ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 151 เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ

ตอนที่151 เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ

ทันทีที่ข้อเสนอแนะของตาแก่ซงดังออกมาจากปาก ทุกคนต่างก็พากันสนับสนุนเห็นด้วยในทันที

“ก็จริง อาจารย์ฉีเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เขาสามารถกำราบพวกเด็กๆได้อยู่หมัดตั้งแต่คลาสแรก แสดงว่าเขาต้องมีฝีมือไม่น้อย”

“ใช่แล้ว อีกอย่างอาจารย์ฉีเองก็ยังหนุ่มยังแน่น สามารถแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ไหวแน่นอน”

“ฉันเองก็เห็นด้วยที่จะส่งอาจารย์ฉีไป”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีหันมองฉีเล่ยอย่างใจเย็น

“อาจารย์ฉี ในเมื่อทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าต้องเป็นคุณ มิหนำซ้ำครั้งยังนี้เป็นการสอนเชิงปฏิบัติต่อหน้าแขกชาวอเมริกันด้วย พวกเราทั้งหมดคงต้องฝากความหวังไว้กับคุณแล้วล่ะ คงรู้ใช่ไหมว่าหน้าที่นี้สำคัญเพียงใด?”

ฉีเล่ยเงยหน้าพร้อมกับกวาดสายตามองหน้าอาจารย์ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ก่อนที่จะหยุดลงที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซี พร้อมกับคลี่ยิ้มกล่าวว่า

“ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจทำหน้าที่นี้ งั้นผมอาสาเองทำเองก็ได้ครับ”

ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยจะจงใจพูดเหน็บแนมแทงใจดำอาจารย์คนอื่นๆ แต่จากปฏิกิริยาของทุกคนที่อยู่ในห้อง ก็บ่งบอกชัดเจนมากพอแล้วว่า ไม่มีใครกล้าแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้เลยสักคน

“อาจารย์ฉี จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ใครบ้างไม่อยากได้รับเกียรติสอนหนังสือต่อหน้าชาวต่างชาติ แต่วิชาที่เราสอนล้วนแล้วแต่เป็นเชิงทฤษฎีทั้งนั้น พวกเขาจะไปเข้าใจถึงแก่นแท้ได้ยังไง?”

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เต็มใจหรอกนะ แต่เราอยากเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือบ้างก็เท่านั้นเอง”

“ถูกต้องแล้ว เป็นคนหนุ่มสาวต้องรู้จักคว้าโอกาสดีๆไว้นะ”

ฉีเล่ยตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในคำพูดสวยหรูของคนพวกนี้ได้ทันที

“เลิกหาข้ออ้างเถอะครับ แค่บอกผมตรงๆว่า ต่อหน้าชาวต่างชาติพวกนั้น พวกคุณไม่มีความมั่นใจว่าจะสอนออกมาได้ดีก็พอ เอาเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเอง”

ตาแก่ซงเป็นคนแรกที่ระเบิดอารมณ์ออกมา เขาปั้นหน้าบึ้งตึงทุบโต๊ะตวาดเสียงดังลั่นทันที

“นี่แกพูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง?! ตัวเองเป็นเด็กใหม่แท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาพูดจาหยาบทรามกับพวกฉันแบบนี้!!”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

“อาจารย์ซงพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พอดี ยังไงซะผมก็แค่เด็กใหม่ ประสบการณ์การสอนยังไม่มากมายอะไรนัก แบบนี้แล้วจะให้ผมไปบรรยายต่อหน้าชาวต่างชาติได้ยังไงกันล่ะครับ?”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็หันไปบอกกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีต่อว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีครับ คุณคงจะเคยได้ยินคำพูดว่า แม่ทัพคือผู้ช่ำชองการศึกมากที่สุด ทำไมเราถึงไม่ส่งตัวแทนที่มีประสบการณ์การสอนที่สูงอย่างอาจารย์ซงไปล่ะครับ? เอาล่ะ ผมเป็นแค่เด็กใหม่ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ผมยังมีธุระอย่างอื่นต้องไปทำ”

ฉีเล่ยลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามองใครอีกเลย

อาจารย์ทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมถึงกับหน้าเขียวสลับกับซีดขาว

ส่วนจะถามว่า ใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและลำบากใจที่สุดนั้น ก็คงหนีไม่พ้น หัวหน้าคณะอาจารย์ซี

คนอื่นๆอาจแค่ต้องการผลักไสไล่ส่งฉีเล่ยเข้าไปในกองไฟ แต่สำหรับหัวหน้าคณะอาจารย์ซี เขาตระหนักดีว่า งานสำคัญในครั้งนี้คือการชูธงชาติจีนให้ผงาดต่อหน้าชาวต่างชาติ และงานนี้จำเป็นต้องพึ่งพาฉีเล่ยจริงๆ เพราะไม่มีใครสามารถทำหน้าที่นี้แทนเขาได้จริงๆ!

ฉีเล่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้นเพื่อให้คนอื่นมาง้อ เสียงฝีเท้าที่ย่างก้าวออกไปจึงฟังดูหนักแน่นมั่นคงและกระฉับกระเฉงอย่างมาก ก้าวแต่ละก้าวสาวเดินเข้าไปใกล้ประตูทางออกมากขึ้นเรื่อยๆ

ภายในใจของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเองก็อยากจะลุกขึ้นไปห้ามเช่นกัน ทีแรกตั้งใจว่าจะไปข้อร้องเป็นการส่วนตัวอีกทีหลังการประชุมเสร็จสิ้น แต่ถ้าเขาเลือกทำแบบนั้น เชื่อว่าฉีเล่ยจะไม่มีทางให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน มิหนำซ้ำจากเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา แม้แต่รัฐมนตรีหม่ายังทำอะไรฉีเล่ยไม่ได้เลย นี่แสดงให้เห็นความจริงสอเรื่อง ซึ่งเรื่องแรกคือชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถด้านการแพทย์ที่ค่อนข้างสูงมาก และเรื่องที่สอง ภูมิหลังของเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่งมากจริงๆ

เมื่อเห็นฉีเล่ยเอื้อมมือออกไปเตรียมเปิดประตู ในที่สุดหัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็รีบลุกขึ้นร้องตะโกนเรียก

“อาจารย์ฉี ทุกคนไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ ช่วยสงบสติอารมณ์ก่อนได้ไหม? มาเถอะ มาเถอะ มานั่งลงแล้วค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่า”

ฉีเล่ยปรายหางตาเหลือบมองเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

ตาแก่ซงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ไอ้เด็กเวรนี่มันเหิมเกริมมากจนเกินไป เขาทุบโต๊ะเสียงดังปังลุกขึ้นชี้หน้าด่าฉีเล่ยทันทีว่า

“แก! ไอ้เด็กเหลือ…”

แต่ทันใดนั้นหัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ตะคอกสวนตาแก่ซงกลับไปทันทีเช่นกัน

“หุบปาก!”

แค่แสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมา มันก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า หัวหน้าคณะอาจารย์ซีสนับสนุนใครมากกว่า อาจารย์คนอื่นๆในห้องประชุมต่างก็พากันนั่งนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน และแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้หัวหน้าคณะอาจารย์ซียังเป็นคนไล่ฉีเล่ยออกไปเองไม่ใช่เหรอ?

เมื่อยังเห็นฉีเล่ยยืนอยู่หน้าประตูทางออกแบบนั้น หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็รีบพูดต่อทันที

“งานสำคัญแบบนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะสามารถทำหน้าที่ได้ อาจารย์ฉี คุณเพียงคนเดียวที่เป็นความหวังของสาขาแพทย์แผนจีน หวังว่าจะเข้าใจกันนะ”

ในเมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้องด้วยตัวเองขนาดนี้ ฉีเล่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินกลับไปนั่งฟังการประชุมต่อไป

ฉีเล่ยเหลือบสายตามองไปรอบๆ ก็ยังพบว่าอาจารย์คนอื่นๆยังคงจับจ้องตัวเขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้พูดขึ้นลอยๆว่า

“หัดดูหัวหน้าอาจารย์ซีเป็นตัวอย่างไว้ก็ดีนะครับ นี่แหละคือคุณสมบัติที่ผู้นำพึงมี แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่เหมือนบางคนที่แก่จนปูนนี้แล้ว แต่อายุสมองกลับไม่ต่างจากเด็กสามขวบ ทำตัวไร้ประโยชน์ไปวันๆ”

ปัง!

ตาแก่ซงยกมือขึ้นทุบโต๊ะเป็นระลอกสาม เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด เหมือนลุกขึ้นมาจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายกลับเถียงไม่ออกสักคำ

ไม่เหมือนบางคนที่แก่จนปูนนี้แล้ว สมองไม่ต่างจากเด็กสามขวบ…

ทำตัวไร้ประโยชน์ไปวันๆ…

นี่มันหมายถึงเขาชัดๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยชื่อเขาออกมา แต่ไม่ว่าใครที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ต่างก็ต้องนึกถึงเขาทั้งนั้น!

และเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่ใช้สายตาอันเยือกย็นหยุดตาแก่ซงเอาไว้ จนทำให้อีกฝ่ายค่อยๆสงบลงไปเอง

สายตาอันสุดแสนจะเย็นชาคู่นั้น ทำให้ตาแก่ซงรู้สึกราวกับเห็นหายะนอยู่รำไร

สายตาของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีราวกับจะบอกว่า

‘ถ้ายังทำตัวมีปัญหาอยู่แบบนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว!’

เมื่อเปรียบเทียบกับศักดิ์ศรี หน้าที่การงานย่อมสำคัญกว่ามาก เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบลงแล้ว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ได้พูดต่อทันที

“ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า จะให้อาจารย์ฉีเป็นตัวแทนในการสอนครั้งนี้ และในเมื่อเจ้าตัวเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร งั้นเรามาสรุปประเด็นแรกเลยก็แล้วกัน สรุปว่าให้พวกคณะเยี่ยมชมขาวอเมริกันมาดูการสอนของอาจารย์ฉี ส่วนอาจารย์ฉี คุณเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ นี่อาจเป็นโอกาสที่คุณจะได้แสดงฝีมือให้บรรดาผู้บริหารเบื้องบนได้ประจักษ์”

ฉีเล่ยยิ้มพยักหน้าตอบ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“เรื่องที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้าร่วมสัมมนาสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติ ซึ่งครั้งนี้จะจัดขึ้นในมหาวิทยาลัยของเรา ไม่เพียงจะมีอาจารย์แพทย์ผู้มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยรัฐที่มาเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังจะมีบรรดาอาจารย์แพทย์จากภาคเอกชนเข้าร่วมอีกด้วย ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีนี้เลยล่ะ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีชำเลืองมองสีหน้าท่าทางที่ดูสุดแสนจะตื่นเต้นของอาจารย์ทุกคนในห้องประชุม จากนั้นจึงได้กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มว่า

“พวกเราในฐานะอาจารย์สาขาแพทย์จีนแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง จึงได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมมาสองสิทธิ์ ผมต้องการอาจารย์สองคนที่มีความรู้ความสามารถพอที่จะออกไปพูดต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ได้”

การจะได้เข้าร่วมงานประชุมสภาการแพทย์ระดับประเทศที่ใหญ่ขนาดนี้ นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง มิหนำซ้ำยังจะได้มีโอกาสพูดต่อหน้าระดับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอีกหลายท่านในห้องประชุมด้วย นี่ถือเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติอย่างแท้จริงที่อาจารย์แพทย์แผนจีนทุกคนใฝ่ฝัน

ตราบใดที่ในใบประวัติของพวกเขาเคยเข้าร่วมงานประชุมเหล่านี้มา แม้จะแทบไม่มีบทบาทในงานเลยก็ตาม แต่นั่นก็สามารถยกระดับโปร์ไฟล์ของอาจารย์คนนั้นให้สูงขึ้นลิบลิ่ว

ก่อนการประชุมดังกล่าว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจำเป็นต้องเสาะหาอาจารย์ที่เหมาะสมอีกสักคนไปด้วยกัน

เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพูดของหัวหน้าคณะอาจารย์ซี

“เอาล่ะๆ ทุกคนเงียบก่อน เรามาหารือกันต่อดีกว่าว่าใครควรจะได้รับสิทธิ์นั้น ผมจะขอเสนอชื่อคนที่หมายตาไว้ก่อน ส่วนจะเห็นชอบหรือไม่ก็ลองแสดงความคิดเห็นกันดูนะ”

มุมปากของฉีเล่ยกระตุกขึ้นทีหนึ่ง และยังคงก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือต่อไป

โดยปกติแล้ว การที่ระดับหัวหน้าคณะอาจารย์ประกาศขอเสนอชื่อออกมาแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการตัดสินใจเลือกไปแล้ว เพียงแค่ต้องมีพิธีรีตองหน่อยก็เท่านั้น และคนอย่างซีลู่เฉิงคงต้องเสนอคนใกล้ชิดหรือไม่ก็ญาติตัวเองอย่างแน่นอน

แล้วทุกคนในที่นี้ มีใครเป็นญาติกับซีลู่เฉิงบ้างล่ะ?

ตาแก่ซงไง

พวกระบบเส้นสายเครือญาติแบบนี้ ฉีเล่ยชินชาตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลหนานหยางแล้ว และเขาก็ค่อนข้างเบื่อกับระบบปรสิตพวกนี้มากด้วย

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset