ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 130 จักรกลโดนวางยาพิษ

ตอนที่130 จักรกลโดนวางยาพิษ

ในบ่ายวันนี้มีวิชาการวินิจฉัยทั้งหมดสองคาบติดต่อกัน เมื่อเสียงกริ่งเริ่มต้นคาบเรียนดังขึ้น ตาแก่ซงก็เดินเข้าไปในห้องทันทีพร้อมกับหนังสือสองเล่มที่หนีบไว้ใต้รักแร้ ส่วนมืออีกข้างก็ถือกระติกน้ำร้อนไว้

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาด้านใน เขาก็กวาดสายตามองไปทั่วห้อง ดูเหมือนว่าภายในจะมีนักศึกษาอยู่เกือบร้อยคน ขนาดในคลาสเรียนของตัวเขาเองยังไม่เคยมีเด็กนักศึกษาเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนเลย ซึ่งนั่นทำให้ความภาคภูมิใจของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น

ตาแก่ซงวางหนังสือและกระติกน้ำร้อนลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นจึงยืนยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยกวาดสายตามองดูเหล่าลูกศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ภายในห้อง เกริ่นประโยคแรกด้วยเสียงกระแอมไอ ก่อนจะป่าวประกาศด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า

“นักศึกษาบางคนน่าจะพอรู้เรื่องกันแล้วนะ แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ยังไม่ทราบข่าว ฉันก็จะอาสาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเธอฟังก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเหล่านักศึกษาที่ยังนิ่งเงียบ เขาก็พูดต่อทันที

“ก่อนหน้านี้ อาจารย์ฉีรับหน้าที่สอนวิชาการวินิจฉัย แต่ปัจจุบันเขาถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกไปแล้ว เนื่องจากไม่มีวุฒิการศึกษา ดังนั้นฉันจึงเข้ามารับช่วงสอนต่อแทน รอจนกว่าทางมหาวิทยาลัยจะหาอาจารย์คนใหม่ได้ ฉันเองก็หวังว่าอาจารย์คนใหม่จะไม่ทำให้พวกเธอต้องผิดหวังอีกนะ เอาล่ะ พวกเราไม่ควรเสียเวลาอันมีค่าไปมากกว่านี้แล้ว พวกเธอมีความเห็นกันยังไงบ้างล่ะ?”

“ก็ไม่ยังไง”

ทุกคนเอ่ยปากตอบพร้อมกันอย่างไม่แยแส

ตาแก่ซงถึงกับต้องยืนยิ้มค้าง ก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงแทน

เขากวาดสายตาจับจ้องเด็กนักศึกษาทั้งคลาสอีกครั้ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

“พวกเธอทุกคนเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นอาจารย์สอนวิชานี้ พวกเธอก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉันนับแต่นี้! อย่าเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ! แล้วตำราเรียนของพวกเธออยู่ที่ไหน? หยิบขึ้นมาสิ!”

“เรียนท่านอาจารย์ซง! อาจารย์ฉีไม่เคยอนุญาตให้พวกเราใช้ตำราระหว่างเรียนครับ!”

นักศึกษาคนหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่นมาจากหลังห้อง

“อาจารย์ซงคะ! อาจารย์ฉีเคยพูดไว้ว่า วิชาการวินิจฉัยคือภาคปฏิบัติ ถ้ามีอาจารย์คนไหนสอนวิชานี้ตามเนื้อหาในหนังสือ ก็นับได้ว่าอาจารย์คนนั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสอนใครก็ค่ะ!”

“อาจารย์ซงครับ รู้สึกว่าอาจารย์จะเคยสอนวิชา‘ประวัติศาสตร์แพทย์แผนจีน’มาก่อนใช่ไหมครับ? ในคลาสสอนของอาจารย์มันยอดเยี่ยมไปเลยครับ ผมหลับโคตรสบายเลย! น่าจะไปสอนวิชานั้นต่อนะครับ แล้วทำไมต้องมาฝืนสอนวิชายากๆอย่างวิชาการวินิจฉัยด้วยล่ะครับ? ผมว่าจุดแข็งของอาจารย์ซงคือการกล่อมพวกเราให้นอนหลับนะ”

“ฮ่าฮ่าๆๆๆ!”

นักศึกษาทั้งหลายต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะเยาะออกมาดังลั่นห้อง พวกเขาไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะมีความอาวุโสแค่ไหน? ถ้าไม่สามารถมอบประโยชน์แก่พวกเขาได้ในฐานะอาจารย์ อายุก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น

กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของตาแก่ซงถึงกับกระตุก ทันใดนั้นเขาคว้าแปรงลบกระดานดำขึ้นมาทุบโต๊ะเสียงดังอยู่นาน ก่อนจะร้องตะโกนออกไปว่า

“เงียบ! ฉันบอกให้เงียบ! เงียบให้หมดทุกคน! อาจารย์แต่ละคนมีรูปแบบการสอนที่แตกต่างกัน ถ้าจะโทษว่าความรู้ในหนังสือมันไม่ดี แล้วจะมีตำราเรียนไปทำไมกัน? แล้วอีกอย่าง พวกเธอทุกคนปล่อยให้ผู้ชายไร้การศึกษาแบบนั้นมามีอิทธิพลต่อความคิดได้ยังไงกัน? รู้ไหมว่าหมอนั่นไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยซ้ำ! รู้แบบนี้แล้วยังกล้าเรียกเขาว่าอาจารย์อยู่ไหม?!”

“โอ้โห? ขนาดอาจารย์ฉีไม่เคยเรียนมาหวิทยาลัย ยังเก่งกว่าตาแก่แถวนี้เลยว่ะ?”

“อืม อืม ก็เข้าใจแหละ เป็นธรรมดาที่คนด้อยกว่ามักจะหาข้อแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ”

“พวกเรายังไม่พูดสักคำเลยนะครับว่า ตำราเรียนมันไม่ดี? การอ่านตำราเรียนและจัดเตรียมแบบแผนการสอนที่ดีเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์ที่ดีเช่นกัน การที่อาจารย์เหล่านั้นสามารถสอนลูกศิษย์โดยไม่ต้องเปิดตำราสอน มันได้พิสูจน์แล้วว่า อาจารย์เหล่านั้นรับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดีขนาดไหน อาจารย์ซงครับ ที่อาจารย์ให้พวกเราเปิดตำราเรียนควบคู่ไปกับการสอนด้วยแบบนี้ ก็เพราะว่ายังไม่เคยอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาก่อนมาสอนใช่ไหมครับ?”

“อาจารย์ซง อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับอาจารย์ฉีเลยครับ ยิ่งเปรียบเทียบเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกสมเพชแทนอ่ะครับ ขอร้องนะจารย์ งั้นคาบนี้ก็ช่วยเปลี่ยนมาสอนวิชา‘ประวัติศาสตร์แพทย์จีน’แทนก็แล้วกัน ช่วยกล่อมนอนผมหน่อย ผมอยากนอนมากแล้ว”

“ฮ่าฮ่าๆๆๆ!”

ปัง! ปัง! ปัง!!

ตาแก่ซงโกรธมากจนใบหน้าสั่นเทาไม่หยุด เขากระหน่ำฟาดฝ่ามือลงบนตบโต๊ะ ราวกับกำลังระบายอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ข้างในออกมา

“พวกเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้กันมาได้ยังไง! แม้แต่กฎระเบียบของทางมหาวิทยาลัยยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ! หัวหน้าคณะอาจารย์ซีบอกกับฉันก่อนมาสอนว่า ฉันมีสิทธิ์ไล่พวกเธอออกจากชั้นเรียนได้! และยังมีสิทธิ์ทำทัณฑ์บนกับพวกเธอด้วย! พูดกันตามตรงเลยนะ ฉันเองก็ไม่อยากมีปัญหากับพวกเธอเหมือนกัน แต่ก็อย่ามาบีบบังคับให้ฉันต้องงัดไม้แข็งออกมาใช้เหมือนกัน! อำนาจอยู่ในมือของฉัน ถ้าฉันยื่นเรื่องทำทัณฑ์บนพวกเธอขึ้นมาจริง ประวัติการศึกษาของพวกเธอจะต้องด่างพร้อยติดตัวไปตลอดชีวิต! แล้วในอนาคตข้างหน้าก็จะไม่มีโรงพยาบาลไหนอยากรับพวกเธอเข้าไปทำงาน!”

ตาแก่ซงชี้นิ้วไปทางประตูพร้อมกับร้องตะโกนท้าทาย

“ถ้าใครไม่อยากเรียนในคาบของฉันก็เชิญออกไปซะ! แล้วห้ามเหยียบกลับเข้ามาเรียนอีก! แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะยังให้พวกเธอได้เข้าสอบปลายภาค!”

ตาแก่ซงเคยได้ยินมาว่า ฉีเล่ยเคยใช้ท่าไม้ตายนี้ปราบปรามเด็กกลุ่มนี้จนอยู่หมัด ซึ่งในตอนนั้นเขาเองก็เห็นตัวอย่างแล้วว่าใช้ได้ผลขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงหยิบยกวิธีนี้มาลองใช้กำราบเด็กนักศึกษากลุ่มนี้ดูบ้าง และเขาก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นักศึกษาพวกนี้ต้องไม่กล้าเดินออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตาอาจารย์ระดับอาวุโสแบบเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าเด็กนักศึกษาคนนั้นจะกล้าดีแค่ไหนก็ตาม!

ทว่าน่าเสียดายที่อาจารย์ซงไม่ใช่อาจารย์ฉี

ทันทีที่ตาแก่ซงร้องตะโกนท้าทายจบ เหอจื่อที่นั่งอยู่แถวแรกสุด จู่ๆก็ถอดหูฟังยัดเก็บเข้าไปในกระเป๋าของเธอ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋าพาดไหล่ข้างหนึ่ง แล้วเดินจากออกไปอย่างไม่แยแส

ตึงตัง…ตึงตัง…

ทั่วทั้งห้องเรียนสั่นสะเทือนไปหมด นักศึกษาแต่ละคนต่างก็ง่วนอยู่กับการเก็บของทุกอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋า ก่อนจะลุกขึ้นเดินผ่านบานประตูออกไปทีละคนสองคน เด็กนักศึกษาเหล่านี้ไม่มีใครเห็นแก่หน้าอาจารย์ซงเลยสักคน

ในชั่วพริบตา ภายในห้องเรียนแห่งนี้ก็เหลือเพียงนักศึกษานั่งอยู่แค่คนเดียว

ตาแก่ซงจับจ้องไปที่นักศึกษาหนุ่มคนนั้นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างสุดจะบรรยาย

อย่างน้อยก็ยังมีเด็กอยากเรียนกับเขาด้วยใจจริง

แต่จู่ๆนักศึกษาหนุ่มคนนั้นก็หันไปตะโกนใส่เพื่อนที่กำลังเดินจากออกไปว่า

“ไอ้เวร! พากูออกไปด้วย! ขาเข้าเฝือกอยู่แบบนี้กูลุกไม่ได้!”

ปรากฏว่าที่นักศึกษาหนุ่มคนนั้นนั่งนิ่งไม่ลุกไปไหนก็เพราะว่า เขาได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อขาฉีกจากการเตะบอล และหมอได้ทำการเข้าเฝือกไว้ให้จึงไม่สามารถขยับไปไหนได้ ขนาดจะเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งยังต้องให้เพื่อนช่วยประคองไปตลอด แล้วจะให้ลุกเดินออกไปเพียงลำพังได้อย่างไรกัน

……………

วันนี้ทั้งวันฉีเล่ยไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่ออุทิศตัวศึกษาศาสตร์แห่งเทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ ส่วนหลี่ถงซีนั้นไปมหาวิทยาลัยเนื่องจากมีสอนสองคาบตอนเช้า แต่พอกลับมาในตอนเที่ยง เธอก็อยู่บ้านตลอดเพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ให้กับฉีเล่ย

เวลานี้ สิ่งหนึ่งที่หลี่ถงซีได้รับรู้ก็คือ ฉีเล่ยมีความสามารถด้านการแพทย์ที่ล้ำเลิศมากก็จริง แต่ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของเขานั้นกลับตรงกันข้ามจนถึงขั้นที่เรียกว่าโง่ก็ได้

หลังจากเธอพยายามอธิบายเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ให้เขาฟังอยู่ตลอดทั้งบ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฉีเล่ยก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร? เขาค่อนข้างประหลาดใจอย่างมากว่า คนเราจะสามารถวางยาพิษใส่คอมพิวเตอร์ได้ยังไง ทั้งๆที่คอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปของเขาไม่มีทางเดินอาหาร?

สิ่งนี้เป็นเพียงเครื่องจักรกลไม่ใช่ร่างกายชีวภาพแบบมนุษย์ ทำไมถึงถูกวางยาพิษได้ล่ะ? แล้วจุดประสงค์ของคนวางยาพิษคืออะไรกันแน่?

เขาพยายามจินตนาการไปว่า หากตัวเองถูกวางยาพิษคงต้องดื่มยาสมุนไพรสักถ้วยเพื่อบรรเทาอาการ หรือเพื่อถอนพิษ แต่เครื่องจักรกลเหล่านี้แพ้น้ำ หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เขาต้องฝังเข็มแล็ปท็อปของตัวเอง?

หลี่ถงซีแทบประสาทกิน เธอยังคงอดทนอธิบายให้เขาฟังอีกหลายรอบ จนในที่สุดเขาก็พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านั้น และเอ่ยถามพร้อมสีหน้าเคร่งเครียดว่า

“ถ้าคุณบอกว่า แล็ปท็อปของผมถูกวางยาพิษจริง แสดงว่าต้องมีคนลอบวางยาพิษถูกไหม? แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เห็นคนที่น่าสงสัยว่าจะแอบมาวางยาพิษแล็ปท็อปเครื่องนี้เลยนะ?”

“…”

หลี่ถงซีถึงกับต้องใช้นิ้วมือนวดขมับของตนเองทั้งสองข้าง เพื่อปรับจูนสติตัวเองให้กลับมาอยู่ในความสงบชั่วครู่ ก่อนจะกัดฟันอธิบายต่อไปว่า

“อย่างแรกเลยนะ มันไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ มันสามารถแพร่กระจายผ่านทางอินเตอร์เน็ต ที่ไหนมีเครือข่ายสัญญาณ ไวรัสก็สามารถแทรกซึมไปได้หมด”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่า แล็บแท็อปของผมโดนวางยาพิษ?”

“ก็ตัวเครื่องมีโปรแกรมป้องกันไวรัสติดตั้งอยู่แต่แรกแล้ว เวลาที่มีไวรัสบุกรุกเข้ามา โปรแกรมนี้จะแจ้งเตือนให้เรารู้ในทันที”

“ที่คุณพยายามจะบอกผมก็คือ ถ้ามีโปรแกรมป้องกันยาพิษ เราจะสามารถกำจัดยาพิษออกจากร่างกายของแล็ปท็อปได้ใช่ไหม?”

สุดยอดไปเลย!

ไอ้สิ่งที่เรียกว่า โปรแกรมป้องกันอะไรนั่นมันทรงคุณค่าเทียบเท่าภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์เลยเชียวเหรอ? นี่ถ้าร่างกายของมนุษย์มีโปรแกรมติดตั้งอยู่ก็คงดี เวลามีเชื้อโรคเข้ามาจะได้แจ้งเตือนได้ตั้งแต่เนิ่นๆ!

แต่แล้วจู่ๆหลี่ถงซีก็พูดต่ดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก

“แต่โปรแกรมป้องกันไวรัสมันก็ไม่ได้ช่วยได้ทุกอย่างหรอกนะ ทางที่ดีที่สุดนายควรหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ที่ส่อไปในทางไม่ดีแบบนั้น”

“ผมบังเอิญคลิกไปโดน…”

หลี่ถงซีโบกมือไปมาและรีบพูดขัดขึ้นทันที

“ไม่ต้องพยายามอธิบายให้ฉันฟังหรอก มันไร้ประโยชน์ นายควรคิดดีกว่าจะอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังยังไง”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่ต้องห่วง ผมบอกลูกศิษย์ทุกคนไปแล้วล่ะว่า แล็ปท็อปของผมถูกคนลอบวางยาพิษ”

ในขณะนั้นเอง เสียงเรียกเข้าจากมือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้น

หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อของเหอจื่อขึ้น ฉีเล่ยไม่เข้าใจเลยว่า เธอมีธุระอะไรถึงต้องโทรมาในเวลานี้ แต่ก็กดรับสาย

“อาจารย์ฉีคะ นี่รู้จักกับอาจารย์ชางด้วยเหรอ?”

“อาจารย์ชาง?”

ฉีเล่ยทวนคำพูดด้วยสีหน้างุนงงสงสัย

“ใครเหรอ?”

“อาจารย์ไม่รู้จักเธอเหรอ? ทั้งๆที่ไม่รู้จักแต่ช่วยเธอแชร์ภาพนี่นะ? ก็เห็นอาจารย์ส่งลิ้งก์โปสเตอร์ให้เมื่อวาน ก็คิดไปว่าอาจารย์ฉีกับอาจารย์ชางน่าจะสนิทกัน”

“ลิงก์โปสเตอร์? ลิงก์โปสเตอร์คืออะไร?”

ฉีเล่ยยิ่งฟังก็ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่

เมื่อหลี่ถงซีได้ยินชื่อ อาจารย์ชาง เธอก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นเดินจากไปทันทีพร้อมเสียงปิดประตูตามหลังดังปัง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset