่ยสวนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“หยุดพูดแบบนั้นได้แล้ว! นี่คิดจะผลักไสกันเหรอ?”
เฉินอวี้หลิวกล่าวเสียงอ่อนปนเศร้าสร้อยว่า
“ฉันเคยทำเรื่องเลวร้ายกับนายมาตั้งมาก แต่นายก็ยังอยู่เคียงข้างฉันด้วยความจริงใจเสมอมา นี่มันไม่ถูกต้องเลย ฉัน…ฉันสมควรต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อขึ้น ถ้า…ถ้านายอยากจะมีก็ได้นะ…สักคนสองคน หรือ..สามหรือสี่…ถ้านายมีความสุขฉันก็โอเค ฉัน…ฉันอนุญาต”
“นี่หมายความว่ายังไง? ชดใช้งั้นเหรอ?”
“อืม”
เฉินอวี้หลิวกล่าวต่อว่า
“จำครั้งสุดท้ายที่เราไปเที่ยวกันได้ไหม? นายบอกจะพาฉันไปซ่านย่า บอกฉันว่าจะพาไปมัลดีฟ ไม่ว่านายอยากไปที่ไหนหรือ…กับใครฉันก็ไม่ว่านะ แต่…แต่…ให้ฉันไปด้วยคนได้ไหม? อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว…แต่ฉันก็เป็นภรรยาคนหนึ่งที่อยากได้ความรักจากสามี…แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี…”
ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“ผมรักแค่คุณคนเดียว ที่รัก…”
“หื้ม?”
“ผมคิดถึงคุณ”
“ฉันเองก็คิดถึงนายเหมือนกัน”
“แต่ฉัน…ฉันได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ควรทำกับนายลงไปแล้ว ฉันเป็นภรรยาที่ไม่ได้เรื่องเลย”
เฉินอวี้หลัวกล่าวต่อว่า
“ฉันก็แค่ผู้หญิงโง่คนหนึ่ง ไม่สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่นายได้เลยสักอย่างตลอดแปดปีมานี้ ดังนั้นนายไปหาสิ่งที่ดีและมีความสุขให้กับตัวเองเถอะ ถ้ามี…ถ้ามีผู้หญิงที่ดีกว่าและรักตัวนายจริงๆ ฉัน…ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ”
ฉีเล่ยกล่าวตอบทันที แม้น้ำเสียงฟังดูนุ่มลึกสงบนิ่งแต่กลับเยือกเย็นเกินพรรณนา
“นี่คุณ…กำลังบอกเลิกผมใช่ไหม?”
เฉินอวี้หลัวตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น
“ไม่! ไม่ใช่นะ! ฉันแค่หมายถึง…ฉันแค่หมายถึง…ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามนายได้ ฉันอยู่ไม่ได้หรอกถ้าปราศจากนาย ที่รัก…ไม่ว่าในอนาคตจะมีผู้หญิงอื่นสักกี่คน แต่อย่าทิ้งฉันเลยจะได้ไหม?”
น้ำเสียงปลายสายโทรศัพท์กำลังร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก ราวกับลูกแมวจรที่โดนปล่อยทิ้งไว้กลางสายฝน
“แล้วทำไมผมต้องทิ้งคุณด้วย? ไม่ว่าอีกสักกี่สิบปี คุณก็ยังเป็นภรรยาเพียงคนเดียวที่ผมรัก อย่าพูดแบบนี้อีกเข้าใจไหม? ถ้าคุณแม่ได้ยินเข้าจะทำยังไง? พูดอย่างกับว่าผมกำลังนอกใจอยู่จริงๆ?”
แต่ทันใดนั้นเสียงปลายสายโทรศัพท์ก็พลันเปลี่ยนไปกะทันหัน ปรากฏว่าเป็นสุ้มเสียงของซูชางฉิน
“ฉีเล่ย แม่ได้ยินทุกอย่างหมดแล้วนะ แม่เป็นคนบอกเธอเอง ไม่ต้องห่วงทางนี้ ทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขไปเถอะ ขนาดฮ่องเต้ในสมัยก่อนยังมีสนมเอก สนมรอง แถมยังมีนางบำเรออีกนับไม่ถ้วน แล้วทำไมนายจะทำไม่ได้กันล่ะ? ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ายังมีได้ก็แสดงว่านายยังแข็งแรง…”
ตู๊ด ตู๊ด…
ฉีเล่ยกดตัดสายทิ้งทันที
เขาทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
เป็นอะไรกันไปหมด!
บ้ากันไปแล้วรึไง!
สองแม่ลูกคู่นี้ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถ้าไม่เสียสติจนคิดฟุ้งซ่านขนาดนี้ คงหาคำอธิบายอื่นที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ฉีเล่ยวางมือถือไว้ข้างเตียงและนอนพลิกตัวไปมา กระสับกระส่ายคิดไม่ตกเช่นนี้ตลอดทั้งคืน
ส่งผลให้เขานอนหลับไม่สนิทเท่าที่ควร ทั้งยังฝันถึงเฉินอวี้หลิว หลี่ถงซี แถมยังมีชูซินชูอีกด้วย…
จนคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวเข้ามาในฝันของฉีเล่ยก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก บรรพบุรุษตระกูลเฉิน เป็นคนเดียวกับที่ถ่ายทอดทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์ให้แก่เขา
ชายชราลูบเครายาวพลางกล่าวกับฉีเล่ยว่า
“เป็นยังไงล่ะ? ข้าบอกแก่เจ้าตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า คล้อยหลังที่ตัวเจ้าได้รับสืบทอดทมมรดกต่อจากข้า ชีวิตของเจ้าจะเปรียบดั่งขึ้นสวรรค์! ข้าไม่ได้โกหกเจ้าเลยเห็นหรือไม่? เจ้าในตอนนี้มีความสุขเหลือล้น!”
ฉีเล่ยยืนอึ้งพูดไม่ออก
“…”