ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 145 เส้นลมปราณตะวันฟ้า

ตอนที่145 เส้นลมปราณตะวันฟ้า

“ไม่”

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมกล่าวต่อว่า

“เพียงแค่ไม้จันทร์แดงพันปีก็น่าจะมีค่ามากกว่าห้าล้านหยวนแล้วจริงไหมครับ?”

หัวใจของเป่ยจ้าวหยวนตกลงไปยังตาตุ่มทันที เวลานี้เขาเพิ่งจะมานึกเสียงใจในภายหลังว่า ไม่น่ารับเดิมพันกับฉีเล่ยด้วยป้ายประจำตระกูลของตัวเองเลย

“งั้นนายอยากได้เท่าไหร่ล่ะ เสนอตัวเลขมาเลยดีกว่า”

เป่ยจ้าวหยวนร้องตอบพร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยแววตาที่รู้สึกผิดจนเกินจะพรรณนา เวลานี้เขาดูไม่ต่างจากกระต่ายขาวตัวน้อยผู้น่าสงสาร ที่กำลังจ้องมองขอความเมตตาจากหมาป่าแสนเจ้าเล่ห์อยู่

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมไม่ได้ต้องการเงิน ผมต้องการป้ายประจำตระกูลของคุณ”

“นี่นาย…”

เป่ยจ้าวหยวนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดสด

“ไว้ไมตรีแก่กันในวันนี้ อย่างน้อยในอนาคตเวลาที่นายเดือดร้อน ตระกูลเป่ยของเราก็ยังสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้นะ”

เขารู้ดีว่าถ้าหากฉีเล่ยปลดป้ายประจำตระกูลเป่ยออกไป คลินิกของเขาจะไม่มีวันเปิดได้อีกตลอดกาล ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงของตระกูลเป่ยจะถูกทำลายจนป่นปี้ย่อยยับอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาและตอบกลับทันที

“อย่างงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่นะครับ แต่ช่างเถอะ ผมเองก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรแล้ว ถ้าคุณเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้ ปลดป้ายประจำตระกูลเป่ยออกซะ แล้วจะส่งไปให้ผมที่บ้าน หรือจะให้ผมแบกกลับตอนนี้เลยก็ยังได้ หวังว่าที่เดิมพันกันไว้จะไม่คืนคำนะครับ?”

ยังไม่ทันที่เป่ยจ้าวหยวนจะเอ่ยปากตอบอะไรออกมา ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงของชายชราดังขึ้นมาจากด้านหน้าประตู

“คนของตระกูลเป่ยเต็มใจเดินพันเอง ในเมื่อทางเราแพ้ย่อมต้องมอบป้ายประจำตระกูลให้แต่โดยดี”

จากนั้นประตูไม้ที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดอ้าออก ปรากฏเป็นชายชราสวมชุดถังจวง(เสื้อคอจีน)สีขาว ผมเผ้าขาวหงอกบนศรีษะยิ่งเน้นให้ชายชราคนนี้ดูเป็นผู้อาวุโสที่น่าเกรงขามยิ่งคนหนึ่ง เขาก้าวเดินตรงเข้ามาหาฉีเล่ยพร้อมรอยยิ้ม

เป่ยจ้าวหยวนตกใจอย่างมากทันทีที่เห็นชายชราผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น

เป่ยจ้าวหยวนรีบเอ่ยปากทักทายด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเคารพอย่างยิ่ง

“คุณปู่ครับ!”

“จ้าวหยวน ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า แกเคยจำใส่กะโหลกบ้างไหม?”

สีหน้าท่าทางของเป่ยจ้าวหยวนเวลานี้ บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง

“คุณปู่…ผมผิดเองครับ”

ชายชรายิ้มตอบกลับไปว่า

“ดีแล้วที่รู้สำนึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง จะได้แก้ไขก่อนที่จะสายเกินไป”

เป่ยจ้าวหยวนตกใจเล็กน้อยที่ไม่โดนคุณปู่ดุด่าเหมือนอย่างที่คิดไว้ เขารีบโค้งคำนับและกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ครับคุณปู่ ผมเข้าใจแล้ว”

ชายชราหันไปจับจ้องฉีเล่ย มองขึ้นมองลงอยู่หลายรอบราวกับกำลังพินิจจับจ้องสมบัติล้ำค่า

“พ่อหนุ่มเจ้าแซ่อะไร?”

“แซ่ฉีครับ”

หลังจากเฝ้าสังเกตสถานการณ์ตรงหน้า เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า ชายชราผู้นี้น่าจะเป็นปู่ของเป่ยจ้าวหยวน คือเป่ยฉวนเทียน ปรามาจารย์แห่งศาสตร์การฝังเข็มแห่งยุค

ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจู่ๆก็เอ่ยถามต่ออีกว่า

“สกุลฉีงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นชื่อสกุลของอาจารย์เธอล่ะ?”

ฉีเล่ยถึงกับตกตะลึง

อาจารย์?

ก็อยากจะบอกไปตามตรงว่ามีอาจารย์เหมือนกันไม่ใช่ไม่มี แต่อาจารย์ของฉันกลับไม่ใช่คน เป็นจิตวิญญาณบรรพบุรุษตระกูลเฉินที่หลงเหลืออยู่ จะเรียกว่าเป็นคนก็ไม่ใช่แต่จะบอกว่าเป็นผีก็ดูไม่ให้เกียรติ

แต่สิ่งเดียวที่สามารถบอกได้คือ อาจารย์ของเขาเป็นคนสกุลเฉิน แต่ถ้าบอกออกไปฉีเล่ยเองก็ไม่มั่นใจว่า อีกฝ่ายจะเชื่อคำพูดของเขาหรือเปล่า!

เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยจึงกล่าวตอบไปเท่าที่ตนเองรู้

“อาจารย์ของผมแซ่เฉินครับ”

“สกุลเฉินงั้นรึ?”

ชายชราถึงกับปั้นสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นในทันที สายตาเจือแววประหลาดใจเล็กน้อยจนหางคิ้วกระตุกขึ้น

“อาจารย์ของเธอคือใคร? เฉินฉางเชิงรึเปล่า?”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ ฉีเล่ยกลับประหลาดใจยิ่งกว่า

“เฉินฉางเชิง…เป็นพ่อตาของผมเองครับ”

ชายชราได้ฟังถึงกับต้องพึมพำออกมา

“มิน่าล่ะ ไม่น่าแปลกใจเลย! ที่แท้เธอก็เป็นลูกเขยของเจ้าหนุ่มเฉินนี่เอง หืม? นี่เธอกำลังป่วยเป็นโรคประหลาดที่ไม่สามารถรักษาได้อยู่ใช่ไหม? แค่ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากำเริบเท่านั้น…”

“….”

ชายชราคนนี้…รู้เรื่องอาการป่วยที่เขาปิดเป็นความลับได้ยังไง?

ฉีเล่ยก้มศีรษะลงไม่รู้จะเอ่ยตอบอะไรกลับไปเช่นกัน หากเขาเลือกที่จะพูดออกมาตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการขุดเรื่องงาเก่าฟางเน่าระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลฉีออกมาตีแผ่

พ่อของฉีเล่ยกับพ่อของเฉินอวี้หลัวเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่พวกเขายังเด็ก

เมื่อครั้งตระกูลฉีประสบปัญหา พ่อและแม่ของฉีเล่ยเสียชีวิตจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ทิ้งให้เด็กหนุ่มที่แสนอ่อนแออย่างเขาต้องอยู่ในโลกนี้เพียงลำพัง เฉินฉางเชิงเห็นแก่มิตรภาพระหว่างสองครอบครัว ทั้งยังรู้สึกสงสารที่ฉีเล่ยป่วยเป็นโรคประหลาดและไม่สามารถรักษาให้หายได้ เนื่องจากเขาถือกำเนิดมาพร้อมกับ‘เส้นลมปราณตะวันฟ้า’ ส่งผลให้ธาตุไฟเข้าแทรกอยู่ตลอดเวลา ถ้ายังขืนปล่อยไปแบบนี้โดยไม่หาวิธีรักษาแล้วล่ะก็ ฉีเล่ยจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 17 ปีเท่านั้น

โรคประหลาดของฉีเล่ยนี้ไม่มีใครสามารถช่วยได้เลย เรียกได้ว่าเกิดมาพร้อมชะตากรรมที่ต้องตายก่อนวัยอันควร ปราศจากวิธีรักษา ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์จะสูงส่งเพียงใด แต่ในเมื่อต้นเหตุของมันอยู่ที่เส้นลมปราณภายในร่างกาย ก็ต้องแก้ที่จุดนั้น ซึ่งจะให้เปลี่ยนหรือปลูกถ่ายเส้นลมปราณชุดใหม่เข้าร่างกายก็คงจะเป็นไปไม่ได้จริงไหม?

อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงก็ยังไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งฉีเล่ยอายุย่างเข้า17ปี ซึ่งนับว่าได้ก้าวเท้าเข้าสู่ประตูความตายไปกว่าครึ่งตัวแล้ว ยิ่งเส้นตายใกล้มาถึงมากเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้นเท่านั้น จนท้ายที่สุดเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เฉินฉางเซิงจึงจำใจต้องแหก‘กฏเหล็กของตระกูลเฉิน’ โดยการฝ่าฝืนใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามที่หายสาบสูญจากผืนแผ่นดินจีนมาหลายร้อยปี เขาใช้พลังชีวิตทั้งหมดในร่างกายของผู้สำแดงใช้เคล็ดวิชานี้หล่อหลอมสร้างโอสถขึ้นมา เขาคิดว่าอย่างน้อยวิธีนี้ก็จะสามารถช่วยยื้อชีวิตของฉีเล่ยได้ระยะหนึ่ง

แต่ท้ายที่สุดฉีเล่ยก็ยังมีชีวิตอยู่มาจวบจนถึงทุกวันนี้ ส่วนเฉินฉางเซิงกลับเสียชีวิตลง เพราะเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงต้องแต่งเข้าสกุลเฉินเพื่อแสดงความกตัญญูที่มีต่ออีกฝ่าย

ปัจจุบัน เขาได้รับสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษสกุลเฉินแล้ว ทำให้ตัวฉีเล่ยตระหนักถึงสภาพภายในร่างกายของตนเองดี ด้วยการสละชีวิตของพ่อตาในครั้งนั้น มันสามารถช่วยปราบปรามให้เส้นลมปราณตะวันฟ้าในร่างกายเขาสงบลงได้ชั่วคราว แต่รากฐานของโรคยังคงอยู่ และก็ไม่รู้เช่นกันว่า อาการจะกำเริบขึ้นอีกเมื่อใด

แม้แต่ทักษะทางการแพทย์อันปาฏิหาริย์ล้ำเลิศของบรรพบุรษสกุลเฉิน ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ในท้ายที่สุดนี้ ทักษะการแพทย์ก็ไม่ใช่เวทย์มนต์ที่สามารถเสกทุกอย่างได้ดั่งใจนึก ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงได้พยายามใช้ทุกวันให้คุ้นค่าที่สุดราวกับว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตตน

ชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้มีดวงตาประหนึ่งไฟฉาย ที่สามารถส่องเห็นอาการเจ็บป่วยที่ซ่อนอยู่ภายในของเขาได้ในทันที ฉีเล่ยประเมินว่า ทักษะทางการแพทย์ของชายชราคนนี้ไม่น่าจะแตกต่างจากของเฉินฉางเซิงมากนัก น่าจะใกล้เคียงอยู่ราว70-80%

แต่แน่นอนว่า เมื่อเปรียบเทียบกับฉีเล่ย ผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกทั้งหมดของบรรพบุรุษสกุลเฉินมา ยังนับได้ว่าอีกฝ่ายด้อยกว่าตนเล็กน้อย

ดูจากท่าทางการแสดงออกของชายชราเป่ยผู้นี้แล้ว ฉีเล่ยพอจะคาดเดาได้ทันทีว่า อีกฝ่ายกับบรรพบุรุษสกุลเฉินน่าจะมีสายสัมพันธ์รู้จักกันมาก่อน เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างเปิดเผย

“ท่านพ่อตารักษาอาการของผมจนทุเลาลงได้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เวลานี้อย่างแน่นอน”

เขามีเจตนาที่จะปกปิดความคับข้องใจระหว่างสองตระกูลที่เกิดขี้นหลังจากนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าจะให้เขาเล่า ใช้เวลาทั้งวันก็ยังเล่าไม่จบ

เป่ยฉวนเทียนพยักหน้า ไม่ได้จงใจเอ่ยถามเจาะลึกลงไปเช่นกัน และได้เปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“เมื่อครู่ที่ยืนอยู่นอกประตูฉันได้ยินว่า เธอใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์งั้นรึ?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปว่า

“ที่ผมใช้ไปเมื่อครู่เป็นเพียงเข็มหยกปาฏิหาริย์ กับเข็มเหนือฟ้าปาฏิหาริย์เท่านั้นครับ ส่วนวิชาย่อยอย่างเข็มไพศาลปาฏิหาริย์

ผมยังไม่ชำนาญพอ ก็เลยยังไม่กล้าหยิบใช้ครับ และได้ใช้วิชาปราณสวรรค์เข้ามาทดแทน”

เป่ยฉวนเทียนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ถึงแบบนั้นก็เถอะ วิชาทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินได้ ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอจนกว่าเธอจะสามารถใช้มันได้จนชำนาญนะ”

ฉีเล่ยตอบกลับไปยิ้มๆว่า

“ถ้ามีโอกาสนั้น ก็นับเป็นเกียรติของผมมากครับ”

เดิมทีเขามาที่นี่ก็เพื่อท้าประลองกับเป่ยฉวนเทียน แต่เป่ยจ้าวหยวนกลับออกมาขวางประมาณว่า ต้องชนะเขาก่อนถึงจะไปเจอคุณปู่ได้ ฉีเล่ยที่ไม่มีทางเลือกมากนัก ก็เลยต้องเข้าประลองกับอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

เป่ยฉวนเทียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ แต่เอาเถอะ…แค่ได้รู้ว่ายังมีผู้สืบทอดวิชาที่หายสาบสูญไปกว่าหลายร้อยปีปรากฏขึ้นในยุคสมัยนี้ ฉันก็ตายตาหลับแล้วล่ะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบด้วยความเก้อเขิน

“อาวุโสเป่ยกล่าวชมเกินไปแล้วครับ”

“เดิมพันของเธอก่อนหน้า ในเมื่อคนของตระกูลเป่ยเต็มใจรับคำท้าและพ่ายแพ้ลง ฉันเองก็ต้องรักษาสัจจะ เดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนปลดป้ายลงมา เธอก็เอามันกลับไปได้เลย”

เป่ยจ้าวหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับร้องอุทานออกมาดังลั่น

“ท่านปู่!”

ในฐานะหลานชาย เขาทราบดีว่าการที่คุณปู่ของตนต้องสูญเสียป้ายประจำตระกูลนี้ไปมันหมายถึงอะไร

ฉีเล่ยจ้องมองใบหน้าอันแน่วแน่ของเป่ยฉวนเทียน พลางถอนหายใจกับตัวเองอย่างเงียบๆ เมื่อเปรียบเทียบกับชายชราคนนี้ หลานชายของอีกฝ่ายยังมีฝีมืออยู่ในระดับค่อนข้างแย่กว่ามาก

อันที่จริงแล้ว ฉีเล่ยก็ไม่ได้ยืนกรานว่าจะต้องเอาป้ายประจำตระกูลอะไรขนาดนั้น เพราะสิ่งที่เขาต้องการมันเป็นแค่พลังปราณขุมหนึ่งที่สิงสู่อยู่ภายในเท่านั้น แต่ที่เขาต้องประกาศออกไปแบบนั้น ก็เพียงเพราะต้องการแกล้งเป่ยจ้าวหยวนเท่านั้น

“อาวุโสเป่ย พวกเราแค่พูดเล่นกันเท่านั้นครับ ไม่ได้คิดจะเดิมพันจริงจัง…”

ในเมื่อสถานการณ์ออกมาในรูปแบบนี้ คุณเลือกที่จะเคารพผม ผมเองก็เลือกที่จะเคารพคุณตอบเช่นกัน เช่นนี้แล้วใครยังจะกล้าทวงของเดิมพันลงล่ะ? หรือพูดให้ถูกก็คือ ถ้าเป่ยจ้าวหยวนเลือกที่จะให้เกียรติเขาสักนิดหลังจากพ่ายแพ้ และเลือกที่จะยอมมอบป้ายประจำตระกูลตามกติกาแต่โดยดี ฉีเล่ยเองคงไม่ต้องการตั้งแต่แรก

“ไม่ เธอต้องรับไป”

เป่ยฉวนเทียนก้าวตรงเข้าไปใกล้ และยื่นมือขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆสามครั้งก่อนจะพูดต่อว่า

“มันเป็นของเธอแล้ว เธอต้องรู้จักทวงความเป็นธรรมให้กับตัวเองสิ!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset