ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 103 แก้เกม

ตอนที่103 แก้เกม

หลังจากที่ออกมาจากร้าน ฉีเล่ยก็กำลังจะโบกมือเรียกแท็กซี่ ทว่าจู่ๆ เหอจื่อก็เอ่ยทักขึ้นว่า

“อาจารย์ฉี เราออกไปเดินเล่นกันหน่อยไหม? นานมากแล้วที่หนูไม่ได้เดินช็อปปิ้งในตลาดกลางคืนแบบนี้”

มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลยที่จะเฟ้นหาโอกาสได้อยู่กับฉีเล่ยแบบสองต่อสอง ดังนั้นเธอไม่ต้องการให้ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้จบลงโดยไว มีผู้ชายที่เพียบพร้อมแบบนี้ผ่านเข้ามาในชีวิต ในฐานะผู้หญิงคนนึง เธอเองก็ต้องพยายามไขว้คว้าเท่าที่จะทำได้เช่นกัน

ฉีเล่ยตั้งใจไว้แล้วว่าจะกลับบ้าน เพราะเขายังต้องไปรักษาหลี่ถงซีต่อ แต่ถึงจะตอบปฏิเสธกลับไป เหอจื่อยังคงยืนกรานจะไปเดินเล่นกับเขาให้ได้ ดังนั้นแล้วเขาก็ไม่อยากขัดใจแม่สาวสุดแกร่งคนนี้เท่าไหร่นัก จึงพยักหน้าตอบตกลงไปว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ งั้นเดินเป็นเพื่อนเล่นสักพักนะ แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

“ได้ค่ะ!”

เห็นได้ชัดว่าเหอจื่อดูมีความสุขอย่างมาก

“งั้นหนูจะจับเวลาเอาไว้ เริ่มแล้วนะคะ!”

พูดจบเธอก็หยิบมือถือขึ้นมาจับเวลาอย่างจริงจัง

เป็นค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงที่สีสายลมพัดโชยอ่อนเย็นสบายอยู่ตลอด เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายระหว่างฤดูร้อนจึงทำให้ไม่หนาวเย็นจนเกินไป เป็นช่วงอุณหภูมิที่กำลังพอเหมาะ

เหอจื่อพาฉีเล่ยเดินช็อปปิ้งตามตรอกซอกซอยตลาดกลางคืนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ยืนรอทางสัญญาณเตือนข้ามถนนให้เป็นไฟเขียวหน้าสี่แยก สายธารฝูงคนยามราตรีเริ่มเดินไหลไปดั่งกระแสน้ำเมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียว บรรยากาศรอบตัวประดับประดาแสงไฟสีสวย เจือสายลมเย็นคล้อยไปกับท่วงทำนองของบทเพลงเก่า ฟังไพเราะเสนาะหู

ช่างเป็นอะไรที่มีความสุขอย่างแท้จริง

การเดินช็อปปิ้งกับสาวงามหาใช่เรื่องน่าเบื่อ เพียงแต่ทุกสายตาที่จับจ้องโดยรอบแค่สัมผัสก็รู้ว่า มันเปี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉาจากเหล่าชายโสด ถึงขนาดที่ว่าบางคนร้องอุทานด้วยถ้อยคำไร้สาระมากมาย

แม้ว่าบางทีพวกเขาจะเหม่อลอยไร้สติจนเดินชนกับคนอื่น ทว่าภายในหัวกลับคิดแต่ว่า ‘ทำไมฉันถึงไม่มีเพื่อนผู้หญิงหน้าตาน่ารักแบบนี้บ้างนะ?’ ‘ทำไมชีวิตของฉันน่าสมเพชขนาดนี้!’

อย่างไรเสีย ฉีเล่ยไม่ได้ใส่ใจเลย

เหอจื่อกับฉีเล่ยยังคงเดินเคียงข้างกันอย่างเงียบงัน บนใบหน้าอันงดงามของสาวน้อยคนนี้ประดับคู่พร้อมรอยยิ้มสีจาง บ้างก็ฮัมเพลงตามท้องถนนที่ได้ยิน เธอในเวลาแบบนี้แตกต่างไปตอนปกติโดนสิ้นเชิง ทำให้เห็นดูเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่น่ารักและทรงเสน่ห์เกินใครๆ

ตั้งแต่ฉีเล่ยมาสอนหนังสือ เนื่องจากเหอจื่อเอาแต่เคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ตลอดไม่เว้นแม้แต่ในคลาสเรียน ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเท่าไหร่

ฉีเล่ยในตอนนี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า เด็กสาวคนนี้เริ่มมีความรู้สึกที่พิเศษต่อเขาแล้วจริงๆ แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้คิดจะขยายความหรือยกเรื่องนี้มาพูด เขาต้องการให้เธอปฏิบัติต่อตัวเองในฐานะอาจารย์ที่เคารพ และเรียนรู้สืบทอดทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์เท่านั้น

เพลงที่เปิดเคลียคลออยู่ตามท้องถนนในขณะนี้มีชื่อว่า ‘Love of Hiroshima’

เหอจื่อเดิมฮัมเพลงอย่างมีความสุข

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณชอบร้องเพลงขนาดนั้นเลย?”

เหอจื่อหัวเราะและยิ้มตอบไปว่า

“อืม…การร้องเพลงมักจะทำให้คนเรามีความสุข ทุกครั้งที่หนูเศร้า หนูมักจะไปหาที่เงียบๆ ร้องเพลงอยู่ตลอด”

ฉีเล่ยอดหัวเราะไม่ได้

“อ้าว? แสดงว่าตอนนี้กำลังเศร้าอยู่เหรอ?”

“ทำไมจะเศร้าไม่ได้ล่ะ? หนูก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีหัวใจมีความรู้สึกนะคะ”

พอพูดออกไปแบบนั้น เหอจื่อก็ยกมือปิดปากราวกับพูดอะไรผิดไป เธอเผลอแสดงความในใจออกไปเสียแล้วว่า ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกเศร้าภายในใจ

อันที่จริง นอกจากมู่เซียวหยานแล้ว เธอก็ไม่ค่อยเปิดใจคุยแบบนี้กับคนอื่นเลย แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอเปิดใจนั้นก็หมายความว่า เธอจะไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกได้อีกต่อไป

แน่นอน เบื้องลึกภายในใจของเธอย่อมมีความโศกเศร้าซ่อนแฝงอยู่เช่นกัน

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างขึ้นมา ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เลย

เธอรู้สึกไม่มีความสุขเลยสักนิดเมื่อนึกถึงเรื่องที่อื้อฉาวระหว่างอาจารย์ฉี กับ หลี่ถงซี

เธอไม่มีความสุขเลยสักนิดที่เห็นพวกเขานั่งรถคันเดียวกัน

เธอไม่มีความสุขเลยสักนิดที่เห็นรูปคู่ของพวกเขาในโพสต์ที่คนอื่นเอามาลง

พอเหอจื่อลองมองย้อนกลับมาดีๆ ปรากฏว่าความทุกข์ใจและโศกเศร้าทั้งหมดของเธอล้วนเกิดจากอาจารย์ฉีทั้งสิ้น

ในทางกลับกัน ฉีเล่ยกลับไม่เคยทราบในมุมนี้ของเธอเลยแม้แต่น้อย พอมีโอกาสได้พูดคุยกับ แล้วเขาเอ่ยถามขึ้นว่า

‘แสดงว่าตอนนี้กำลังเศร้าอยู่เหรอ?’ จึงไปกระตุ้นก้นบึ้งในใจของเธอโดยพลัน

เหอจื่อพยายามเบนความสนใจให้ได้มากที่สุด เพื่อจะปกปิดสิ่งเหล่านี้ เธอรีบเอ่ยอธิบายขึ้นว่า

“หมายถึง…หมายถึงว่าตอนที่หนูยังเด็กน่ะ มู่เซียวหยานชอบทำให้หนูเศร้าใจอยู่ตลอดทุกครั้งที่โทรหา พอโตขึ้น เธอก็ยังเอาแต่บังคับให้หนูโทรหาตลอดทั้งวี่ทั้งวัน”

“ฮ่าฮ่า คุณแม่คนนี้น่าสนใจจริงๆ นะครับ”

ความประทับใจแรกพบของเขาต่อมู่เซียวหยานค่อนข้างเป็นไปทางที่ดี ถึงจะดูเป็นผู้หญิงขี้หงุดหงิด แต่ทั้งหมดเกิดการความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่ เนื้อแท้แล้วเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย

อย่างน้อยเท่าที่เขาเห็นมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เพราะไม่ว่าจะเป็นมู่เซียวหยานหรือเหอจื่อ โดยพื้นฐานพวกเธอเป็นคนหน้าตาดี จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่จะวางตัวต่อหน้าคนอื่น และไม่จำเป็นต้องทำแสดงท่าทีกิริยาแบบนั้นออกไปด้วยซ้ำ

“เธอชอบทำตัวกวนประสาน”

เหอจื่อขดริมฝีปากเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า

“ทุกครั้งงที่ฉันไปซื้อเสื้อผ้า เธอชอบที่จะขอลองก่อน ถ้าใส่ออกมาแล้วดูสวยก็จะไปซื้อชุดที่คล้ายกันมาใส่ข่ม”

“แถมทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก เธอก็ใช้เวลาแต่งหน้าแต่งตัวนานกว่าหนูอีก เวลาเธอลองเสื้อผ้า ก็มักจะถามหนูว่า ชุดนี้เข้ากับแม่ไหม? ถ้าตอบว่าเข้า เธอก็บ่นว่า หนูขี้ประจบ แต่พอตอบไปว่าไม่เข้า ก็หาว่าหนูตาบอด แล้วไปเปลี่ยนชุดอื่นจนกว่าจะได้ด่าหนูว่าขี้รประจบนั่นแหละ”

เมื่อเหอจื่อพูดถึงแม่ของเธอ ก็มักจะบ่นเกี่ยวกับนิสัยที่ชอบแกล้งเธออยู่เป็นประจำจนรู้สึกรำคาญ แต่สิ่งเดียวที่ฉีเล่ยมองเห็นผ่านใบหน้าของเหอจื่อในขณะที่เล่าถึงแม่ตัวเองคือ สาวน้อยคนนี้กำลังมีความสุข

ฉีเล่ยหัวเราะและเอ่ยขึ้นว่า

“เธอโชคดีมากเลยนะที่มีแม่แบบนี้ อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของครอบครัวคือช่วงอายุระหว่างสองรุ่นที่ห่างกันเกินไป แต่แม่ของคุณคงตระหนักถึงจุดนี้ดี ก็เลยพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตามคุณทัน และต้องการให้คุณมองเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่ง”

เหอจื่อพยักหน้าพร้อมเงยหน้าขึ้นมองฉีเล่ย

“หนูว่า…แม่ของหนูคงชอบอาจารย์ฉีมาก ถ้ารู้ว่าอาจารย์เข้าใจเธอถึงขนาดนี้”

ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยกล่าวใดๆ ต่อ แต่ทันใดนั้นเขากลับหรี่ตาแคบลงในทันใด

ตรงหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ณ ภัตตาคารใต้โรงแรมไคเยวี่ยแกรนด์ เขาสังเกตเห็นโห่วเซินกัวและหานหมิงต้ากำลังเดินออกมาด้วยกันอย่างสนิทสนม พลางพูดคุยหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะกล่าวอำลาโบกไม้โบกมือและขึ้นรถแยกกันออกไป

“อาจารย์รู้จักพวกเขาเหรอ?”

เหอจื่อสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยพลันของฉีเล่ยจึงเอ่ยถามขึ้นทันที

“ใช่ครับ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

เขากำลังคิดอยู่ว่า การที่ทั้งสองแอบนัดมาทานอาหารและพูดคุยกันแบบนี้ มันไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่นอน สำหรับนิสัยสันดานของโจ่วเซินกัว ไม่จำเป็นต้องบรรยายอะไรมาก ฉีเล่ยสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า หมอนี่มันก็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง ส่วนหานหมิงต้าเองก็น่าจะมีไม่น่าจะเป็นมิตรเท่าไหร่ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่ถงซีที่ไม่สู้ดีนัก แถมในวันนั้นกลางห้างสรรพสินค้า ฉีเล่ยยังเป็นฝ่ายทำให้แฟนสาวของเขาฉีแตกและสร้างความอับอายอย่างมากต่อทุกคน ด้วยเหตุนี้เองน่าจะทำให้หานหมิงต้ากับซูเสี่ยวหยานแยกทางกัน

แม้ว่าซูเสี่ยวหยานจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่การที่เลิกกับเธอเพียงเพราะว่าฉีแตกโดยที่ซูเสี่ยวหยานทำดีกับเขาตลอดมา นี่เรียกว่าผู้ชายที่ดีรึเปล่า?

ยิ่งไปกว่านั้นเอง ความขัดแย้งระหว่างโห่วเซินกัวและฉีเล่ยก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ในตอนที่สองพ่อลูกเดินทางมาพบกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซี ผนวกกับศึกแย่งชิงตำแหน่งประธานบริหารกับหลี่ฮั่วเฉินอีก

อย่างไรก็ตามแต่ การที่รองประธานบริหารโรงพยาบาล กับประธานบริษัทเครื่องมือทางการแพทย์มาแอบคบค้าสมาคมกันอย่างลับๆ แบบนี้ นี่มันคือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่งเลยไม่ใช่เหรอ?

“ทั้งสองคนนี้เป็นโจทย์ของอาจารย์ใช่ไหม?”

เหอจื่อเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง

“รู้ได้ยังไง?”

“ก็ดูสายตาที่อาจารย์จ้องมองพวกเขาสิค่ะ อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเลย”

“หยุดเดาได้แล้วครับ”

ฉีเล่ยเหลือบมองดูนาฬิกาบนข้อมือและกล่าวต่อว่า

“หมดเวลาแล้ว เดี๋ยวผมจะพาส่งกลับหอใน”

จากนั้นเขาก็เดินไปริมถนนและโบกมือเรียกแท็กซี่ทันที เหอจื่อดูไม่ค่อยเต็มใจกลับทั้งแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายเธอยังต้องรักษาสัญญากับฉีเล่ยอยู่ดี จึงหน้ามุ่ยขึ้นแท็กซี่ไป

ระหว่างทางกลับ ฉีเล่ยยังคงครุ่นคิดเกี่บวกับเรื่องราวต่างๆ นานา

เฉินอวี้หลิวเคยเล่าเรื่องภายในโรงพยาบาลให้เขาฟังว่า โดยปกติแล้ว โรงพยาบาลจะมีขั้นตอนการตรวจสอบก่อนซื้อและนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและละเอียดมาก อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึงชื่อเสียงของซัพพลายเออร์เจ้านั้นๆ ด้วย

ทั้งหมดนี้คือมาตรฐานที่จำเป็นต้องตรวจสอบตามขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน โรงพยาบาลบางแห่งถึงกับต้องประมูลสิทธิ์การขายกันเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่อย่างโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่ง ต้องใช้วิธีการประมูลเพื่อนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์

ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้ การที่ผู้นำระดับสูงของโรงพยาบาลมาคบหาสมาคมกับซัพพลายเออร์อย่างลับๆ แบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสีเทาแน่นอน

ฉีเล่ยแสยะยิ้มขึ้นทันที ในที่สุดเขาก็หาทางช่วยหลี่ฮั่วเฉิงแก้เกมได้แล้ว

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset