ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 148 บุคคลอันตราย

ตอนที่148 บุคคลอันตราย

ฉีเล่ยทราบดีว่า แม้หลินชูวโม่จะไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น แต่เธอก็ยังพอมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่ออีก แต่ตั้งคำถามใหม่ขึ้นแทนว่า

“แล้วเรื่องการตลาดล่ะ จะเอายังไง?”

หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นกว่าเดิมมาก

“ที่ฉันโทรเรียกนายมาก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ ไม่กี่วันก่อนฉันเพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท ชูวโม่เซียงเทียน ไบโอโลจี้ จำกัด ขึ้นมา ซึ่งจะใช้ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของเรา และถ้าหากมีผลิตภัณฑ์อื่นๆเกิดขึ้นมาในอนาคต ทุกอย่างจะถูกจดเบียนทางการค้าภายใต้ชื่อบริษัทนี้ทั้งหมด”

หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า

“ฉันจ้างให้ทนายมาจัดการเรื่องสัญญาการโอนหุ้นเรียบร้อยแล้ว ถ้านายสนใจจะมาร่วมมือด้วยจริงๆก็ไม่มีปัญหานะ เดี๋ยวฉันจะให้นายขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทนี้เลย”

ขณะที่หลินชูวโม่กล่าวออกไปแบบนั้น เธอก็หันหลังไปหยิบหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งออกมาส่งให้ฉีเล่ย

หญิงสาวคนนี้สวยงามทุกอากัปกิริยาจริงๆ เพียงแค่อาศัยจุดแข็งนี้ของเธอ เวลานี้มันก็ได้สร้างแรงกดดันอย่างมากให้ฉีเล่ยแล้ว

เขาเอ่ยปากขอรับหนังสือสัญญากลับไปศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนอีกที ไม่ใช่เพราะเขาหวาดระแวงกลัวว่าหลินชูวโม่จะแทงข้างหลัง แต่นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองที่อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ในอนาคต

หลินชูวโม่เองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เพราะทั้งสองเข้าใจกันดี ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอธิบายอะไรกันมากมาย

“มีอีกเรื่องที่ฉันต้องการขอคำแนะนำจากนายหน่อย ในเมื่อจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ค่อนข้างโดดเด่น คิดว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ดี?”

“ตั้งราคาเหรอ?”

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“เรื่องนี้ค่อนข้างตัดสินใจยากนะ ลองคำนวณจากราคาต้นทุนแล้วบวกอัตรากำไรที่ต้องการไปสิ”

หลินชูวโม่กล่าวตอบทันทีว่า

“คำนวณเรียบร้อยแล้ว ต้นทุนต่อขวดเฉลี่ยอยู่ที่ 300หยวน ถ้าสามารถขยายฐานการผลิตได้ในอนาคต เราจะสามารถลดราคาต้นทุนได้มากกว่านี้”

“ถ้าอย่างนั้น…ขายขวดละ600หยวน?”

“600หยวน?”

หลินชูวโม่จ้องฉีเล่ยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“แพงไปเหรอ?”

ฉีเล่ยเพิ่งรู้สึกว่าตนเสนออะไรไม่เข้าท่าออกไป จึงยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขินเล็กน้อย

หลินชูวโม่ส่ายหน้าไปมาอย่างอดไม่ได้พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ดูท่านายจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงเลยจริงๆสินะ รู้ไหมว่า ผู้หญิงที่เข้ามาใช้บริการฉีดวิตามินผิวใสในคลินิกของฉัน เฉลี่ยต่อรอบแล้วพวกเธอต้องจ่ายกันเท่าไหร่?”

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาและตอบไปตามความจริง

“ผมไม่รู้”

“เฉลี่ยต่อคน 3,800หยวน!(19,000บาท)”

หลินชูวโม่กล่าว

“….”

ฉีเล่ยถึงขั้นต้องปิดปากเงียบพูดอะไรไม่ออก พลางแอบคิดสงสัยอยู่ในใจว่า ผู้หญิงพวกนี้เสียสติกันหมดแล้วรึไง? ยอมจ่ายเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น เพียงเพื่อแลกกับการฉีดวิตามินที่ช่วยทำให้ผิวใสแค่ไม่กี่เดือนนี่นะ?

หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยสีหน้าดูแคลนต่อว่า

“นายประเมินอำนาจการใช้จ่ายของผู้หญิงต่ำเกินไปแล้ว อีกอย่างนะ ฉันก่อตั้งคลินิกนี้ขึ้นมาก็เพื่อต้อนรับลูกค้าระดับไฮเอนด์ ถ้าตั้งราคาสินค้าต่ำเกินไป มีหวังลูกค้าหนีไปใช้บริการที่อื่นกันหมดแน่”

“ถ้าอย่างงั้น…คุณคิดว่าควรตั้งราคาเท่าไหร่ดี?”

หลินชูวโม่แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาคู่คมสวยฉายแววเจ้าเล่ห์ประดุจจิ้งจอกสาว เธอหันจ้องหน้าฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า

“ฉันสั่งให้โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์สองขนาด แบบน้ำราคาขวดละ5,888หยวน ส่วนแบบแป้งราคาขวดละ9,888หยวน”

“….”

ฉีเล่ยถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะ

“แพงเกินไปรึเปล่า…”

“ถ้าราคาถูกแล้วใครมันจะไปซื้อ?”

“หื้ม? ไม่ใช่ว่ายิ่งถูกยิ่งขายดีเหรอ? นี่มันตรรกะแบบไหนกัน?”

หลินชูวโม่ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายให้กับความไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตลาดของฉีเล่ย

“สุดหล่อ นี่นายคงไม่รู้เรื่องจิตวิทยาของผู้บริโภคที่เป็นเพศหญิงเลยใช่ไหม? ในตลาดอุตสาหกรรมบำรุงผิวพรรณในประเทศจีน ผลิตภัณฑ์ราคาต่ำถึงปานกลางมีแรงแข่งขันที่สูงเกินไปมากแล้ว ดังนั้นเราควรเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเราด้วยราคาที่สูง เพื่อยกระดับคุณค่าของสินค้าเราให้เทียบเท่ากับแบรนด์ชื่อดังระดับประเทศ ถ้าตั้งราคาสูงลิบลิ่วแบบนี้ ราคาสินค้านี่แหละที่จะช่วยประชาสัมพันธ์คุณภาพด้วยตัวของมันเอง ต่อให้นายไม่มีความต้องการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเลยสักนิด แต่พอเห็นสินค้าราคาแพงขนาดนี้ก็ต้องเกิดความสนใจขึ้นมาใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมแพงจัง? ดังนั้นทุกแบรนด์เคาน์เตอร์ของเราจะมีกิจกรรมแจกครีมชุดทดลองให้ทุกคนได้ใช้กัน ตราบใดที่ลูกค้าได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของสินค้า พวกเขาจะต้องแห่กันเข้ามาซื้อโดยไม่สนใจเรื่องราคาอีกต่อไป!”

ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ และคิดกับตัวเองว่าที่หลินชูวโม่พูดมาทั้งหมดนั้นค่อนข้างมีเหตุผลมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้ตอบกลับไปว่า

“ผมมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องสูตร ส่วนเรื่องการตลาดก็เป็นหน้าที่ของคุณไปก็แล้วกัน สงสัยผมจะได้พบกับนักการตลาดมือฉกาจเข้าแล้วสิ”

หลินชูวโม่ยกนิ้วโป้งให้พร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

“สุดหล่อ นายรอรวยได้เลย”

…..

ที่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง

ในบริเวณโถงนั่งรอชั้นที่หนึ่ง มีหนุ่มสาวสองคนสวมชุดเสื้อผ้าหรูหราไม่ธรรมดาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา จนกลายเป็นที่สะดุดตาของทุกคนภายในบริเวณนั้นอย่างยิ่ง

หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าสวยไว้ผมยาวประบ่า มองๆดูแล้วเสมือนสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง

“ได้ข่าวว่าคังฟานมันไปทำงานที่ต่างประเทศหลังเรียนจบใช่ไหม? รู้สึกว่าโด่งดังมากเลยหนิ? กำลังทำโครงการวิจิยวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่าง แต่ทำไมจู่ๆถึงได้กลับมาปักกิ่งล่ะ?”

ข้างๆปรากฏชายผมสั้นที่กำลังตอบกลับไปว่า

“พูดอย่างกับแกไม่รู้จักหมอนั่น คนอย่างมันเหรอจะยอมก้มหัวให้คนอื่น? เหตุผลที่มันยอมไปทำงานที่โน่นหลังเรียนจบ ก็เพราะต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วก็เงินทุน พอได้ครบตามต้องการก็เลยบินกลับมาจีนนี่แหละ”

ชายผมยาวยิ้มตอบไปว่า

“ดูเหมือนว่าเมืองหลวงแห่งนี้คงมีชีวิตชีวามากขึ้นนะหลังจากที่หมอนั่นกลับมา จะว่าไปแล้ว…รู้สึกแฟนเก่าที่เคยคบกับคังฟานตอนนั้นก็อยู่ปักกิ่งด้วยไม่ใช่เหรอ? ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง”

ชายผมสั้นตอบกลับยิ้มๆ

“ช่างเถอะน่า อย่าไปยุ่งเรื่องของสองคนนั้นเลย”

“รู้แหละว่าไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ก็อยากรู้ไหมล่ะ พอแฟนเก่าดังแล้ว อยากรู้จริงๆแล้วเธอคนนั้นจะรู้สึกยังไง? จะได้เห็นพวกผู้หญิงเปิดศึกกันอีกรอบไหมนะ?”

ชายผมสั้นยกดูนาฬิกาข้อมือขึ้นดู พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

“จนป่านนี้แล้วหมอนั่นยังไม่มาอีกเหรอเหรอ? น่าจะได้เวลาออกมาแล้วนี่”

ยังไม่ทันที่จะพูดจบดี ก็มีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีเบจสวมกางเกงสแล็คสีขาวเดินออกมาจากเกท และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา จึงได้กลายมาเป็นจุดสนใจใหม่ของสายตาทุกคู่ขึ้นมาทันที

ร่างสูงผอมเพรียว แววตาเฉียบคม สันจมูกโด่งกว่าคนจีนทั่วไปมาก ผมสีดำขลับ ดูโดยรวมแล้วมีเสน่ห์เหลือล้น

ขณะที่เขากำลังเดินตรงไปยังทางออกนั้น จู่ๆก็มีสาวสวยคนหนึ่งรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดวิ่งเข้าไปทัก และเริ่มบทสนทนาเองในทันที

“สวัสดีค่ะ เอ่อ…ฉันเป็นคนที่นั่งข้างๆคุณบนเครื่องบินเมื่อกี้ คือ…คือไหนๆเราก็อยู่เมืองเดียวกันแล้ว บางทีอาจจะเป็นพรมลิขิตก็ได้ ฉันขอ…ขอเบอร์ติดต่อได้ไหมค่ะ? ไว้มีโอกาสเราออกมาดื่มกาแฟด้วยกันนะคะ”

ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ฟังดูอ่อนโยนอยู่ในที

“ผมก็อยากจะดื่มกาแฟกับคุณนะครับคนสวย แต่ขืนผมทำแบบนั้น มีหวังภรรยาของผมต้องหัวเสียแน่เลย”

แววตาของหญิงสาวคนนั้นดูเศร้าหมองลงทันใด

“ขอโทษค่ะ ขอโทษที่รบกวนค่ะ…”

ชายคนนั้นยิ้มอ่อนตอบไปว่า

“เป็นผมมากกว่าครับที่ควรขอโทษ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

หลังจากปฏิเสธคำขอของหญิงสาวด้วยกิริยาท่าทางที่แสนสุภาพไปแล้ว ในที่สุดชายคนนั้นก็เห็นเพื่อนสนิททั้งสองที่กำลังรอรับตนเองอยู่ จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที

เมื่อไปถึงชายหนุ่มก็ยกกำปั้นชกเข้าที่หน้าอกของพวกเขาทั้งสองคนด้วยความคิดถึงคนละหนึ่งที

ชายหนุ่มผมสั้นเองก็ชกกำปั้นใส่หน้าอกของอีกฝ่ายตอบเช่นกัน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

ชายผมยาวยังยิ้มและกล่าวอีกว่า

“คังฟาน อันที่จริงฉันไม่อยากให้แกกลับมาเลยว่ะ เดี๋ยวสาวๆพวกนั้นต้องพากันแห่มากรี๊ดนายแน่เลย พวกฉันก็คงต้องตกกระป๋องกันหมดน่ะสิ!”

คังฟานหัวเราะและตอบกลับไปทันที

“ของๆฉันก็เหมือนของพวกนายนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset