ตอนที่ 95 ความปรารถนาของเธอและการเดิมพันของฟาร์มา
ปาลเล่และบลานช์สองพี่น้องแห่งตระกูลเดอ เมดิซิส และแคทเทอรีนกับลอตเต้ซึ่งเป็นข้ารับใช้ของพวกเขา กำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าที่เคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าอันมืดมิดซึ่งมีหมอกปกคลุมได้จากหน้าต่างของรถม้า ลอตเต้ที่นอนไม่ได้สติมาจนถึงเมื่อครู ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้ว
เธอส่งเสียงครวญครางแหบแห้งอย่างอ่อนแรงออกมาก่อนจะเปิดเปลือกตาของเธอขึ้น สภาพของเธอในตอนนี้แม้กระทั่งลุกยังไม่มีแรงเลย
“ละ-ลูก! ลูกตื่นแล้วงั้นเหรอ? ….ต้องขอบคุณท่านปาลเล่และท่านเอเลโอนอร์จริงๆ เลยค่ะ”
“แม่…เหรอคะ”
แคทเทอรีนที่กำลังรู้สึกท้อแท้ต่อผลการรักษาของลอตเต้ ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจและเข้าไปกอดลูกสาวของเธอ ทางปาลเล่และบลานช์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาก็เฝ้าดูอย่างเงียบๆ
“ลอตเต้ ดีจังเลยนะที่รอดมาได้ กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่ได้ผลจะทำยังไงดี”
“ท่านบลานช์…”
ว่าแล้วเธอก็กระโดดเข้าไปหาลอตเต้ด้วยความดีใจ ปาลเล่ใช้ศาสตร์ต้องห้ามร่วมกันกับเอเลนสำเร็จโดยแลกมากับอายุขัยครึ่งหนึ่งของเขาก็รู้สึกโล่งใจที่ลอตเต้ได้สติ
ลอตเต้ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจการกระทำของทั้งสอง จึงอยากจะได้รับคำอธิบาย เพราะเธอไม่สามารถจำเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงสองสามวันมานี้ได้เลย
ซึ่งผลก็น่าจะมาจากการโดนวิญญาณร้ายสิงสู่จะเกือบตาย ปาลเล่ที่กังวลกับอาการของลอตเต้ก็พยายามเข้ามาดูอาการบริเวณรอบดวงตาของเธอแล้วก็พบว่าเธออยู่ในสภาวะขาดน้ำเล็กน้อย
“นอนลงหน่อย เดี๋ยวฉันจะได้ตรวจเพิ่ม”
ปาลเล่แตะแขนและขาของลอตเต้ด้วยคทาเพื่อตรวจสอบการตอบสนองภายในร่างกาย ซึ่งเป็นการผสานระหว่างการแพทย์สมัยใหม่และศาสตร์แห่งเทพ ด้วยวิธีนี้มันจะสามารถบอกได้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองยังปกติดีไหม นอกจากนั้นยังมีการตรวจความดันโลหิต ชีพจร อุณหภูมิในร่างกาย ฯลฯ พอเสร็จเขาก็หยิบแก้วออกมาก่อนจะใช้ศาสตร์แห่งเทพสร้างน้ำขึ้นให้เธอดื่ม พร้อมกับผสมตัวยาบางอย่างให้เธอทานเข้าไปด้วย
“เธอมีไข้นิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว ยานี่ก็ได้ผลดีมากด้วยรับไปซะสิ ว่าแต่ชาร์ล็อต ความทรงจำของเธอมีถึงตรงไหน?”
“ตอนนั้น….ฉันอยู่ที่ร้านขายยา แล้วจากนั้นก็มีลูกค้าแปลกหน้าเข้ามา หลายคน…”
“งั้นเหรอจบเรื่องนี้ก็ไปขอบคุณเอเลโอนอร์ซะล่ะ ถ้ามีโอกาสได้พบกันอีกละก็นะ”
“เดี๋ยวเถอะค่ะ! ท่านพี่ใหญ่ อย่าพูดอะไรแปลกๆ เป็นลางแบบนั้นสิคะ”
บลานช์เถียงกับปาลเล่ว่าถ้าพูดแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นลางร้ายหรอก แต่ปาลเล่ก็รู้สึกกังวลจริงๆ เมื่อนึกถึงเอเลนที่เดินทางไปยังร้านขายยาในขณะที่มีวิญญาณร้ายเพ่นพ่านอยู่เต็มเมืองหลวง ส่วนเบียทริชก็อยู่ปกป้องคฤหาสน์เดอ เมดิซิสแทนผู้นำตระกูลอย่างบรูโน
“คือว่า ท่านปาลเล่คะ ตอนนี้ท่านเอเลโอนอร์อยู่ไหนเหรอคะ..”
“…ลอตเต้ เงียบซะ”
แม่ของเธอดุลอตเต้ที่ถามเรื่องนั้นกับปาลเล่
“แล้วเราจะไปกันที่ไหนเหรอคะ?”
“ตอนนี้เมืองหลวงจักรวรรดิถูกวิญญาณร้ายยึดไปแล้ว คนของเมืองหลวงก็เลยอพยพกันไปที่เมืองแลมบลู หลังจากฉันส่งพวกเธอไปถึงสถานอพยพแล้ว ฉันก็จะรีบกลับไปเมืองหลวง”
“ท่านปาลเล่แบบนั้นมันอันตรายนะคะ เมืองหลวงจักรวรรดิในตอนนี้มัน…”
“หุบปากซะแคทเทอรีน ฉันไม่สนหรอกว่าศัตรูจะเป็นตัวอะไร แต่ฉันเกลียดการวิ่งหนีต่อหน้าศัตรู”
“แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านที่เป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเดอ เมดิซิสละก็…..ท่านเบียทริชก็ด้วย”
“ไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงท่านพ่อกับท่านแม่ก็คงหาทางกันได้ แถมถ้าเอาแต่หนีแบบนี้สุดท้ายตระกูลของเราก็คงพินาศไปในที่สุด พวกวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นมานั้นมันจะขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ เหมือนโรคระบาด หากฉันไปหยุดมันตั้งแต่ที่เมืองหลวง พวกมันก็จะพัฒนากลายเป็นเหมือนโรคประจำถิ่น และอีกไม่ช้าโลกของเราก็จะถูกพวกมันกลืนกินไปทั้งหมด หากรอถึงตอนนั้นก็คงไม่มีใครหยุดพวกมันได้อีกแล้ว”
“คุณปาลเล่…”
“ฉันก็แค่ต้องออกไปเผชิญหน้ากับพวกมันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง นั่นแหละคือกฎของเหล่าผู้ถูกเลือกโดยเทพผู้พิทักษ์”
ปาลเล่บอกว่าตนนั้นรับฟังคำสั่งจากเบียทริชนั่นก็คือการดูแลความปลอดภัยของเหล่าข้ารับใช้ หากเสร็จงานนี้ก็ไม่มีเหตุให้เขาต้องอยู่ที่นี่ต่อ ดูเหมือนเขาจะไม่มีความตั้งใจที่จะอพยพตั้งแต่แรกแล้ว
“ท่านพี่ใหญ่คะ หนูก็จะไปด้วย!”
“รังแต่จะเกะกะเปล่า บลานช์เธอยังไม่พร้อมหรอกนะ ทั้งเธอและคนที่เหลือจะต้องอพยพกันไปรอที่เมืองแลมบลู ช่วยปกป้องคนที่นั่นด้วยนะ หากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของทางโบสถ์ยังทำงานได้ดี เธอก็น่าจะพอจัดการกับพวกตัวเล็กตัวน้อยได้ ถึงพี่อยากจะรีบกลับไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่ยังไงตอนนี้พี่ก็ต้องส่งพวกเธอไปให้ถึงที่หมาย ตามคำสั่งของท่านแม่ก่อน”
“ท่านพี่ใหญ่…บ้าที่สุด”
“แบบนั้นฉันก็ลำบากใจนะคะ ดูเหมือนท่านจะได้นิสัยส่วนนี้มาจากพ่อและแม่ของท่านจริงๆ”
แคอเทอรีนพูดออกมาด้วยความลำบากใจจริง แต่มันก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
และรถม้าที่บรรทุกคนของตระกูลเดอ เมดิซิสเอาไว้ก็วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดไปยังเมืองแลมบลู
…━━…━━…━━…
ฟาร์มาปลดเสื้อผ้าและเข็มขัดของเอเลนออก ก่อนจะกางแผ่นพลาสติกที่สะอาดปูไว้ที่พื้นตามด้วยผ้าปูที่นอนอีกที
จากนั้นก็จัดเธอให้อยู่ในท่านอนตะแคง แล้วใช้ผ้าพันแผลปิดแผลที่หลังของเธอเอาไว้ ก่อนจะหาผ้ามาห่มให้กับเธอเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
เนื่องจากภายในร้านตอนนี้อยู่ในสภาพที่เย็นพอสมควร ดังนั้นเขาจึงไปจุดเตาผิงเพื่อให้ห้องอุ่นขึ้น
“อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ส่วนความดันโลหิตลดลง ปริมาณเลือดที่เสียไปน่าจะอยู่ที่ 1-1.3 ลิตรได้”
ฟาร์มาใช้ดวงตาวินิจฉัยตรวจสอบพลางคิดถึงเรื่องที่ต้องทำต่อจากนี้
สำหรับภาวะช็อกจากการเสียเลือด คงจำเป็นต้องให้สารน้ำเพื่อฟื้นฟูความดันโลหิตขึ้นมา
โดยธรรมชาติแล้วหากร่างกายมนุษย์มีการเสียเลือดเราจำเป็นต้องทำการห้ามเลือดเสียก่อน แต่หากเลือดยังไหลออกมาไม่หยุด สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการใช้ยาฉีด
หากมีความดันโลหิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเสียเลือดเขาก็คงจะไม่สามารถช่วยอะไรต่อได้อีก ดังนั้นเขาจำเป็นต้องปรับความดันโลหิตให้คงที่ นอกจากนี้หากฝืนให้เลือดกับผู้ป่วยในขณะที่ยังมีเลือดไหลอยู่ก็จะเสี่ยงได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องจัดการกับอาการเลือดไหลไม่หยุดนี้เสียก่อน
ตอนนี้เขากำลังประเมินความรุนแรงของภาวะช็อกจากการเสียเลือด
“สมมติว่า เอเลนมีน้ำหนักอยู่ที่ 50 กก. ปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกายก็จะคิดเป็น 1/13ของน้ำหนักตัว ซึ่งก็จะอยู่ที่ 3.85กก. ปริมาณเลือดที่เสียไปตอนนี้ก็น่าจะประมาณ35%ไม่ก็มากกว่านั้น”
เขาพึมพำขณะใช้ดัชนีภาวะช็อกประเมินความรุนแรงได้ที่ระดับ3จาก4 โดยระดับ4นั้นถือเป็นสภาวะที่ยากลำบากที่สุด และถือว่าเขายังพอโชคดีที่ภายในร้านขายยานนี้มาอุปกรณ์ที่เขาต้องการอยู่ครบ
ฟาร์มารีบเข้าไปที่ห้องจ่ายยาของร้านซึ่งมีชุดยาเก็บไว้อยู่ภายใน
สารละลายริงเกอร์แลคเตท,สารละลายริงเกอร์อะซิเตท และ สารละลายริงเกอร์ไบคาร์บอเนต ซึ่งสามารถใช้กับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มีอาการเลือดเป็นกรด จากนั้นเขาก็ทำการเตรียมเลือดให้ตรงกรุปกับเอเลนซึ่งทางร้านมีข้อมูลเก็บไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งสามารถบอกให้ถึงชนิดของเลือดและแอนติบอดีที่ผิดปกติภายในร่างกาย โดยเลือดดังกล่าวนั้นจะถูกเก็บทุกสัปดาห์ไว้ภายในตู้แช่ หากปฏิบัติตามคู่มืออย่างถูกต้องแล้วเลือดที่เก็บไว้เพื่อการใช้งานของเอเลนก็น่าจะยังอยู่ดี
นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดงและพลาสมาแช่แข็งเอาไว้ด้วย
เขาเติมน้ำร้อนที่สร้างมาจากศาสตร์แห่งเทพลงไปภายในหม้อ เมื่อได้ระดับที่พอเหมาะ เขาก็นำสารละลายริงเกอร์อะซิเตทที่ได้รับความร้อนช่วง 39 องศา นี่คือสัญญาณเริ่มการรักษา
“เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือแล้ว…”
หากมีคนช่วยอีกสักคนหนึ่งสถานการณ์คงจะดีกว่านี้มาก
เขากังวลว่าแค่ตัวเขาคนเดียวจะทำไหวไหม
แต่สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดนี้มันก็จะเหมือนกับเรื่องที่เขาพูด “ตอนนั้น”
“ใจเย็นๆ สิ เราไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
เมื่อก่อนนั้น จากมุมมองของเภสัชกรแล้ว ฟาร์มาได้ขีดเส้นแบ่งเอาไว้ว่าตนไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการรักษาที่เป็นหน้าที่ของแพทย์ หลีกเลี่ยงการปฏิบัติทางคลินิก แต่กับโลกใบนี้ที่ดวงตาวินิจฉัยไม่มีอะไรมาทดแทนได้ รวมไปถึงความรู้ประสบการณ์ที่เขาเก็บสะสมมา และการที่เขาได้เห็นการผ่าศพของคล็อดภายในคลาสเรียนก็ทำให้เขามีความรู้มากขึ้น
ประสบการณ์ตลอดช่วงที่ผ่านมามันค่อยๆ สะสม
แถมตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ตอนนี้เขาจำเป็นต้องขยับมือโดยใช้ทักษะทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
เพื่อเผชิญกับความเป็นจริง
ขั้นแรกต้องคลำหาหลอดเลือดแดง
ถ้าเป็นหลอดเลือดแดงคาโรติดทั่วไปก็คงสามารถคลำหาได้ หลอดเลือดแดงเรเดียลของข้อมือไม่สามารถคลำเช่นนั้นได้ดังนั้น ฟาร์มาได้ทำการฉีกกระโปรงของเอเลนทิ้งไม่มีเวลามาคิดมากสำหรับการช่วยชีวิตแล้ว เขาคลำหาหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบเธอ บริเวณดังกล่าวความดันโลหิตอยู่ที่ 70-80 มม.ปรอท
ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อมาตรการรักษาความปลอดภัยเบื้องต้นก่อนจะให้สารละลายกับหลอดเลือดดำส่วนปลาย ไว้โดยทั่วไปแล้วหลอดเลือดส่วนปลายนั้นจะยุบตัวลงเนื่องจากความดันโลหิตที่ต่ำลง และปริมาณเลือดที่ไหลเวียนน้อยลงจึงทำให้มองเห็นได้ยาก เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมเข็มฉีดเข้าหลอดเลือดส่วนปลายประมาณ 2 เข็มที่เส้นผ่านศูนย์กลางภายในประมาณ 1 มม.ซึ่งเทียบเท่ากับเข็มเบอร์ 18
หลังจากล้มเหลวไปครั้งหนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถสอดเข็มเข้าไปภายในหลอดเลือดดำบริเวณสมองเธอได้สำเร็จ ก่อนจะทำการติดแผ่นฟิล์มเอาไว้บริเวณที่สอดเข็มเข้าไป อันแรกถือว่าเสร็จแล้ว
ส่วนอีกเข็มนั้นเขาได้ทำการสอดเข็มเข้าที่บริเวณต้นขาซึ่งเป็นหลอดเลือดดำเส้นใหญ่ จากนั้นเขาก็ใช้สารละลายฉีดเข้าไปภายในหลอดเลือดดำ
“ขอให้ได้ผลทีเถอะ”
การบริหารสารละลายริงเกอร์อะซิเตททางหลอดเลือดดำเริ่มต้นขึ้นหลังการฉีดยาให้เป็นอย่างแรก ต่อมาเขาก็ใช้สารละลายริงเกอร์ไบคาร์บอเนตเพื่อปรับปรุงภาวะภายในเลือดที่เป็นกรดในตอนแรก ถึงที่จริงแนวทางการรักษาจำเป็นต้องเติมคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปก่อนใช้งาน แต่ตอนนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีเขารับมืออยู่เพียงลำพัง นี่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ริงเกอร์อะซิเตทนั้นเป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ไอโซโทนิกที่สามารถเติมของเหลวภายนอกเซลล์ได้เมื่อปริมาณเลือดที่ไหลเวียนภายในร่างกายลดลง และเหนือสิ่งอื่นใด คือมันสามารถทำให้ความดันโลหิตกลับสู่สภาวะปกติได้ อันที่จริงเขายังจำเป็นต้องใช้ไฮดรอกซีเอทิล สตาร์ช (HES) ซึ่งเป็นสารทดแทนพลาสมา แต่เนื่องจากสูตรโครงสร้างของมันมีความซับซ้อนสูง ฟาร์มาจึงพิจารณาว่าเขาไม่ควรเสี่ยงที่จะสังเคราะห์มันขึ้นมาเอง
หากความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติและการไหลเวียนของเลือดคงที่แล้ว เขาก็ไม่น่าจำเป็นต้องถ่ายเลือดให้ แต่จากการประเมินปริมาณเลือดที่เอเลนสูญเสียไปนั้นคงจะเป็นเรื่องยากที่จะให้ร่างกายสร้างมันขึ้นมาใหม่โดยไม่ใช้การถ่ายเลือด
“น่าจะต้องใช้เลือดสักประมาณ 1-2 ลิตรได้”
การให้ยาในปริมาณที่มากอย่างต่อเนื่องด้วยการบริหารยา สามารถทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออุณหภูมิร่างกายที่ต่ำลงจนผิดปกติได้ และอาจจะมีภาวะกรดภายในร่างกายสูงขึ้นด้วย ยังไงตอนนี้เขาก็ต้องรีบถ่ายเลือดให้เร็วแล้ว
ตอนนี้เขาก็ได้ภาวนาให้ความดันโลหิตของเอเลนกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ระหว่างที่กำลังจะไปเตรียมเลือดสำหรับการถ่าย
“เดี๋ยวนะ…ทำไมวงเวทมันถึงได้…?”
พอเขาเดินเข้าไปที่ตู้แช่ภายในห้องจ่ายยาซึ่งเก็บเลือดเอาไว้ ก็พบว่าวงเวทธาตุวารีที่ทำหน้าที่ในการรักษาความเย็นมันสลายไปแล้ว ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายภายในร้านไม่ก็อะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือเลือดของพนักงานร้านขายยาทุกคนยกเว้นตัวฟาร์มาจะถูกเก็บเอาไว้ภายในนั้น
“อุณหภูมิภายในเท่าไหร่กันนะ…”
อุณหภูมิอาจจะกลับมาเป็นปกติภายในไม่กี่ชั่วโมง
พอคิดได้เขาก็ต้องรีบหาขวดที่เก็บเลือดไว้สำหรับถ่ายเลือดแล้ว แต่พอเข้าไปดูก็พบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงได้สลายไปแล้ว บางส่วนก็จับตัวกันเป็นก้อนไปหมด ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว
(แปลว่า….เราจะถ่ายเลือดให้เธอไม่ได้งั้นเหรอ?)
ถ้าหากเขาทำการเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิและหาคนที่จะถ่ายเลือดให้เธอก็คงจะพอมีทางออกบ้าง แต่เมื่อพิจารณาจากเวลาที่ต้องใช้แล้ว อัตราการรอดชีวิตก็ยิ่งน้อยลงไปกว่าเดิม
ในทางกลับกันถ้าจะให้เธอที่สภาพร่างกายเป็นแบบนี้ไปทางนั้นแทนก็คงจะเป็นตัวเลือกที่แย่สุดๆ
(เอเลนบอกผมทีสิ ว่าผมจะช่วยคุณได้ยังไง..)
เขากุมมือของเธอขึ้นมา
ขณะที่เขาจ้องมองใบหน้าของเธอด้วยความอาวรณ์พลางคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาอยู่ภายในหัว เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
『ฟาร์มาคุง ทำไมนายถึงดูเจ็บปวดกันล่ะ』
(เอเลน….นี่เราจะเสียเธอไปแล้วงั้นเหรอ)
『ทำไมนายทำหน้าเหมือนคนกำลังจมน้ำแล้วหายใจไม่ออกล่ะ』
คำพูดนี้ช่างเหมือนกับตอนที่เขารักษาเอ็มเมอริคกับคนในครอบครัว ในตอนที่เขากำลังพยายามปรับปรุงเทคนิคการแก้ไขจีโนมเพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับมรณะ ฟาร์มานั้นอ่อนล้ามากจนต้องหลับอยู่ภายในห้องปฏิบัติการถึงเช้า คำพูดนั้นคือคำที่เธอเดินเข้ามากระซิบกับเขาเอง
ฟาร์มายังได้ยังคงจำคำพูดที่เธอพูดกับเขาได้ขณะอยู่ในห้วงนิทรา
『เพราะนายมีพลังของเทพโอสถอยู่ นายก็เลยพยายามช่วยเหลือคนอื่นด้วยแรงกายใจทั้งหมดที่มี…แต่ก็เพราะพลังที่แสนยิ่งใหญ่นั้นก็เลยทำให้นายต้องทนทุกข์ทรมานกับการหาทางช่วยเหลือทุกคนที่นายพบเจอโดยไม่คำนึงถึงตัวเองเลย』
(ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ผมก็แค่กลัว กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนสำคัญหรือครอบครัวไป ดังนั้นหากมันเป็นโรคที่ผมรักษาได้ ผมก็คิดว่าต้องพยายาม…)
『หวังว่าสักวันหนึ่งฉันจะสามารถช่วยนายได้เหมือนที่ผ่านๆ มานะ』
(เอเลน ผมต้องการคุณ ช่วยอยู่สนับสนุนและดูแลผมต่อไปสิ…)
ฟาร์มารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
พลังของเทพโอสถแล้วมันยังไงกัน ตอนนี้กะอีแค่ช่วยเอเลนเขายังไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้เลย
หากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นชะตากรรมของเธอที่มิอาจหลีกเลี่ยง ซึ่งเป็นแผนการของผู้ดูแลสุสานเพื่อเป็นการตอบโต้กับสิ่งที่ฟาร์มาทำ ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไรเธอก็คงจะไม่รอดอีกแล้ว
(ไม่ว่าจะยา ศาสตร์แห่งเทพ..ไม่มีอะไรที่จะช่วยได้อีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญมีเพียงแค่เลือดของมนุษย์เท่านั้น…)
ผู้ดูแลสุสานสามารถสร้างสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้จริงงั้นหรือ นี่เขาตั้งใจจะพลากคนที่ฟาร์มารักในโลกนี้ไปจนหมดสิ้นหรือเปล่า ฟาร์มาที่รู้สึกตัวก็พยายามสลัดความคิดพวกนั้นออกไปและเรียกพลังใจของเขากลับมาก่อนจะร่ายมนตร์
ถึงตอนนี้เราจะไม่มียา แต่อย่างน้อยเราก็พอจะมีศาสตร์แห่งเทพใช้ได้อยู่บ้าง
“บรรเทาเหตุ”
เขาได้ห่อหุ้มร่างของเธอไว้ด้วยศาสตร์ลับที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ใช้มันได้ แสงจากศาสตร์แห่งเทพโอสถนั้นได้ประทับลงไปที่ร่างของเธอ ก่อนที่มันจะซึมเข้าไปภายใน
แม้ว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดของโลกนี้จะอยู่ในกำมือของผู้ดูแลสุสาน แต่แห่งเทพนี้ก็น่าจะซื้อเวลาให้เขาได้ เช่นเดียวกับที่เขาทำช่วงกาฬโรค
หลังจากร่ายมนตร์เสร็จ ฟาร์มาก็ลดสายตาลงที่มือของเขา
“ไม่ใช่แค่นี้ ยังมีสิ่งที่เราทำได้อยู่”
คราวนี้นอกจากมนตร์แล้ว เขายังมีบางอย่างที่ภายในร่างกายนี้สามารถนำมาใช้ได้
(เลือดของเราเอง..ถ้าหากเป็นของเราละก็ถึงจะต่างกรุปกันก็ไม่มีปัญหา)
แม้ว่าปกติแล้วการถ่ายเลือดจะใช้เลือดกรุปเดียวกันในการถ่าย แต่มันก็ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่เลือดต่างกรุปจะสามารถถ่ายให้กันได้
แต่เนื่องจากนี่เป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นของฟาร์มาซึ่งมีความสามารถสุดโกงอยู่มากมายแต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะบริจาคเลือดของตัวเองให้คนต่างกรุปเพื่อความปลอดภัย แต่สำหรับตอนนี้มันคงเป็นตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงกรุปโอของฟาร์มาไม่มีแอนติเจนของหมู่เลือด จึงสามารถบริจาคให้กับผู้ป่วยทุกกรุปเลือดได้ อย่างไรก็ตาม พลาสมาชนิดโอยังมีสารอะกลูทินินซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อมีการถ่ายเลือดจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม อะกลูทินินนั้นจะถูกเจือจางด้วยเลือดของเอเลนเอง ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหามากนักเว้นแต่จะได้ในปริมาณมากจริงๆ
อันที่จริงเขายังจำเป็นต้องแยกเอาเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดงสำหรับการถ่ายเลือดโดยเฉพาะ ซึ่งจะสามารถเพิ่มความปลอดภัยให้สูงขึ้นได้ แต่เวลาก็ไม่ได้เพียงพอที่จะทำแล้ว
“ถึงเลือดเราจะไม่ได้ดีที่สุด แต่มันก็ไม่ได้แย่ที่สุดเหมือนกัน”
แม้จะมีความลังเลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยแล้ว
ฟาร์มาตัดสินใจจะถ่ายเลือดของเขาให้กับเอเลน ก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอนในการเก็บเลือดเพื่อใช้ในการถ่ายเลือด แต่ก็มีบางสิ่งที่ตอนนี้เขาไม่สามารถยืนยันได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น เลือดที่เขาให้ไปนั้นจะเข้ากันได้กับร่างกายของเอเลนไหม ผลข้างเคียงหลังการถ่ายเลือดเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้จนกว่าจะเสร็จสิ้นการรักษา
“ถึงจะเป็นเรื่องที่ต้องฝากไว้กับฟ้า แต่ก็น่าจะพอใช้ครอสแมชเทสได้”
แม้จะรู้ว่าเสี่ยง แต่เขาก็อยากจะลดความเสี่ยงนั้นโดยใช้เวลาในระหว่างที่ให้สารละลายริงเกอร์อะซิเตทปริมาณที่มาก ตรวจสอบว่าเลือดของเขาเข้ากับเธอได้จริงไหม
ถึงฟาร์มาจะทำการทดสอบอย่างละเอียดด้วยเลือดของเขาเองได้ แต่การทดสอบนั้นมันก็มีข้อจำกัดอยู่ด้วยเรื่องของเวลา ที่จำเป็นต้องรอให้เลือดทำปฏิกิริยากันโดยตรงซึ่งนั่นคือกรณีที่ดีที่สุด แต่หากข้ามขั้นตอนนั้นไปและนำเลือดไปให้กับร่างกายของเธอเลย เขาก็จะไม่สามารถควบคุมผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้กับร่างกายของเธอหลังรับการถ่ายเลือดไป
ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกใช้ครอสแมชเทสแทน เพื่อดูว่าปฏิกิริยาของแอนติเจนและแอนติบอดีที่จะเกิดขึ้นระหว่างเลือดของผู้บริจาคและเลือดของผู้รับเป็นเช่นไร หลังจากการปั่นแยกเลือด ผลประเมินของค่าฮีมาโตคริตโดยประมาณนั้นพบว่าเลือดของพวกเขาสามารถถ่ายให้กันได้
เขาไม่รอช้ารีบทำการเชื่อมต่อท่อเข้ากับที่เก็บเลือดของเขาก่อนจะทำการกำจัดเซลล์เม็ดเลือดขาวด้วยการกรองผ่านผ้ากรองไม่ถักทอเพื่อกำจัดเซลล์เม็ดเลือดขาว แต่ก็ใช่ว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวจะหมดไปในทันที อันที่จริงเขาควรจะใช้รังสีฉายด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าว เขาเลยจำเป็นต้องข้ามไป
สายที่ให้สารละลายริงเกอร์อะซิเตทซึ่งเคยเต็มไปด้วยน้ำเกลือ ได้เปลี่ยนเป็นสายสำหรับการถ่ายเลือดแทน
“นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะให้เธอได้ในตอนนี้…เลือดของผม”
ฟาร์มายังไม่บรรลุนิติภาวะ และเขายังไม่โตพอที่จะบริจาคเลือดได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนเรื่องของอายุและปริมาณของเลือดที่จำกัดไว้ เขาทำการเก็บเลือดไปถึง 700 มล. ทั้งที่ควรจะบริจาคเพียง 400 มล. แต่เอเลนคงจะไม่สามารถรอดได้แน่หากเลือดมันไม่เพียงพอ
“ต่อไปก็ต้องทำการห้ามเลือดของเธอให้สำเร็จ”
ตอนนี้ฟาร์มาต้องทำการค้นหาเส้นเลือดที่เป็นสาเหตุของอาการ
แม้ฟาร์มาจะสามารถใช้ดวงตาวินิจฉัยดูได้ว่ามีเลือดออกอยู่ที่ใด จึงสามารถพบจุดที่มีอาการได้ไม่ยากนัก แต่ดวงตานั้นมันก็ไม่ใช่จะบอกได้ว่าหลอดเลือดเส้นใดในจุดนั้นกันแน่ที่มีเลือดออกอยู่
“เจอแล้ว……”
ฟาร์มาที่พบต้นตออาการก็ได้วางมือไว้ที่หลังของเอเลนก่อนจะยื่นมือเข้าไปภายในร่างของเอเลน แน่นอนว่าเอเลนตอนนี้ไม่ได้สติไปแล้ว แถมเขาก็วางยาสลบคนไม่เป็นด้วย ดังนั้นจึงถือเป็นโชคดีที่เขาสามารถรักษาต่อได้ด้วยการไม่ใช้ยาสลบ
เนื่องจากมือของฟาร์มาสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อเขาใช้มือเปล่าเท่านั้น เขาจึงใช้ลักษณะพิเศษนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทุกครั้งที่เขาเห็นร่างโปร่งใสของเขาเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังฝันอยู่ และมันยังคอยย้ำเตือนว่าเขาคือสิ่งแปลกปลอมในโลกนี้
(เพื่อที่จะห้ามเลือด เราจำเป็นต้องหาหลอดเลือดแดงหลักที่เชื่อมต่อกับหลอดเลือดดำที่เรียกว่าหลอดเลือดดำพอร์ทัล แต่ไม่มีทางที่เราจะจำการกระจายตัวของหลอดเลือดที่มีอยู่ทั่วร่างและควบคุมส่วนที่เกี่ยวข้องกับจุดเสียหายได้หรอก งานยากแล้วสิ)
ปลายนิ้วของตัวฟาร์มาเองไม่สามารถจับต้องหลอดเลือดได้เพราะมือของเขามันทะลุหลอดเลือดไป ดังนั้นฟาร์มาจึงต้องสร้างเยื่อโลหะบางๆ ขึ้นมา นั่นก็คือไททาเนียมบริเวณปลายนิ้วของเขา ซึ่งมีหน้าที่ในการหนีบหลอดเลือดเอาไว้เหมือนแคลมป์จับ หลังจากทดสอบการไหลเวียนของเลือดในแต่ละเส้นเลือดแล้ว เขาก็จะทำการลบไททาเนียมออกและทำให้มันกลับสู่สภาพเดิม
สิ่งแรกที่เขาพบคือ หลอดเลือดดำพอร์ทัลซึ่งควบคุมการไหลเวียนของเลือดส่วนใหญ่เขาทดสอบจับดูหมดแล้ว แต่เลือดก็ยังไม่หยุดไหล
จากนี้ไปเขาจึงต้องทำการตรวจหลอดเลือดที่มีความหนามากลงไปส่วนที่มีความบางอย่างระมัดระวังขึ้น
70% ของเลือดที่ไหลเข้าสู่ตับคือเลือดจากหลอดเลือดดำพอร์ทัลที่นำสารอาหารเข้ามายังตับ และอีก 30% เป็นเลือดแดงที่นำออกซิเจนเข้ามา อยู่รวมกันภายในตับผ่านเส้นเลือดฝอยที่เรียกว่าข่ายหลอดเลือดในตับ และเพราะไม่มีการตอบสนองต่อการอุดตันภายในหลอดเลือดดำพอร์ทัล การค้นหาหลอดเลือดเพื่อควบคุมเลือดที่ออกภายในร่างของเอเลนจึงเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
“หลอดเลือดแดงนี้นี่เอง เจอแล้ว”
เขาหาหลอดเลือดแดงเจ้าปัญหาที่จะช่วยในการลดเลือดที่ไหลออกมาจากหลอดเลือดดำภายในตับขณะบีบตัวได้ และมันก็ยิ่งง่ายต่อฟาร์มาเมื่อปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่หลอดเลือดดำพอร์ทัล แต่เป็นหลอดเลือดแดงที่ตับ ถ้าเป็นในกรณีนี้เข้าก็จะสามารถจัดการงานของเขาได้ตั้งแต่บริเวณหลอดเลือดแดงใหญ่
คงจะดีหากเขายังสามารถหนีบมันเอาไว้ด้วยไททาเนียมเหมือนตอนแรก แต่เนื่องจากมันเป็นวัสดุที่เขาสร้างขึ้นมาเอง รวมไปถึงความสามารถในด้านศัลยกรรมพลาสติกของเขาก็ใช่ว่าจะดีนัก เขาจึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถหนีบมันไว้ได้ดีหรือเปล่า และอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เลือดไหลหนักกว่าเดิม
(แต่ยังไงเราต้องก็ลองอุดหลอดเลือดแดงนี้ดู)
เขาตัดสินใจรักษาด้วยการอุดตันหลอดเลือด (TAE) ซึ่งมันจะสามารถหยุดเลือดได้โดยการปิดกันเลือดไม่ให้สามารถเดินทางได้ ตอนนี้ฟาร์มาได้ทำการประเมินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดเลือดที่เขาจะทำการอุดเอาไว้
จากนั้นเขาก็ทำการสอดปลายนิ้วของเขาเข้าไปในหลอดเลือดแดงใหญ่ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่หนาที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ2-3ซม.
ขณะที่เขารู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของเลือดเอเลน เขาก็ได้สร้างน้ำแข็งขึ้นมาประกบไว้บริเวณนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของเขา และเพื่อทำการอุดเส้นเลือดของเอเลนเอาไว้เขายังจำเป็นต้องสร้างวัสดุที่จะใช้ในการอุดเพื่อวางไว้บนฐานของน้ำแข็งดังกล่าว ตอนแรกเขาตั้งใจจะใช้เจลาตินแต่มันไม่ใช่ของธรรมดาที่ฟาร์มาสามารถนึกสร้างขึ้นมาเองได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนเป็นสารอุดหลอดเลือดอย่างNBCAแทน ถึงแม้ในญี่ปุ่นจะไม่มีการแนะนำให้ใช้ในหมู่แพทย์ก็ตาม
(ไม่มีเวลาให้เลือกเยอะแล้ว จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้ด้วย)
หากสารอุดหลอดเลือดเกิดไหลไปตามหลอดเลือดแล้วไปอุดหลอดเลือดอื่นๆ ซึ่งโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดก็คือบริเวณปอดจะทำให้ผู้ป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ในกรณีของฟาร์มาแล้ว เขาสามารถข้ามข้อจำกัดนั้นไปได้ด้วยการใช้ดวงตาวินิจฉัยติดตามผลและสลายสสารนั้น แต่ยังไงเขาก็ต้องระวังอยู่ดีเพื่อไม่ให้งานของตัวเองเพิ่มขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
NBCA เป็นสารอุดหลอดเลือดที่จะแข็งตัวขึ้นมาทันทีเมื่อโพลิเมอร์ได้สัมผัสเข้ากับความชื้นเพียงเล็กน้อย
เมื่อโพลิเมอร์ในหลอดเลือดทำปฏิกิริยาโพลิเมอไรเซชันมันจะทำการบีบตัวกันและหลังจากน้ำแข็งที่เป็นส่วนฐานละลาย วัสดุดังกล่าวก็จะเคลื่อนไปภายในหลอดเลือดแดงใหญ่ซึ่งมีจุดหมายบริเวณหลอดเลือดแดงในตับ ก่อนจะเริ่มกระจายไปยังส่วนหลอดเลือดที่บาง ซึ่งขนาดของมันจะพอดีกับNBCAและเริ่มทำการอุดตันในส่วนที่เขาต้องการ แน่นอนว่าเขาสร้างให้มันใหญ่กว่าที่คิดไว้เล็กน้อย แต่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางก็ไม่ได้สำคัญขนาดว่าจะคลาดเคลื่อนไม่ได้เลย
“เอาละ เราน่าจะบล็อกหลอดเลือดได้ด้วยสิ่งนี้นะ!”
จากนั้นไม่นานการไหลเวียนของเลือดภายในหลอดเลือดก็หยุดลง จนส่งผลทำให้เลือดที่ไหลออกมาหยุดลงไปด้วย ความดันโลหิตก็กลับมาอยู่ที่ประมาณ 90 มม.ปรอท ไม่มีสัญญาณอุณหภูมิในร่างกายลดลงต่ำกว่าปกติและถึงแม้เขาจะไม่ทราบค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดเอเลน แต่อัตราการเต้นของหัวใจเธอก็ดูคงที่ขึ้น
ผ้าพันแผลที่อยู่ข้างหลังของเธอ ก็ทำให้เห็นว่ามันสามารถซับเลือดส่วนใหญ่ที่ออกมาก่อนหน้านี้และไม่มีของใหม่ออกมาแล้ว เขาจึงนำมันออกก่อนที่เขาจะตรวจสอบส่วนที่บาดเจ็บตรงอวัยวะอื่นนอกจากเลือดที่ออกภายในตับ ก็พบว่าไม่มีอาการบาดเจ็บส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็น ปอด ไต ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี หรือเส้นประสาทสำคัญ
(คงจะไม่เป็นไรแล้วสินะ?)
พอการถ่ายเลือดเสร็จสิ้น เขาก็ได้ทำการตรวจสอบร่างของเอเลนอีกทีและเห็นแสงภายในร่างกายของเธอที่แสดงถึงบาดแผลเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีม่วงซึ่งอาจจะหมายความว่าเขาสามารถช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าฟาร์มาจะประมาท หลังจากทำความสะอาดแผลให้เธอและเย็บแผลในส่วนที่เขาพอทำได้ เขาก็ทำการพันแผลให้เธออีกครั้งก่อนจะตรวจสอบว่าถุงน้ำดีของเธอไม่ได้รั่ว
“เราน่าจะต้องใช้สายระบายน้ำ”
การระบายน้ำในร่างกายนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำการขจัดเลือดและสารคัดหลั่งที่สะสมอยู่ภายในร่างกายของเอเลน โดยผ่านวิธีผ่าตัดเข้าไปทางผนังหน้าท้องซึ่งจะมีการนำสายระบายน้ำสอดเข้าไปภายในช่องท้อง แต่ครั้งนี้มันดันมีแผลอยู่ที่บริเวณด้านหลัง เขาจึงลังเลว่าควรใช้วิธีดังกล่าวดีหรือไม่และมันจะไปสร้างบาดแผลใหม่ให้กับเธอได้ด้วย
“หรือเราจะใช้แผลของเธอนี้ในการระบายดีนะ”
อย่างน้อยก็ดีที่ไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดอะไรเพิ่ม บริเวณรอบๆ แผลดังกล่าวก็ไม่ได้มีแผลกดทับหรือเนื้อที่ตายดังนั้นน่าจะใช้เป็นจุดระบายน้ำออกมาได้ แต่ถ้าหากใส่เข้าไปที่ด้านหลังท่ออาจจะยุบตัวลงได้จากการถูกทับในกรณีที่เธอนอนหงาย ดังนั้นเขาจึงต้องทำท่อแบบพับที่สามารถระบายของเหลวออกมาได้แม้ว่าจะถูกทับเอาไว้อยู่ พอใส่ท่อเสร็จเขาก็ทำการปิดปลายท่อด้วยผ้าก๊อซฆ่าเชื้อ
และพอเขาตรวจสอบเธอด้วยดวงตาวินิจฉัยอีกครั้ง แสงที่ห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้ก็เริ่มจางหายไป เป็นสัญญาณของการฟื้นตัว
หลังจากนั้นเขาก็ตรวจสอบการแข็งตัวของเลือดและแก้ไขความสมดุลของเลือดใหม่ พร้อมกับดูผลข้างเคียงจากการถ่ายเลือดเนื่องจากว่าการรักษาครั้งนี้ไม่ได้มีการดมยาสลบ เขาจึงได้ใช้เพนตาซีนในการบรรเทาอาการเจ็บปวดของเอเลนเอาไว้ และเพื่อป้องกันการสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เขาก็ได้ให้กลูโคสทีละน้อยเข้าไปภายในหลอดเลือดแดงด้วยการสร้างสสาร จากการกระทำของเขาทั้งหมดวิกฤตก็เริ่มจะคลี่คลายลง เขาเริ่มมีความใจเย็นมากขึ้น
ฟาร์มาได้นำร่างของเอเลนเข้ามากอด
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้คือไม่อยากจะปล่อยให้เธอออกจากอ้อมแขนของเขาเลย
“เอเลน ผมอยากเจอคุณเหลือเกิน อยากได้ยินเสียงของคุณ ผมรู้แล้วว่าคุณมีค่ามากแค่ไหนก็ตอนก่อนจะเสียคุณไป ถึงแม้มันจะสายไปแล้ว…แต่ขอโทษนะ..”
ตอนนี้เขาอยากเป็นเพียงแค่เทพผู้พิทักษ์ที่ไม่ใช่เทพโอสถแต่เป็นเทพผู้พิทักษ์ของเธอเพียงคนเดียว
ตอนนี้เอเลนก็รอดชีวิตมาได้แล้ว แต่สิ่งที่เขาได้รับมาจากเธอมันคืออารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในใจของเขาอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะเอ่ยมันออกมาให้เธอได้ฟัง
“ผมรักคุณนะเอเลน ผมรักคุณจริงๆ”
ตัวเขาพูดออกมาทั้งน้ำตา ก่อนที่ฟาร์มาจะร้องไห้ออกมาจนดังก้องไปทั่วร้านขายยาที่มีเพียงพวกเขาสองคน
–แน่นอนว่าไม่มีการตอบกลับใดๆ
ทว่า…กลับมีลวดลายบางอย่างที่แสนคุ้นตาปรากฏขึ้นบนข้อมือของเอเลน มันดูเหมือนกับตราสัญลักษณ์แห่งเทพโอสถที่อยู่บนต้นแขนทั้งสองของฟาร์มา นั่นมันทำให้เขาสงสัยว่าเลือดของตนมีผลอะไรบางอย่างงั้นหรือ ที่ตราสัญลักษณ์แห่งเทพโอสถมันโผล่ขึ้นมาได้ก็แปลว่าเลือดของพวกเขาผสานกันได้อย่างลงตัวสินะ เขายืนนิ่งไปด้วยความสงสัยที่ไม่จบสิ้น จนไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากมือของเอเลนกำลังจับฟาร์มาเอาไว้อย่างนุ่มนวล
(เธอกลับมาแล้ว……)
ฟาร์มารีบคว้าหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของเอเลนไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขาอีกครั้ง
——–
Note 1 : สูญสิ้นสติและพลังงานชีวิตกับการแปลตอนนี้ // เขาบอกรักกันแล้วววว
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code