ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 144 ให้ราคา

ตอนที่144 ให้ราคา

สมแล้วที่เป่ยจ้าวหยวนได้ชื่อว่าเป็น‘เข็มเทวะ’ เขาเป็นแพทย์คนหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและสายตาที่เฉียบคม เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ด้วยความเร็วในการลงเข็มและลักษณะการทิ้งน้ำหนักสกัดจุดแบบนั้น ล้วนไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป

แม้ทักษะการฝังเข็มแบบนี้จะดูเรียบง่าย แต่อันที่จริงแล้วมันคือ‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่หายสาบสูญไปจากวงการแพทย์แผนจีนมาอย่างช้านานแล้ว

วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ คือการทะลวงจุดเส้นลมปราณที่สำคัญทั้งสามโดยใช้เทคนิคที่แตกต่างกันไป มีชื่อเรียกเฉพาะว่า เข็มหยกปาฏิหาริย์, เข็มเหนือฟ้าปาฏิหาริย์ และเข็มไพศาลปาฏิหาริย์

วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ มีสรรพคุณในการมอบความอ่อนวัยให้แก่อายุกระดูกและชำระล้างความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปเหล่าปรมาจารย์แพทย์จีนจะเลือกใช้วิชานี้กับผู้ป่วยที่มีการการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นหลัก ซึ่งผลการรักษาค่อนข้างมหัศจรรย์เลยทีเดียว

ในบันทึกโบราณมีระบุไว้ว่า วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ยังมีอานุภาพในการขจัดคาบตะกอน รักษาไอเย็นแทรกซ้อนภายในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลหยินหยางให้เสถียร

ถือเป็นหนึ่งในวิชาแพทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ยังมีบันทึกอีกหลายฉบับที่เพิ่งกู้คืนข้อมูลด้วยกระบวนการทางโบราณคดีมาได้ ในบันทึกเหล่านั้นกล่าวไว้ว่า วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์เหมาะที่จะใช้กับผู้บำเพ็ญเพียรได้รับบาดเจ็บภายใน เนื่องด้วย อาการเจ็บป่วยจากธาตุทั้งห้าในร่างกายไร้เสถียรก็ดี จากเส้นลมปราณได้รับความเสียหายก็ดี

ตลอดประวัติศาสตร์จีนกว่าห้าพันปี แพทย์รุ่นบรรพบุรุษมากมายต่างคิดค้นเคล็ดวิชาทางการแพทย์ออกมาหลากหลาย เพื่อใช้รับมือกับโรคภัยที่พิศวงมากขึ้นทุกวัน ระดมใช้สติปัญญาทั้งหมดที่ตนมีจนตกผลึกกลายมาเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาดีๆสักวิชา

แต่น่าเสียดาย บนหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน ได้มีการเปลี่ยนถ่ายราชวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์อยู่บ่อยครั้ง ควบคู่กับศาสตร์แพทย์แผนจีนที่ค่อยๆตกต่ำลง ส่งผลให้ศาสตร์แห่งการรักษาที่อยู่คู่บุญกับแผ่นดินจีน เหลือกลายมาเป็นเพียงแค่‘วัฒนธรรม’เท่านั้น

นอกจากวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์แล้วก็ยังมี วิชาเข็มเทพจักรพรรดิ วิชาเก้าเข็มแห่งฝูซี วิชาสิบสามคมเข็มแห่งนิกายภูติจุติ และอื่นๆอีกมากมาย คนรุ่นหลังโดยส่วนใหญ่ได้ยินเพียงแค่ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ไม่ทราบเลยว่าของจริงเป็นอย่างไร

และทักษะที่ฉีเล่ยแสดงให้ดูในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็น‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ ผนวกกับ‘วิชาเข็มปราณสวรรค์’อีกเล็กน้อย

จะว่าไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่า วิชาอันน่าเหลือเชื่อแบบนี้จะมีอยู่จริงบนโลก ถ้าไม่เห็นด้วยตาในวันนี้เขาคงจะไม่มีวันเชื่อไปชั่วชีวิต แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังพอมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดตระกูลปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดของบรรพบุรุษตระกูลเป่ยยังไหลเวียนอยู่หรืออย่างไร เขาถึงมองออกได้ทันทีที่เห็นฉีเล่ยสำแดงใช้เคล็ดวิชาเหล่านั้น

แทบไม่ต้องพูดถึงการประลองในครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ ใครแพ้หรือชนะกลับไม่มีความหมายต่อเขาอีกแล้ว

ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ เป่ยจ้าวหยวนกล่าวน้ำเสียงหม่น สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“นายชนะแล้ว”

ทั้งความรู้สึกสงสัย สำนึกผิด เหลือเชื่อ หลากหลายความรู้สึกมากมายได้ถาโถมเข้าใส่เขาในเวลาเดียวกัน จนเป่ยจ้าวหยวนไม่สามารถอธิบายความรู้สึกทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดได้

เป่ยจ้าวหยวนเคยดูถูกดูแคลนฉีเล่ยก่อนหน้านี้ว่า เป็นคนหลอกลวงและสิ่งที่เขาแสดงออกมาล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ คนเช่นนี้น่ะเหรอ…ที่เป็นยอดฝีมือขนานแท้?

ยิ่งรู้ว่าฉีเล่ยถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เป่ยจ้าวหยวนก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองนั้นคาดเดาได้ถูกต้อง

แน่นอน การที่เขาแสดงท่าทีหยิ่งผยองแบบนั้นออกไป ส่วนหนึ่งล้วนมาจากการเชื่อในความคิดของตน และอีกส่วนคือ เขาเป็นคนที่มีความเย่อหยิ่งจองหองฝังลึกอยู่ในขั้วกระดูกดำเป็นทุนเดิม

ดั่งที่เป่ยจ้าวหยวนสันนิษฐานกับตัวเองว่า ไม่ว่าจริงหรือปลอม มันสามารถพิสูจน์เห็นได้แล้ว หากฉีเล่ยมีพรสวรรค์และฝีมือจริงๆ จะถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกได้ยังไง? ถ้าจะอ้างว่าคุณไม่มีใบวุฒิการศึกษาเนื่องจากไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย นี่มันก็ยิ่งเป็นข้อแก้ตัวที่แย่เข้าไปใหญ่?

อันที่จริง ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเป่ยจ้าวหยวนกับฉีเล่ยมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ไขเลย

คงเป็นเพราะเรื่องของหลี่ถงซีที่เข้ามาแทรก เลยทำให้เรื่องราวดูไปกันใหญ่เท่านั้นเอง

คนที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองนั้นจะมีอยู่สองประเภท

ประเภทแรกนั้นเย่อหยิ่งจองหองเพราะว่าเก่งและมีความสามารถอย่างแท้จริง แต่จู่ๆก็มีใครไม่รู้โผล่ออกมาอวดอ้างต่างๆนานา คุยโม้ว่าเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ เช่นนี้แล้วใครบ้างจะไม่หัวร้อนเล่า?

ประเภทที่สองคือ พวกที่เย่อหยิ่งทั้งๆที่ไร้น้ำยา คนพวกนี้มีดีแต่ปากเก่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ทีแรกเป่ยจ้าวหยวนคิดว่าฉีเล่ยเป็นคนประเภทที่สอง จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะหงุดหงิดขนาดนั้น

ครั้งแรกที่พวกเขาทั้งคู่พบกันที่บ้านของหลี่ฮั่วเฉิน เป็นประสบการณ์แรกพบที่เลวร้ายมาก ต่อมา เนื่องด้วยหลี่ถงซีเป็นเหตุ จึงทำให้เกิดการประลองในวันนี้ขึ้น

เป่ยจ้าวหยวนเข้าใจไปว่า ทั้งหมดที่ฉีเล่ยพูดในตอนนั้นเพราะต้องการจะอวดเก่งต่อหน้าหลี่ถงซีเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นฉีเล่ยบุกมาถึงหน้าบ้านของตนในวันนี้ ปฏิกิริยาแรกที่แสดงออกมาคือประหลาดใจเล็กน้อย

แต่ยิ่งได้เห็นฉีเล่ยสำแดงใช้‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ มันก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงภายในใจให้กับเขามากขึ้น

มากซะจนทำให้ความมั่นใจของตัวเขาเองพังพลายลงมาเลยทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่เป่ยจ้าวหยวนมั่นใจอย่างมากในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!

อีกฝ่ายสามารถใช้‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ได้จริงๆ!

และนั่นยังเป็น‘วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์’ฉบับดั้งเดิม ไม่ใช่ฉบับดัดแปลงหรือไม่สมบูรณ์

วิธีลงเข็มด้วยความเร็วสูงจนก่อเกิดเป็นภาพซ้อนชั่วขณะหนึ่ง ปลายเข็มที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังงานประหลาด ทั้งหมดนี้ล้วนตอกย้ำเป่ยจ้าวหยวนเข้าไปอีกว่า สิ่งที่เขาเคยไม่เชื่อในอดีต มันกลับกลายเป็นความจริง!

ชายคนนี้สำเร็จวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ฉบับสมบูรณ์แบบ!

มีคำกล่าวที่ว่า หากคุณไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้ ต่อให้มียอดฝีมือร่ายเพลงหมัดสิบแปดมังกรอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางเข้าใจ

หากเล่นเปียโนไม่เป็น เสียงโน้ตสอดผสานจังหวะอันสมบูรณ์แบบเพียงใด ฟังสักร้อยรอบก็เป็นเพียงแค่บทเพลงธรรมดาทั่วไป

ในทำนองเดียวกัน หากคุณไม่เคยศึกษาแพทย์แผนจีนเชิงลึกมาก่อน จะไม่มีวันเข้าใจเลยว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าสำแดงใช้ไปคือ เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์อย่างวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์

ปรมาจารย์ด้านการฝังเข็มหลายต่อหลายท่าน ที่คลั่งไคล้และหลงใหลกับศาสตร์การฝังเข็ม จะรู้จักเคล็ดวิชานี้ดีว่าเป็น‘เคล็ดวิชาฝังเข็มอันดับหนึ่งของโลก’

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในแต่ละยุคสมัยมีคนบรรลุวิชานี้เพียงแค่หยิบมือ เนื่องจากกระบวนการลงเข็มที่ค่อนข้างแปลกประหลาดและซับซ้อน จึงทำให้กระบวนการสืบทอดเกิดการขาดช่วงและหายสาบสูญไปในที่สุด

เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ไม่มีข่าวการปรากฏของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์อีกเลย

แต่ตอนนี้ ในที่สุดวิชานี้ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้บรรลุวิชาดังกล่าวกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว!

“นี่ฉันมองคนพลาดไปขนาดนี้ได้ยังไง…”

เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยพึมพำกับตนเองพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปทางฉีเล่ย

“อาจารย์! อาจารย์จะแพ้ได้ยังไง! นี่เป็นไปไม่ได้!”

“ถูกต้องแล้ว! วิชาฝังเข็มของหมอนี่มันดูเรียบง่ายเกินไป ดูยังไงก็แค่ทักษะระดับพื้นฐาน!”

“มันโชคดีมากกว่าที่ได้คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคไม่ซับซ้อน!”

เมื่อเห็นอาจารย์ของตัวเองปริปากยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี บรรดาลูกศิษย์ผู้หยิ่งผยองเหล่านี้ก็ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยสักนิด พวกเขารีบแสดงตัวออกมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่เป่ยจ้าวหยวนทันที

อย่างไรก็ตามแต่ เป่ยจ้าวหยวนในตอนนี้กลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะดุคนพวกนี้อีกแล้ว

สำหรับการฝังเข็ม จะดูว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง ต้องเปรียบจากระดับความยากของทักษะที่ใช้เสมอไปรึไง?

ไม่ใช่ว่า ต้องดูจากการเลือกใช้ทักษะวิชาให้เหมาะสมกับโรคภัยที่รักษาหรอกเหรอ?

ไอ้พวกโง่! เป่ยจ้าวหยวนโบกมือไล่พวกลูกศิษย์ออกไปทันที

“พวกแก ออกไปให้หมด”

แม้จะมีบางคนดูจะไม่เต็มใจเท่านั้น แต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดเท่านั้น ก็ถูกสายตาอันเฉียบคมของเป่ยจ้าวหยวนมองสวนขึ้นจนถึงกับต้องหุบปากไปเอง

ในชั่วพริบตาต่อมา ทั้งลูกศิษย์และกลุ่มผู้ป่วยทั้งหมดก็ออกไป เหลือพียงฉีเล่ยกับเป่ยจ้าวหยวนเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในห้องตรวจตามลำพัง

“นั่นคือ…วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์สินะ?”

เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคล่อน

ฉีเล่ยยิ้มและพยักหน้าตอบไปตามตรง

“ในเมื่อคุณยังสามารถสัมผัสถึงมันได้ แสดงว่าคุณยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง”

เป่ยจ้าวหยวนคลี่ยิ้มอ่อนดูขื่นขมใจอย่างยิ่ง

“มีฝีมืออยู่บ้างแล้วไง? ฉันแพ้ก็คือแพ้ แต่ไม่คิดเลยว่า นั่นจะเป็นวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จริงๆ”

“อันที่จริงวิชาเข็มห้าตะวันของคุณเองก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน ขาดแค่ว่าอารมณ์ที่ยังไม่นิ่งพอ”

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญ คนที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กขี้เล่นจนประมาท ดังนั้นแล้ว สิ่งที่เขาบกพร่องจริงๆไม่ใช่เรื่องฝีมือหรือความกล้า แต่เป็นเรื่องอารมณ์เพียงอย่างเดียว

“ตลอดมาคุณปู่มักจะบอกฉันเสมอว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เดิมทีคำพูดเหล่านั้นมันไม่เคยเข้าหูฉันเลยจนกระทั่งวันนี้…”

เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยต่อว่า

“อยากได้เท่าไหร่บอกราคามาเลยจะดีกว่า”

ฉีเล่ยทวนคำถามเจือสีหน้างุนงงหน้าสงสัย

“บอกราคา? หมายถึงอะไร?”

เป่ยจ้าวหยวนกล่าวต่อว่า

“ป้ายประจำตระกูลเป่ยเป็นมรดกตกทอดของพวกเรามาอย่างช้านานแล้ว ฉันคงให้นายไม่ได้จริงๆ ขอเปลี่ยนเป็นเงินได้ไหม? ต้องการเท่าไหร่เสนอมาได้เลย”

ฉีเล่ยค่อยๆหรี่ตามองเป่ยจ้าวหยวนพร้อมรอยยิ้ม

ดูท่าอีกฝ่ายยังมีข้อบกพร่องมากกว่าแค่เรื่องอารมณ์สินะ

เป่ยจ้าวหยวนที่กำลังถูกสายตาอันเย็นชาของฉีเล่ยจับจ้องไม่คลายอ่อนแบบนี้ ทำเอาเขารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง จนท้ายที่สุดทนรับแรงกดดันไม่ไหวจึงเอ่ยเสนอขึ้นเองว่า

“หนึ่งล้านหยวน? สนใจไหม?”

ฉีเล่ายส่ายหัว

“สองล้าน?”

ฉีเล่ยยังคงส่ายหัว

“ห้าล้านหยวน(26ล้านบาท) นี่เป็นราคาสูงสุดแล้วที่ฉันสามารถให้ได้ ถ้ามากกว่านี้ฉันคงต้องจำนองบ้านหลังนี้แล้วล่ะ…”

บนหน้าผากของเป่ยจ้าวหยวนเริ่มมีเม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นนับไม่ถ้วน

ต้องควักเงินส่วนตัวที่มีออกมาจนหมดตัวเพื่อแลกกับป้ายประจำตระกูลของตน ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน

แม้จะต้องรู้สึกขมขื่นใจแค่ไหนก็ช่าง แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องถูกถอดป้ายทองคำที่เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่คู่ตระกูลเป่ยมายาวนานนับหลายร้อยปีทิ้งไป…

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset