ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 147 ลูกของเรา

ตอนที่147 ลูกของเรา

ทั้งสามยืนสนทนาอยู่ในห้องนั่งเล่น พลางเงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้จันทร์แดงสลักด้วยแววตาภาคภูมิใจ แต่ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของฉีเล่ยก็ดังขึ้นมา

และเมื่อหยิบออกมาดูปรากฏว่าเป็นนางฟ้านรกจำแลง หลินชูวโม่

เพียงแค่เห็นเบอร์ดังกล่าวโผล่ขึ้นมาบนจอ ฉีเล่ยก็รู้สึกปวดหัวตุ้บๆแล้ว เขาลังเลไม่ใช่น้อยว่าจะรับหรือตัดสายทิ้งดี

โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นโทรมานั้น ราวสองสามสายหากฉีเล่ยไม่รับก็คงเลิกโทรหาไปเอง แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้กับนางฟ้านรกจำแลงหลินชูวโม่ หากฉีเล่ยเลือกที่จะไม่รับหรือตัดสายทิ้งไป อีกฝ่ายจะต้องกระหน่ำโทรจนกว่ามือถือจะพังกันไปข้างอย่างแน่นอน

ขณะที่กำลังลังเลใจ หลี่ฮั่วเฉินก็พลันสังเกตเห็นอีกฝ่ายจับจ้องหน้าจอมือถือด้วยสีหน้าท่าทีลังเล จึงอดที่จะเอ่ยถามขึ้นไม่ได้ว่า

“ฉีเล่ย ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ?”

ฉีเล่ยถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งก่อนจะกดรับสายทันที

“ฮาโหล”

“สุดหล่อ ทำไมรับสายช้าจัง? ทำตัวไม่ดีแบบนี้ เดี๋ยวต้องโดนพี่สาวคนนี้จับตีก้น!”

“…”

สุ้มเสียงหวานฟังละมุนหูของหลิวชูวโม่ดังขึ้น และเธอก็ใช่ว่าเสียงเบาที่ไหน เล่นซะคนรอบข้างได้ยินกันหมด

เพียงแค่คำพูดประโยคนี้ประโยคเดียว ก็ถึงกับทำเอาหลี่ฮั่วเฉินกับหลี่ถงซีหันขวับมาจ้องหน้าฉีเล่ยเขม็ง และดูไม่มีท่าทีจะคลายอ่อนลงเลย

ต้องโดนพี่สาวตีก้น…

แล้วคำพูดนี้ก็คลุมเครือจนไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้ว หรือบางทีทั้งคู่อาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกินกว่าที่คิดไว้?

ฉีเล่ยเหลือบมองหลี่ฮั่วเฉินกับหลี่ถงซีที่เอาแต่จ้องตาเขม็งราวกับปู่ย่าที่จับได้ว่าหลานมีแฟน เขาเอ่ยเสียงเบากล่าวถามปลายสายไปว่า

“มีอะไร?”

หลินชูวโม่กล่าวตอบปลายสาย น้ำเสียงฟังดูออดอ้อนขี้เล่น

“ก็อยากโทรหาเฉยๆ พี่สาวคนนี้อยากได้ยินเสียงสุดหล่อหนิ จะว่าไป…มีคนแถวนี้คิดถึงพี่สาวบ้างไหมนะ?”

ฉีเล่ยสุดจะทนต่อไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบเสียงเย็นสวนกลับไปว่า

“ถ้ามีธุระอะไรก็รีบๆพูดมา แต่ถ้าไม่มีก็แค่นี้แหละ”

เมื่อได้ยินว่าฉีเล่ยจะกดวางสาย หลินชูวโม่ก็รีบเร่งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นทันที

“เดี๋ยว! นายนี่มันไม่อ่อนโยนเลยนะ เบื่อเสียงหวานๆของฉันขนาดนั้นเลยเหรอ? คือจะไม่สนเลยใช่ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นยังไง? เอาล่ะ ขอเข้าเรื่องเลยนะ ฉันให้เวลานายครึ่งชั่วโมง รีบมาหาฉันที่คลินิกชูวโม่เดี๋ยวนี้ ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องคุยกับนาย แล้วอย่าอ้างด้วยว่ามีสอนคาบบ่าย เพราะฉันเพิ่งเช็คตารางสอนนายมา ช่วงบ่ายนายว่างทั้งวัน! รีบมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้านายมาสาย พี่สาวคนนี้จะจับตีก้นจริงๆด้วย!”

ใช่แล้ว…คนอย่างหลินชูวโม่จริงจังได้แบบเดียวก็เริ่มพูดออกทะเลไร้สาระอีกแล้ว….

เมื่อกดวางสายไป ฉีเล่ยก็เพิ่งตระหนักได้ว่า หลี่ฮั่วเฉินกับหลี่ถงซีกำลังจ้องมองเขาเขม็ง ด้วยสายตาที่จะสามารถแผดเผาเขาได้ในทันที

“เอ่อ…มันไม่ใช่อย่างที่คิดกันนะครับ”

หลี่ถงซีกล่าวน้ำเสียงเย็นชาใส่ทันที

“ปู่ หนูขอตัวขึ้นชั้นสองก่อนนะคะ!”

หลี่ฮั่วเฉินเหลือบมองแผ่นหลังของหลานสาวที่เดินห่างออกไป พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ตรงเข้าไปตบไหล่ฉีเล่ยพร้อมกล่าวว่า

“ฉันเชื่อเธอนะ ฉันรู้จักเธอดี”

“….”

นี่น่ะเหรอรู้จักฉันดี!

ถ้ารู้จักฉันดีจริง ก็ต้องรู้ว่าฉันแต่งงานแล้ว รู้ไหม?

ไม่ใช่เอาแต่ผลักไสหลานสาวมาให้ฉันแบบนี้ ช่วยเกรงใจใบทะเบียนสมรสของฉันหน่อยจะได้ไหมห๊ะ!?

ไม่ว่าจะอยู่กับคู่ปู่หลานหรือหลินชูวโม่ ชีวิตของเขาก็มีแต่จะบรรลัยแน่ เฮ้อจะซวยอะไรขนาดนี้!

ตาแก่ คุณนั่นแหละตัวดีเลย คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดว่า‘ฉันรู้จักเธอดีที่สุดแล้ว’! เพราะคุณทั้งเหนี่ยวรั้งและทำลายชีวิตอันสงบสุขของผม!

ฉีเล่ยอยากจะสบถออกมาดังๆสักที แต่กลับเปลี่ยนเป็นหมุนตัวขวับเดินออกจากบ้านสกุลหลี่ไปโดยเร็ว

ฉีเล่ยเรียกแท็กซี่เดินทางไปที่คลินิกชูวโม่ และก็ยังเป็นพนักงานสาวที่ชื่อเสี่ยวเยวี่ยเข้ามาต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเหมือนเคย เธอพาฉีเล่ยตรงขึ้นไปยังชั้นที่สามซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของหลินชูวโม่อย่างรวดเร็วเร็ว

เมื่อรู้ว่าหลินชูวโม่กำลังรอเขาอยูที่ชั้นนี้ ฉีเล่ยพลันรู้สึกโล่งใจไปเปาะหนึ่ง โชคดีที่ไม่ใช่ชั้นสอง มีหวังเขาต้องโดนก๊วนสาวสวยแทะโลมไม่หยุดหย่อนอีกแน่นอน พวกเธอเหล่านั้นแต่ละคนล้วนมีฝีปากที่แกร่งกล้าเกินไป

ที่หน้าประตูห้องทำงานส่วนตัวบนชั้นที่สาม เสี่ยวเยวี่ยหันมากล่าวกับฉีเล่ยว่า

“คุณฉี บอสหลินรออยู่ด้านในห้องแล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

จากนั้นเขาจึงได้ยกมือขึ้นเคาะประตู

สุ้มเสียงสุดแสนจะเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกดังออกมาจากในห้อง

“เข้ามาได้”

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็อดที่จะบ่นพึมพำอยู่ในใจไม่ได้ ทำไมถึงไม่พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ตั้งแต่แรก? จะใส่เสียงสองพวกนั้นสร้างปัญหาให้ฉันทำไมกัน?

เมื่อเห็นว่าเป็นฉีเล่ยที่เดินเข้ามา สีหน้าการแสดงออกของหลินชูวโม่พลันเปลี่ยนไปในทันทีราวกับโชว์สลับหน้ากาก เสี้ยวอึดใจที่แรกพบ หญิงสาวยังคงรักษาสีหน้าอันสุดแสนจะเย็นชาอย่างที่ประธานสาวผู้แสนเยือกเย็นพึงมี แต่ชั่ววินาทีต่อมา สีหน้าของเธอกลับแปรเปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำราวกับปรารถนาที่จะขึ้นเตียงกับเขาได้ทุกเมื่อ

ไม่ทราบเช่นกันว่าทำไม แต่ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้นก็อดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้

ที่เธอทำแบบนี้ เพราะคิดที่จะกวนประสาทฉันรึไง?

ทำไมไม่พูดคุยกับฉันด้วยท่าทีที่ใช้คุยกับลูกน้องตัวเองล่ะครับ!!?

ฉีเล่ยรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก

“มีธุระอะไร?”

“แหมม…ปากคอเราะร้ายจริงนะ ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นยังไงนายก็ควรรู้นะ เหตุผลแค่ว่าคิดถึงกันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่…”

แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค ฉีเล่ยก็หมุนตัวกลับเตรียมเดินออกไปจากห้องทันที

“งั้นผมขอตัว”

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยเจตนาจะกลับไปจริงๆ หลินชูวโม่ก็อดตะคอกสวนขึ้นไม่ได้ พร้อมกับถอนหายใจเสียงดังใส่ว่า

“กลับมาก่อน! เฮ้ออ…หยอกนิดหยอกหน่อยไม่ได้เลยรึไง ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกนาย”

ฉีเล่ยชะงักฝีเท้าลงทันที พร้อมกับปรายหางตามองเล็กน้อย

“สรุปมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

ประทานโทษนะ ไม่ทราบว่าผู้ชายคนนี้มีความผิดปกติอะไรเกี่ยวกับต่อมหัวเราะรึเปล่า? ชีวิตนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยความเคร่งเครียดตลอดเวลาเลยรึไง? นี่ถ้าเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนจะทำยังไง?

หลินชูวโม่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานสีดำ ยืดเอวบิดขี้เกียจสุดตัวราวกับลูกแมวน้อยที่เพิ่งตื่นนอน

แต่เนื่องจากเธอยืดตัวแอ่นอกออกมาขนาดนั้น ทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวน้อยถูกดึงจนตึงเปรี๊ยะ เผยให้เห็นเอวบางเข้ารูปและหน้าท้องที่แบนราบ

นี่ยังไม่รวมถึงหน้าอกหน้าใจของเธอที่ดันสูงขึ้นจนกระดุมเม็ดบนจวนจะปริแตก

เมื่อสังเกตเห็นว่าฉีเล่ยแอบมองเธอเล็กน้อย หลินชูวโม่ก็คลี่ยิ้มหวานพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ายวน

“หื้ม? อยากทำอะไรก่อนคุยธุระไหมล่ะ?”

ความสวย…ลืมไปเลยว่าผู้ชายทุกคนย่อมสยบต่อความสวยของหญิงสาว

และนี่เป็นอีกหนึ่งข้อเท็จจริง ที่ฉีเล่ยไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน

เห็นฉีเล่ยนิ่งเงียบ หลินชูวโม่จึงยิ้มและกล่าวต่อว่า

“เชื่องเป็นลูกแมวเลยนะ เห็นแก่ที่ช่วยเหลือพี่สาวคนนี้อยู่บ่อยครั้ง เดี๋ยวพี่สาวจะปลดกระดุมสองเม็ดบนให้ดูก่อนดีไหม? เป็นรางวัลให้กับสุดหล่อไง”

แต่ฉีเล่ยไม่ได้หลงไปกับมนต์เสน่ห์เหล่านั้นเลย เขายกนาฬิกาขึ้นมอง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“โอกาสสุดท้ายแล้วนะ ผมให้เวลาคุณพูดแค่สามนาที ถ้าหมดเวลาแล้วผมขอตัว”

หลินชูวโม่ถึงกับหมดอารมณ์ จับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า

“ก็นะ ฉันไม่ใช่คนในสายตานายนี่”

ขณะที่เอ่ยกล่าวออกไปแบบนั้น เธอก็เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมา และหยิบขวดคริสตัลใสสีฟ้ารูปทรงสวยงามขึ้นมายื่นให้กับฉีเล่ยพร้อมกล่าวว่า

“คุณพ่อคะดูสิ ลูกของเราคลอดแล้ว”

ฉีเล่ยรับขวดคริสตัลใสสีฟ้ามาด้วยมือไม้ที่สั่นเทาไม่หยุด จนเกือบทำขวดตกลงพื้นแตก

หลินชูวโม่เห็นแบบนั้นก็รีบร้องเตือนขึ้นทันที

“นี่อย่าให้แตกนะ ฉันเพิ่งเอาขวดตัวอย่างที่มีแค่อันเดียวมาให้นายดูก่อน ถ้าแตกขึ้นมาต้องออกแบบกันใหม่หมด เป็นไง? สวยใช่ไหมล่ะ?”

นี่มันน่าทึ่งจริงๆ

ฉีเล่ยอึ้งกับความสวยงามและหรูหราของบรรจุภัณฑ์ชิ้นนี้มาก ขวดนี้ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป น้ำหนักกำลังพอดีมือ ออกแบบเป็นทรงคริสตัลใสสีฟ้าครามคล้ายไพริน ไม่น่าเชื่อเลยว่า หลินชูวโม่จะมีหัวศิลปะสามารถออกแบบมาได้อย่างไร้ที่ติแบบนี้ แค่มองขวดใบนี้เล่นๆก็รู้สึกเพลิดเพลินตามากแล้ว

“นี่คือ…”

ฉีเล่ยเอ่ยถาม

“ครีมชูวโม่ไง เกิดขึ้นจากความรักและความเอาใจใส่ของพวกเรา”

สีหน้าท่าทางของหลินรชูวโม่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาอย่างมาก ราวกับว่าเธอเป็นผู้เบ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เพิ่งออกมาจากช่องคลอดด้วยตัวเองเลยทีเดียว

“ลองดูเนื้อครีมว่าตรงตามสูตรที่นายให้มารึเปล่า?”

ฉีเล่ยบิดฝาขวดเปิดให้เปิดออก เนื้อครีมภายในคล้ายแป้งผงสีดำ ปาดออกมาเล็กน้อยเพื่อพิสูจน์กลิ่นดูก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า

“ตรงตามสูตรดั้งเดิม แต่กลิ่นค่อนข้างหอมกว่าของผมมาก นี่คุณใส่อะไรเพิ่มลงไปรึเปล่า? ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ใส่ลงไปจะไปลดประสิทธิภาพของครีมลงนะ?”

“ไม่ต้องห่วง ฉันวิจัยมาอย่างดีแล้ว รับรองได้ว่าไม่กระทบกับประสิทธิภาพของครีมอย่างแน่นอน ฉันแค่เพิ่มสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมอีกหนึ่งชนิดลงไป เพราะสูตรดั้งเดิมตัวเก่าของนายไม่ค่อยมีกลิ่นหอมเลย”

ฉีเล่ยอดที่จะกล่าวเตือนไม่ได้ว่า

“ระมัดระวังให้มากด้วยก็แล้วกัน ถ้าไม่กระทบกับประสิทธิภาพ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset