Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 96

ตอนที่ 96 หนทางสู่การทำลายล้างคำสาป

 

เหล่าฝูงชนถือตะเกียงแสงสลัวเคลื่อนผ่านทุ่งที่ไร้แสงจันทร์ เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายให้ได้เร็วที่สุด โดยมีสีหน้าที่วิตกและอ่อนล้าให้เห็น ซึ่งก็มีรถม้าปะปนอยู่ภายในขบวนด้วยจุดมุ่งหมายของพวกเขานั้นก็คือเมืองแลมบลูที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวง แน่นอนว่าประชาชนส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถจัดหารถม้าให้ตนได้จึงต้องทำการเดินโดยมีเหล่าชนชั้นสูงและกองทัพของจักรวรรดิเป็นผู้คุ้มกัน ปัจจุบันพวกเขากำลังจะข้ามทุ่งร้าง

 

รถม้าของตระกูล เดอ เมดิซิสก็อยู่ภายในขบวนที่แออัดนี้เช่นเดียวกัน และไม่นานจากนั้นจำนวนคนที่กองกันบริเวณทุ่งก็เยอะขึ้นจนทำให้การเคลื่อนขบวนไปข้างหน้าต้องเป็นอันหยุดไป

 

มีชายหนุ่มที่กำลังหัวเสียอยู่ภายในรถสุดหรูนั่นก็คือปาลเล่

 

 

“ทำไมขบวนรถม้าเราถึงหยุดกันล่ะ พวกที่อยู่ข้างหน้าชักช้ากันเสียจริง แค่เดินมันจะไปยากอะไรนะ”

 

“ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดครับ แต่พวกเขาอาจจะกำลังพบปัญหาที่ไม่คาดคิดก็ได้”

 

“อ๋อ พวกสามัญชนนี่ชักทำตัวประมาทกันเสียจริง”

 

 

พอได้รับรายงานจากไซม่อน พ่อบ้านของตระกูล ปาลเล่ก็เปิดหน้าต่างรถม้าออกเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอก ขณะที่บลานช์ก็เข้ามาแล้วบอกว่า “หนูขอดูด้วย” ก่อนจะถูกดันศอกให้ถอยไป ดูเป็นภาพที่สองพี่น้องแย่งกันดูวิวภายนอกแสนวุ่นวายพอสมควร

 

 

 

“กรี๊ดดดด มันออกมาแล้ว!!”

 

 

 

ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด เหล่าพลเมืองก็เริ่มวิ่งหนีไปคนละทิศเหมือนขาแมงมุม พอจากจุดนี้จะเห็นว่าบริเวณเส้นขอบฟ้าตรงที่ราบด้านขวามือซึ่งเป็นทิศที่ขบวนมุ่งไป มีฝูงมนุษย์ร่างดำพุ่งเข้ามาหาพวกเขา ดูจากรูปร่างที่ขยายและหดตัวไปมาของพวกมันก็ชัดแล้วว่านั่นไม่ใช่มนุษย์

 

 

เมื่อใกล้เข้ามาเหล่าพลเมืองก็ตกอยู่ในความโกลาหล

 

 

 

“แย่แล้ว แย่แล้ว พวกวิญญาณร้าย!!”

 

“พวกมันเป็นวิญญาณร้ายงั้นเหรอ!? แล้วฉันจะทำยังไงดี…!”

 

“รอเดี๋ยว อย่าผลักกันว้อย อย่าผลัก! แล้วก็รีบหันหลังกลับเมืองหลวงกันให้ไวเลย!!”

 

 

เสียงจากเหล่าผู้คนดังสะท้อนกันไปมา

 

ขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันระหว่างหนี กลิ่นของสายลมที่เหม็นเน่าก็พัดผ่านทุ่งยามราตรีเข้ามา ทำให้พวกเขายิ่งสติแตกกันไปใหญ่ โดยสายลมมรณะพวกนี้มันทำให้ต้นหญ้าในทุ่งร้างเกิดเน่าและเหี่ยวเฉาลง

 

“เอ็งจะบ้าหรือไง ที่เมืองหลวงก็มีวิญญาณร้ายเหมือนกันนะ แล้วจะให้พวกข้าหนีไปไหนได้”

 

“แต่ถ้าอยู่ที่นี่ล่ะก็ถูกฆ่าแน่! ไหนบอกว่ายาอายุวัฒนะของท่านแกรนดยุกเดอ เมดิซิสมันได้ผลไง ไอ้แบบนี้จะเชื่อได้อีกเหรอ!?”

 

 

“ถ้าโดนพวกมันกรูเข้ามากันขนาดนี้ทุกอย่างจบสิ้นแน่! พวกเราจะตายกันหมด…”

 

 

อาวุธธรรมดาไม่สามารถต่อกรกับวิญญาณร้ายได้ เสียงกรีดร้องและเสียงโหยหวนของเหล่าผู้คนที่ไม่สามารถต่อสู้กับพวกมันดังออกมาตลอดเส้นทาง ความคาดหวังในตัวของชนชั้นสูงก็เริ่มพังทลายลง

 

 

 

“ทำไมพวกวิญญาณร้ายถึงโผล่มาที่นี่ได้ล่ะ มันไม่ใช่สุสานอะไรสักหน่อย”

 

 

พอปาลเล่ใช้กล้องส่องทางไกลดูสถานการณ์ ก่อนไซม่อนจะบอกกับเขาอย่างขมขื่น

 

 

“ไม่หรอกครับ ท่านปาลเล่ ทั่วทั้งที่ราบแห่งนี้คือสุสานครับ”

 

 

“งั้นเหรอ…ที่นี่เคยเปิดสนามรบในอดีตสินะ”

 

 

ปัจจุบันจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสถานการณ์ทางการเมืองก็มีเสถียรภาพภายสูงภายใต้ระบอบเผด็จการ

 

ดังนั้นที่ราบแห่งนี้ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวง อาจจะเป็นที่ที่เหล่าผู้เสียชีวิตในอดีตซึ่งไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบจะกลายมาเป็นวิญญาณร้ายและฟื้นขึ้นมาจากส่วนลึกสุดของผืนโลก

 

“ช่วยไม่ได้สินะ ฉันคงต้องออกไปจัดการ การสกัดกั้นตอนนี้ก็น่าจะไม่ทันแล้วเพราะระยะห่างของฉันกับพวกมัน ดังนั้นต้องรีบแล้ว!!”

 

“ท่านพี่ใหญ่ หนูก็จะไปด้วย!”

 

 

ปาลเล่ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก เขาคว้าเอาคทาแห่งเทพสองอันและกระโดดออกจากรถม้าพร้อมกับตะโกนบอกให้เหล่าครูเซเดอร์ของตระกูลจัดการเรื่องรอบๆ ตามดุลยพินิจของพวกเขาเอง ก่อนจะเป่าแตรเพื่อเป็นสัญญาณเข้าโจมตี

 

 

กลุ่มของชนชั้นสูงและทหารคนอื่นๆ ที่เห็นปาลเล่ตัดสินใจเข้าโจมตีอย่างกล้าหาญก็กระโดดออกมาจากรถม้าและเริ่มเข้าช่วยประสานกำลังปะทะกับพวกวิญญาณร้าย บลานช์พยายามตามปาลเล่ด้วยคทาอันเล็กสำหรับเด็ก แต่เธอก็ถูกขัดขวางในทันที

 

 

 

“แคทเทอรีน ชาร์ล็อต! อย่าให้บลานช์ออกมาจากรถม้าเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน อย่าเปิดหน้าต่างแล้วรีบให้คนที่เหลือใช้ศาสตร์แห่งเทพสร้างบาเรียอย่างง่ายขึ้นมาซะอยู่แต่ข้างในนั้นไป นี่เป็นคำสั่ง!”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ชาร์ลอตต์ ปิดประตูซะ!”

 

 

เมื่อลอตเต้ยังทำหน้ามุนงง แคทเทอรีนก็เลยผลักลอตเต้ที่ขวางทางออกแล้วพุ่งไปปิดประตูและหน้าต่างของรถม้า จากนั้นวงจรเวทที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันรถม้าเมื่อถูกโจมตีก็ทำงาน การป้องกันภายในรถม้าตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว

 

จากนั้นเธอก็หันหน้าไปหาลอตเต้แล้วตบเข้าที่แก้มของเธออย่างรุนแรง

 

ลอตเต้วางมือบนแก้มที่แดงป่องขึ้นมา ก่อนจะจ้องไปยังแคทเทอรีนด้วยความงุนงงว่าเพราะอะไร

 

 

 

“คุณ-แม่……”

 

 

“เจ้าลูกโง่! คิดจะยืนนิ่งไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าพวกวิญญาณร้ายเข้ามาได้จะเป็นยังไง! พวกเราต้องรีบทำตามคำสั่งโดยเร็วสิ!”

 

 

“แต่ถ้าหนูทำแบบนั้น ท่านปาลเล่ก็จะกลับมาไม่ได้นะคะ…”

 

 

“คุณชายเป็นคนบอกพวกเราให้ทำแบบนั้นเองไม่ใช่หรือไง!”

 

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับปาลเล่ เธอก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีข้อแม้

 

แต่ลอตเต้ก็ยังไม่สามารถซ่อนความสับสนที่มีอยู่ภายในใจของเธอได้

 

 

“ฉันได้รับคำสั่งให้ปกป้องคุณหนูบลานช์เอาไว้ค่ะ แล้วก็ชาร์ล็อตท่านปาลเล่และท่านเอเลโอนอร์เป็นคนที่มอบชีวิตใหม่ให้กับลูกนะ อย่าคิดเรื่องโง่ๆ แบบนั้นอีกเข้าใจไหม!”

 

“อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ หนูก็จะออกไปช่วยด้วย!”

 

 

พอได้ยินแบบนั้นลอตเต้ก็รีบเข้าไปหยุดบลานช์ที่พยายามจะเปิดหน้าต่างออกขณะพูด

 

 

“ท่านบลานช์คะ ท่านปาลเล่เป็นห่วงท่านมากนะคะ ดังนั้นถ้าเกิดว่าเห็นท่านบลานช์ออกไปแบบนี้ เขาคงจะไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่แน่นอนเลยค่ะ”

 

“อย่ามาห้ามกันนะ!”

 

“อยู่กับฉันที่นี่นะคะ นี่คือสัญญาที่ฉันสัญญากับพี่ของท่านไว้”

 

 

ลอตเต้จับมือของบลานช์ไว้แน่น จนทำให้บลานช์ใจอ่อนยอมอย่างไม่เต็มใจนัก

 

 

“แต่ฉันที่ทำอะไรไม่ได้เลย…มันน่าหงุดหงิดนี่นา”

 

“ฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันค่ะที่ไม่มีพลังแห่งเทพจึงต้องรอรับการปกป้องเท่านั้น”

 

“หากทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย หลังจบเรื่องนี้ฉันจะตั้งใจฝึกศาสตร์แห่งเทพให้มากขึ้น ถึงท่านพี่จะคอยบอกเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร”

 

 

 

บลานช์ร้องไห้และสารภาพออกมา

 

ดูเหมือนว่าเธอกับลอตเต้จะมีความคิดเดียวกันอยู่ภายในใจ

 

 

“ถ้าฉันไม่มีพลังฉันก็จะปกป้องใครไม่ได้เลย อย่างที่เธอพูดเลยฉันคงจะช่วยใครไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นท่านพี่หรือคนอื่นๆ ..!…!”

 

 

 

บลานช์ร้องคร่ำครวญออกมาถึงความสิ้นหวังของเธอและคุกเข่าลงไปกับพื้นรถม้า

 

 

ปาลเล่วิ่งไปข้างหน้าก่อนจะสะบัดคทาของเขาโดยไม่หันกลับมามองด้านหลัง โดยสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาท้องถนนเพื่อปกป้องคนที่หนีไม่ทันจากพวกวิญญาณร้าย นอกจากนั้นยังจากพลังของเขาที่จะใช้ด้วยจากนี้

 

ปาลเล่ยกคทาขึ้นมาราวกับต้องการทะลวงไปยังร่างของพวกวิญญาณร้ายที่เขาจะสัมผัส

 

 

 

 

“ ยกเลิกข้อกำจัดนี่คือการต่อสู้จริง! ระดับสูงสุด! “”

 

 

เป็นบทปลดปล่อยข้อจำกัดแบบใหม่ เนื่องจากเขาใช้พลังแห่งเทพไปจำนวนมากกับสารปรุงยาอายุวัฒนะเพื่อรักษาลอตเต้ ดังนั้นเขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าพลังแห่งเทพของตนจะหมดลงเมื่อใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูง

 

 

“เปิดใช้งานองค์สาม ทะลวงเป้าหมายเพื่อชัยเหนือสงคราม! คลื่นยักษ์แห่งการทำลายล้าง!”

 

 

วิถีการเคลื่อนไหวของคทาแห่งเทพทั้งสองทำให้เกิดความบิดเบี้ยวในพื้นที่โดยรอบ

 

เกิดคลื่นพายุฝนฟ้าคะนองถาโถมเข้าหาพวกวิญญาณร้ายและเมื่อเขาใช้มันในรูปแบบของศาสตร์แห่งเทพสมัยใหม่จากโนวารูต มันก็กลายเป็นคลื่นน้ำสีใสโถมเข้าใส่วิญญาณร้ายทั่วทุ่งราบนั้น

 

พวกวิญญาณร้ายที่ปรากฏออกมา ก็โดยกวาดไปด้วยกระแสน้ำและกลายเป็นไอน้ำไป พลังทำลายของมันรุนแรงและไกลสุดสายตาที่เขาจะมองเห็นได้

 

ส่งผลให้พวกวิญญาณร้ายกว่า 90% ในทุ่งร้างถูกทำลายด้วยมนตร์ระดับสูงสุดของปาลเล่

 

ส่วนพวกที่เหลือก็โดนผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพคนอื่นมาตามเก็บงานอีกที ปาลเล่ลดคทาของตนลง ก่อนจะจับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้า พลังแห่งเทพของเขาจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมา แม้ขาของเขาจะสั่นแต่เขาก็พยายามยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าสนามรบนี้เช่นเดิม

 

 

 

“ให้ตายสิ…ถึงขีดจำกัดแล้วสินะ หวังว่าพอใช้มนตร์นี่ล้างพวกงี่เงานี่หมดแล้ว มันจะไม่ออกกันมาอีกนะ…!”

 

แต่ก็เหมือนกับเสียงกระซิบของปีศาจ ปาลเล่รีบหันร่างของเขาไปดูในจุดหนึ่ง

 

อีกด้านหนึ่งของทุ่งราบ ได้มีผู้มาเยือนตนใหม่ปรากฏตัวขึ้น มันเป็นอีกฝั่งของกำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้าง เหล่าพลเมืองถูกวิญญาณร้ายเข้าโจมตีและไม่สามารถต่อต้านได้ เนื่องจากการจู่โจมฝนครั้งนี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ปาลเล่ที่อยู่ไกลออกไปจึงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพก็รู้สึกสับสนกันไปหมด

 

 

“ให้ตายสิ ฝนย้อนกลับ!!”

 

 

กระทั่งมนตร์แห่งวารีที่ปาลเล่ใช้ได้เร็วที่สุดก็ยังช้าเกินไป ขณะนี้วิญญาณร้ายตนหนึ่งกำลังจะเข้าไปกลืนกินเหล่าพลเมืองแล้ว

 

 

 

 

“กำแพงน้ำแข็ง–!”

 

 

 

เกิดกำแพงน้ำแข็งแผ่ขยายออกไปเป็นบริเวณกว้างที่มาพร้อมกับบทร่ายอย่างลนลาน

 

เป็นบลานช์ที่ใช้ศาสตร์แห่งเทพมาจากข้างในรถม้า แม้จะดูมีความลนลานในการร่าย แต่ทักษะในการใช้ของเธอก็แม่นยำจนน่าประหลาดใจ

 

 

 

 

“ทุกคน รีบหนีไปเดี๋ยวนี้!”

 

 

ด้วยพลังของบลานช์จึงสามารถหยุดพวกวิญญาณร้ายที่หลั่งไหลเข้ามาโจมตีพลเมืองไว้ได้ แต่กำแพงน้ำแข็งของเธอก็ยังไม่แข็งแรงพอจนเริ่มมีรอยร้าวขึ้นแล้ว

 

“ฮ๊า หนูทนไม่ไหวแล้ว ท่านพี่ใหญ่ ช่วยหนูด้วย!!”

 

 

ในจังหวะที่กำแพงป้องกันของเธอกำลังจะพังทลายลง ก็ได้มีคลื่นเปลวไฟสีขาวพุ่งออกมาปกป้องเหล่าพลเมืองเอาไว้ ความเจิดจรัสของเปลวเพลิงนั้นย่อมเป็นพลังจากศาสตร์แห่งเทพ

 

 

 

 

“ให้เป็นหน้าที่ฉันเองค่ะ!”

 

 

มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้น

 

เธอคนนั้นยืนอย่างสง่างามอยู่บนรถม้า โดยมีคทาแห่งเทพสองอันซึ่งกำลังถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงลอยอยู่ในอากาศ เธอคือท่านแกรนดยุก เมโลดี้ เลอ รูซ์ ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพอัคคีได้เข้ามาเป็นกำลังเสริมแล้ว

“โอ้ ท่านผู้นั้นคือท่านหญิงเลอ รูซ์นี่นา??”

 

 

“หากท่านแกรนดยุกมายืนในสนามรบแห่งนี้ พวกเราก็ปลอดภัยแล้ว!”

 

 

เหล่าพลเมืองต่างส่งเสียงโห้ร้องออกมา เนื่องจากชื่อแกรนดยุดนั้นจะมอบให้กับชนชั้นสูงผู้มีความสามารถในศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมและพรสวรรค์ที่สูงส่งเท่านั้น ผู้ที่มีตำแหน่งนั้นติดอยู่กับตัวก็ย่อมได้รับความเคารพและความไว้วางใจจากพลเมือง ราวกับว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากความคาดหวังของพวกเขา เมโลดี้จึงทำสมาธิละร่ายมนตร์บทถัดไปทันที

 

 

“ข้าผู้อยู่ภายใต้พรแห่งเทพอัคคี ผู้ใช้ศาสตร์แห่งสรวงสรรค์ที่จะช่วยเหลือมวลมนุษย์สืบไปไม่เปลี่ยนแปลงและเผาผลาญมลทินทั่วทุกแห่งหน”

 

 

เป็นท่วงทำนองราวกับการขับขานบทเพลง พลังแห่งเทพที่ถูกเก็บเอาไว้กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว

 

 

 

“เพลิงบริสุทธิ์แห่งอัคคีเทพ!”

 

คทาแห่งเทพของเธอปล่อยเปลวเพลิงออกมา เพลิงนั้นเข้าไปห่อหุ้มพวกวิญญาณร้ายในทันที เปลวเพลิงนี้ได้ตัดผ่านความมืดมิด ทำให้วิญญาณร้ายระเหยไปทีละตน ความแม่นยำในการใช้งานที่ไม่มีใครเทียบได้ ผลของมันเป็นที่ประจักษ์ เหนือสิ่งอื่นใดคือมันมีความซับซ้อนในการใช้งานเป็นอย่างมาก

 

 

 

“สมกับเป็นท่านแกรนดยุก ขอให้พระเจ้าอวยพรท่าน!”

 

แม้กระทั่งปาลเล่ผู้มากไปด้วยความสามารถก็ยังยกย่องเมโลดี้เพราะเธอเป็นต้นแบบของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมและยังได้รับตำแหน่งแกรนดยุกตั้งแต่อายุยังน้อย

 

 

“ขอบคุณท่านแกรนดยุกเมโลดี้ เลอ รูซ์จริงๆ ครับที่มาช่วยเหลือเหล่าประชาชนในยามวิกฤตเช่นนี้”

 

“เป็นเกียรติจังเลยนะคะที่ได้รับคำชมจากยอดฝีมืออย่างท่านปาลเล่ เดอ เมดิซิส ฉันที่เป็นช่างฝีมือมานานก็เกือบจะลืมการใช้มนตร์โจมตีไปแล้วสิคะ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นจับคทาใหม่ได้ดีเลย”

 

 

เมโลดี้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโดดเบาๆ ลงมาจากหลังรถม้า และเข้าไปนำฝูงชนต่อ ทางปาลเล่ก็กลับไปที่รถม้าของเขา โดยทำหน้าที่ป้องกันรถม้าจากด้านนอก ซึ่งบลานช์ที่นั่งอยู่ข้างในก็กระโดดออกมาหาเขาราวกับกำลังรออยู่

 

 

 

“เป็นไงล่ะคะ ชมหนูซะสิ นี่ขนาดหนูยังไม่ได้ลงจากรถม้านะ”

 

 

“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง แต่ว่า…ทำได้ดีมาก”

 

 

“ฮ่าๆ หนูทำได้แล้ว ในที่สุดก็ได้รับคำชม-“

 

 

ก่อนจะพูดจบปาลเล่ก็ตบเข้าที่หัวของบลานช์แล้วบ่นตามประสาพี่ชาย หลังจากที่เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพให้ทำการจำกัดพวกวิญญาณร้ายไปจนหมดแล้ว รถม้าของทางพ่อและแม่เอเลนก็ตามพวกเขามาจากด้านหลัง

 

 

“ท่านเดอ เมดิซิส พวกเราไม่เห็นเอเลโอนอร์เลย ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าเธออยู่ที่ไหน เพราะพวกเราคาดว่าตอนนี้เธอน่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ”

 

 

เคานต์บอนฟัวและภรรยารู้สึกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกสาวคนเดียวของพวกเขา แต่ปาลเล่ก็ไม่ได้บอกว่าเอเลนถูกทิ้งไว้ที่ร้านขายยาตามลำพัง

 

 

 

“ตอนนี้เธอก็คงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองหลวงนั่นแหละครับ แต่เพราะเธอเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีความสามารถมาก ผมรู้จักเธอดีกว่าใครไม่มีทางที่เธอจะถูกพวกวิญญาณร้ายเข้าใกล้ได้หรอกครับ”

 

 

ปาลเล่ยกย่องเอเลนให้ท่านเคานต์ฟังเพื่อไม่ให้เขารู้สึกสิ้นหวังไปซะก่อน

 

แน่นอนว่าปาลเล่รู้ถึงพลังของเอเลนเป็นอย่างดีและไม่เคยคิดว่าเธอจะพ่ายแพ้ให้กับพวกวิญญาณร้าย ซึ่งเขาแอบจะยอมรับในตัวเอเลนเป็นอย่างมาก ทางท่านเคานต์ก็ตอบกลับอย่างอ่อนแรง

 

 

 

“น่ะ-นั่นสินะครับ ผมก็ควรจะเชื่อในตัวลูกสาวของผมด้วย”

 

 

ในอ้อมแขนของเขานั้น ก็ยังคงอุ้มโซฟีที่โตขึ้นมาบ้างแล้วเอาไว้อยู่

 

ตอนนี้พวกเขาได้รวมตัวกับตระกูลบอนฟัวเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองแลมบลู โดยระหว่างทางพวกเขาก็ถูกขวางไว้โดยฝูงหมาป่า แต่พอสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าใบหน้าของพวกมันไม่เหมือนเก่าแล้ว เนื้อหนังพวกมันผุพังไปหมด พวกม้าที่โดนมันกัดเข้าก็กลายเป็นวิญญาณร้ายและออกมาอาละวาดในทันที

 

 

“นี่มันพวกกลายพันธุ์หรือไงกันนะ ทำไมมันออกมาเป็นฝูงได้ขนาดนี้ ให้ตายสิ”

 

“การปนเปื้อนของพวกวิญญาณร้ายในพื้นที่นี้น่าจะต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจังแล้วสิ”

 

 

ปาลเล่ทำการชำระล้างพวกมันที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสัตว์ป่าพวกนั้น ทางเมโลดี้ก็เผาพวกมันอย่างไม่ลังเล เนื่องจากพลังของปาลเล่แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ทางเคานต์บอนฟัว โซฟี และบลานช์จึงต้องออกมาสู้ด้วย ชนชั้นสูงบางส่วนก็ต้องทำการเคลียทางข้างหน้าให้ไปต่อไปในขณะที่บางส่วนก็ต้องคุ้มกันเป็นกองหลัง

 

หลังจากผ่านการต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายตลอดเส้นทาง ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงหน้าป้อมปราการของเมืองแลมบลู

 

 

เหล่าพลเมืองต่างโห่ร้องดีใจเมื่อเห็นธงของแลมบลูโบกสะบัดเหนือป้อมปราการ

 

 

 

“ในที่สุดก็มาถึง ขอบคุณพระเจ้า!”

 

 

 

ดวงอาทิตย์ขึ้นและมีแสงโปร่งใสเหมือนด้ายสีทองพุ่งออกมาจากระหว่างเมฆ

 

 

ดูเหมือนโบสถ์ผู้พิทักษ์ของแลมบลูจะปลอดภัยอยู่ เพราะวงเวทของมันยังทำงานได้ตามปกติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้อพยพจากเมืองหลวงจะโหยหาการพักผ่อนมากแค่ไหน

 

ตรงป้อมปราการของเมืองก็มีเหล่าทหารคอยรักษาการณ์อยู่ทั่วเมือง

 

พอพวกพลเมืองเข้ามาภายในป้อมปราการแล้วพวกเขาก็จะถูกส่งไปยังศูนย์อพยพที่กระจายอยู่ในแต่ละแห่งของเมือง หลังจากทำการตรวจสอบเบื้องต้นกันเสร็จแล้ว เมโลดี้ก็เดินไปหาตระกูลเดอ เมดิซิสที่กำลังรู้สึกยินดีเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัย

 

“ท่าน เดอ เมดิซิสและเคานต์บอนฟัวจะทำเช่นไรกันต่อคะ”

 

 

“ผมว่าจะเดินทางไปที่ศูนย์อพยพครับ”

 

 

“อันที่จริงหากพวกท่านไม่ติดอะไร ทางฉันก็มีที่ดินเล็กๆ อยู่ภายในเมืองนี้ซึ่งพ่อของฉันเป็นคนทิ้งไว้ให้ค่ะ ฉันขอรับประกันความปลอดภัยให้พวกท่านเอง”

 

“เยี่ยมไปเลยครับ ผมจะขอรับน้ำใจนั้นไว้และสักวันผมจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”

 

ปาลเล่ตัดสินใจรับน้ำใจของเมโลดี้

 

และเหมือนทางเคานต์บอนฟัวกับโซฟีก็รับคำของเมโลดี้เช่นกัน

 

 

ว่าแล้วทางตระกูลเดอ เมดิซิสก็ย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยเป็นพิเศษ นั่นก็หมายความว่าหน้าที่ที่เบียทริชมอบให้กับปาลเล่เสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้เขาจะทำการเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงทันที

 

หลังกล่าวคำอำลากับบลานช์จบ เขาก็ขึ้นม้าเร็วของตระกูลไปเพียงลำพัง แม้พลังแห่งเทพและร่างกายของเขาจะถึงขีดจำกัดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังคงจะมุ่งหน้ากลับไปอยู่ดี

 

แสงแดดยามเช้าส่องผ่านใบหน้า เขาได้เฆี่ยนม้าอย่างรุนแรงเพื่อวิ่งผ่านสายลมบนท้องถนนไป

 

 

 

 

 

หลังจากทำการรักษาเอเลนเสร็จ ฟาร์มาก็ทำการติดตามอาการของเธออย่างใกล้ชิด ตอนนี้เขาไม่อยากจะห่างเธอเลยแม้วินาทีเดียว แต่สถานการณ์ภายในเมืองหลวงยังไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย จนเขาลังเลว่าจะทำยังไงดีระหว่างที่ดูแลเอเลนอยู่

 

พอเขาเปิดหน้าต่าง และลอยออกไปข้างนอกด้วยคทาแห่งเทพเพื่อมองดูเมืองหลวงรอบๆ

 

ถึงโบสถ์เทพผู้พิทักษ์จะกลับมาทำงานแล้วจึงทำให้เมฆดำที่ปกคลุมเมืองหลวงเอาไว้ค่อยๆ จะหายไปบ้างแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือพวกวิญญาณร้ายอยู่เลย พวกมันยังคงสร้างความเสียหายและทำลายล้างเมืองต่อไปเรื่อยๆ วงเวทของทางมหาวิทยาลัยยาก็น่าจะอยู่ได้สักหนึ่งวัน ดังนั้นเขาจำเป็นต้องตรวจสอบอีกหลายสถานที่เพื่อหาผู้อพยพที่ตกหล่นภายในเมืองหลวง

 

 

 

“เอเลนก็ยังขยับไปไหนไม่ได้ แต่เราก็จะมาอยู่แบบนี้ไม่ได้ด้วย”

 

 

หากมีใครสักคนเข้ามาช่วยในจุดนี้ เขาคงจะพอวางใจได้

 

ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น ก็ได้ยินเสียงมาจากทางประตูของร้าน

 

 

 

“ท่านเจ้าของร้าน?”

 

“โอ๊ะ โอ”

 

 

หญิงสาวเส้นผมสีฟ้าอ่อนพลิ้วไสวอย่างแผ่วเบา กับชายหนุ่มร่างโตที่โผล่หัวออกมาจากด้านหลัง กำลังส่งเสียงประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นร่างของฟาร์มา ทางฟาร์มาเองก็คาดไม่ถึงกับการปรากฎตัวของทั้งสองเช่นกัน

 

 

 

“คุณรีเบคก้า คุณโรเจอร์ก็ด้วย มาทำอะไรในเวลาแบบนี้กันครับ ทั้งที่คำสั่งอพยพก็ประกาศแล้วแท้ๆ …”

 

“คือ…ฉันกำลังคิดว่าจะอพยพไปที่แลมบลูพร้อมกับประวัติการใช้ยาและเวชระเบียนของคนไข้ค่ะ ยังไงฉันก็มีหน้าที่ในการจัดเอกสารของผู้ป่วยนี่คะ”

 

 

“ส่วนผมก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านให้ดูแลเรื่องยานี่ครับ”

 

 

รีเบคก้าตอบออกมาอย่างเขินอาย ส่วนโรเจอร์ก็ตอบกลับมาเหมือนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะทำแบบนี้ ในขณะที่ฟาร์มากำลังแปลกใจ รีเบคก้าก็เห็นเอเลนเข้า ฟาร์มาจึงอธิบายอาการของเธอให้พวกเขาฟัง ถึงจะไม่ได้บอกว่าทำการรักษาแบบไหนก็เถอะ ทางรีเบคก้าที่ทราบว่าเอเลนกำลังจะตายก็ร้องไห้ออกมา

 

“ขอโทษนะคะคุณเจ้าของร้าน ถ้าฉันรู้ว่าท่านเอเลโอนอร์ตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ ฉันคงรีบมาที่นี่ทันทีเลยแท้ๆ”

 

“แค่ความรู้สึกของพวกคุณผมก็ซาบซึ้งมากแล้วครับ ครั้งหน้าผมอยากให้พวกคุณหนีกันไปเถอะนะครับ ความปลอดภัยของพวกคุณก็ถือเป็นการปกป้องที่นี่ทางอ้อมเหมือนกัน ถึงงานของพวกคุณคือการจัดการเวชระเบียนประวัติการใช้ยา ดูแลยารักษาโรคต่างๆ แต่ความรู้ ทักษะที่คุณมี ความสัมพันธ์ ความไว้วางใจที่พวกคุณสร้างกับเหล่าผู้ป่วยนั้นมันเรียกคืนมาในชั่วข้ามคืนไม่ได้หรอกนะครับ”

 

เหนือสิ่งอื่นใดคือความปลอดภัยของพวกเขา ฟาร์มาอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้อย่างใจจริง

 

โรเจอร์ที่เข้าไปตรวจสอบวงเวทภายในตู้แช่ของห้องจ่ายยาก็เห็นว่ามียาบางส่วนแตกและเลือดภายในตู้แช่ก็ถูกปนเปื้อนแล้ว

 

 

“แบบนี้นี่แย่เลยไม่ใช่เหรอครับ เพราะเลือดที่มีนี่มันใช้ไม่ได้เลยจากการปนเปื้อนของพวกวิญญาณร้าย แล้วแบบนี้ยาจะไหวไหมครับเนี่ย  ท่านเจ้าของร้าน?”

 

“ไม่น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับยาหรอกครับ เพราะพวกเราสามารถทำขึ้นมาใหม่ได้”

 

“ดอกไม้ที่จัดไว้ตรงเคาน์เตอร์ก็เน่าไปแล้ว ต้นไม้รอบร้านก็ตายกันหมด เลือดที่เก็บไว้ก็เสีย….พวกวิญญาณร้ายนี่มันเอาทั้งคน สัตว์ และพืชได้หมดเลยสินะ”

 

 

ดวงตาของโรเจอร์แสดงความคิดออกมา ฟาร์มาที่ได้ยินแบบนั้นก็นึกถึงบางสิ่งได้จนเกือบลืมหายใจ

 

(ตัวทำปฏิกิริยาที่เราเอากลับมาด้วยจะเป็นอะไรไปไหมนะ….?)

 

 

เมื่อฟาร์มาเปิดขวดยาออกมาซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยโปรตีนแบบแห้งที่ผ่านการกลั่นมาแล้ว ผลก็คือมีกลิ่นของเน่าเสียโชยออกมาแตะจมูกของเขา

 

เป็นไปไม่ได้ที่คุณภาพของมันจะเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้นเช่นนี้

 

 

 

“โดนเข้าแล้วสินะ……”

 

 

 

การตรวจสอบเพิ่มเติมถึงความเสียหายน่าจะต้องทำอีกทีในภายหลัง นอกจากนี้ถึงงานวิจัยบางส่วนของเอ็มเมอริคเขาได้เก็บมันไว้ที่มหาวิทยาลัยยา แต่บางส่วนที่อยู่ที่ร้านขายยามันได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ฟาร์มาคิดว่าจะต้องทำเช่นไรต่อดีด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง ก่อนที่รีเบคก้าจะเรียกสติเขากลับมา

 

 

“ท่านเจ้าของร้าน ฉันน่าจะมีเลือดกรุปเดียวกับท่านเอเลโอนอร์นะคะ ถึงเหตุฉุกเฉินอาจผ่านไปแล้ว แต่ฉันว่าถ้ามีไว้ก็น่าจะดี ท่านช่วยฉันถ่ายเลือดได้ไหมคะ”

 

 

“ถ้าพูดถึงเรื่องนั้น เอาเลือดผมไปด้วยสิครับ”

 

 

“ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้จริงๆ ครับ ผมขอแค่คนเดียวก็พอแล้ว ยังไงก็ขอรบกวนด้วยนะครับ”

 

 

“แบบนี้ก็แปลว่าดีใจที่พวกเรากลับมากันใช่ไหมล่ะคะ”

 

“ไม่มีอะไรจะเถียงได้จริงๆ ครับ…”

 

 

ฟาร์มาเริ่มเอาเลือดของโรเจอร์ออกมา เนื่องจากเขาเป็นผู้ชายเลือดภายในร่างนั้นจะมีเยอะกว่า แน่นอนว่าเขาได้ผ่านการตรวจกรุ๊ปเลือดและความเข้ากันได้ของเลือดไปแล้ว เพราะแค่เลือดของฟาร์มาคงจะไม่พอจริงๆ นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้ถ่ายเลือดให้เอเลนเพิ่มด้วย

 

 

“คุณเจ้าของร้าน! คุณมาที่นี่ทำไมกันคะ!”

 

“แม้กระทั่งคุณเซเลสก็ด้วยเหรอ!”

 

 

เซเลสและลูกๆ ของเธอเดินเข้ามาที่ร้านขายยานี้เช่นกัน นั่นก็แปลว่าเภสัชกรพาร์ทไทม์ทั้งสามคนได้มารวมตัวกันครบแล้ว ทางโรเจอร์และรีเบคก้าก็มองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมาอย่างร่าเริง ในตอนแรกเซเลสไม่สามารถออกมาจากบ้านภายในป่าที่ถูกล้อมไว้ด้วยวิญญาณร้ายได้ ต่อมาพอจำนวนของมันเริ่มลดลง เธอก็ทำการเตรียมตัวเพื่อจะอพยพ แต่เธอก็นึกกังวลเกี่ยวกับร้านขายยาจึงตัดสินใจมาที่นี่ก่อน

 

 

“แปลว่าทุกคนจำหน้าที่ที่คุณเจ้าของร้านบอกได้หมดเลย ถึงมารวมตัวกันแบบนี้ แต่ครั้งหน้าก็หนีกันดีกว่า! ตายแบบไร้ค่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานี่เนอะ”

 

 

โรเจอร์พูดอะไรไร้สาระออกมา จนทำให้เซเลสที่ทำความสะอาดเลือดของเอเลนอยู่ ตำหนิโรเจอร์ รีเบคก้าก็กำลังจัดการกับเอกสารภายในร้านเพื่อเอาอพยพไปด้วย ทางฟาร์มาก็ใช้เลือดของโรเจอร์ในการถ่ายให้เอเลน พอถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าสหายที่รวมตัวกันแบบนี้ เขาก็รู้สึกอุ่นใจ

 

พอได้พลังใจกลับมา รีเบคก้าก็ตบมือและเปล่งเสียงอันสดใสออกมา

 

 

“เรามาทำการย้ายท่านเอเลนโอนอร์ไปที่ปลอดภัยกันดีไหมคะ เอกสารสำคัญของร้านก็เตรียมเสร็จหมดแล้ว”

 

 

พอได้ยินเสียงเช่นนั้นของรีเบคก้า ร่างกายของเอเลนก็ขยับไปมาเล็กน้อย

 

 

 

 

“หึ…หืม?”

 

“เอเลน!?”

 

 

ดูเหมือนว่าเธอจะได้สติกลับคืนมาแล้ว เนื่องจากมันไม่มีการใช้ยาสลบในขั้นตอนการรักษา สติของเธอจึงกลับมาได้เร็วเพราะเลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ตามปกติ เอเลนได้มองหน้าของเหล่าพนักงานร้านขายยาแต่ละคนที่กำลังจ้องมองมายังเยอะ แววตาของเธอเริ่มกลับมามีสีสัน แก้มของเธอก็เริ่มแดงจนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

 

 

 

“ฉัน…ฉันมีชีวิตอยู่…ไม่ว่าใช่ว่าฉันตายแล้วเหรอ?”

 

 

เอเลนค่อยๆ เปิดดวงตาสีฟ้าของเธอขึ้นราวกับไม่อยากเชื่อ ทางฟาร์มาก็วางมือของเขาไว้ที่มือของเอเลนเบาๆ เพื่อบอกว่านี่คือเรื่องจริง เธอยังมีชีวิตอยู่

 

 

 

 

“คุณยังมีชีวิตอยู่เอเลน ยินดีต้อนรับกลับนะ”

 

 

 

รีเบคก้าและโรเจอร์พร้อมกับเหล่าลูกๆ ของเซเลสก็มองเธออยู่ที่รอบๆ เตียง เซเลสและรีเบคก้าก็เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

 

 

 

“ท่านเอเลโอนอร์ ฉันขอโทษนะคะ”

 

“เจ็บหรือเปล่าคะ?”

 

 

“ไม่หรอก…ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว ขอบคุณพวกเธอมากนะ”

 

“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านของร้านค่ะ”

 

“…ขอบคุณนะ ฟาร์มาคุง”

 

 

ในที่สุดฟาร์มาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงของเอเลน ดูเหมือนเธอจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ หลังการรักษาโดยไม่ใช้ยาสลบ ส่วนเรื่องความเจ็บปวดจากบาดแผลเขาก็ได้ใช้การบล็อกเส้นประสาทไว้ด้วยยาชาเฉพาะที่ไปแล้วร่วมกับสารโอปิออยด์ เมื่อฟาร์มาโล่งใจแล้ว เขาก็มองเธอและยิ้มออกมา ทางเอเลนที่เห็นฟาร์มาเป็นแบบนั้นก็ทำหน้าสงสัย

 

 

 

 

“คือว่า..มีเรื่องหนึ่งที่ฉันสงสัย…ตอนนี้ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า”

 

“ทำไมเหรอ?”

 

 

“ฉันสามารถเห็นใบหน้าของทุกคนได้อย่างชัดเจน ถึงฉันจะไม่ได้สวมแว่นตาน่ะสิ”

 

 

“ฮ่าๆๆ ผมว่าแบบนั้นน่าจะเป็นเพราะภาพหลอนตอนใกล้ตายนะครับ”

 

 

“ได้โปรดพักก่อนเถอะค่ะ ท่านเอเลนโอนอร์”

 

 

 

โรเจอร์หัวเราะออกมา ในขณะที่รีเบคก้าดูกังวล อย่างที่โรเจอร์บอก สายตาสั้นของเอเลนมันเรียกว่าภาวะลูกตายาวกว่าปกติ เป็นภาวะที่สืบทอดมาจากโครงสร้างภายในพันธุกรรม ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาได้โดยบังเอิญ เขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้ว่าสายตาของเธอจะดีขึ้นเพราะเลือดที่เขาให้กับเธอ

 

 

(ไม่ว่ายังไงก็ไม่น่าเป็นไปได้)

 

 

แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะมีแางเหมือนกับดอกไม้สีซีดส่องประกายออกมาบริเวณข้อมือของเอเลน หากลองสังเกตให้ดีๆ ก็จะรู้ได้ไม่ยากว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของเทพโอสถเหมือนที่ไหล่ฟาร์มา

 

 

(เอ๋!?)

 

 

พอฟาร์มาม้วนแขนเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อตรวจสอบตราแห่งเทพโอสถ ก็พบว่าตราบริเวณไหล่ซ้ายของเขาหายไปบางส่วน แน่นอนว่าเขาใช้ดวงตาวินิจฉัยดูสภาพของเอเลนแล้วหลังผ่าตัด อาการของเธอยังคงที่

 

แต่พอเขามองไปยังบริเวณข้อมือของเธอด้วยดวงตาวินิจฉัย ก็พบว่ามีเส้นประสาทใหม่ปรากฏขึ้นภายใน

 

 

“เอเลน ลองทำนิ้วเป็นวงกลมแบบนี้ที่ตาดูหน่อย”

 

“ทำไมเหรอ?”

 

 

ฟาร์มาระงับความตื่นเต้นของตัวเองไว้ไม่อยู่ ก่อนจะทำมือเป็นวงกลมด้วยปลายนิ้วเข้าไปที่ตาของเอเลน แล้วเขาก็พบว่าดวงตาของเธอที่เขาเห็นผ่านวงกลมนั้มันเปลี่ยนไป

 

 

“ทำไมแขนของฟาร์มาคุง กับโรเจอร์คุงดูวิ้งวับแปลกๆ นะ”

 

“เหมือนจุดสีน้ำเงินใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

 

เอเลนทำหน้าแปลกๆ จนรู้สึกขนลุกที่ฟาร์มารู้ บริเวณดังกล่าวนั้นคือแผลที่เกิดจากการเจาะเลือดด้วยเข็ม และพอเขาลองเอานิ้วออกดูก็เธอก็บอกว่าแสงสว่างนั้นมันหายไป ถึงเขาจะรู้ว่าเอเลนกำลังผ่านการผ่าตัดมาแต่เขาก็อยากขอร้องบางอย่างต่ออยู่ดี

 

 

 

 

“ลองพูดว่า แผลที่เกิดจากการเจาะเลือด ดูสิ”

 

“แผลที่เกิดจากการเจาะ?”

 

“สีของแสงเปลี่ยนไปใช่ไหม”

 

 

“ก็ใช่หรอกมันกลายเป็นสีขาว ว่าแต่นี่ตาของฉันเป็นอะไรไปเนี่ย??”

 

“เดี๋ยวนะครับ ท่านเอเลโอนอร์ท่านเสียเลือดมากไปจนเห็นพญามัจจุราชเข้าเหรอครับ”

 

“ท่านเอเลโอนอร์คะ หลับพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันว่าสมองของท่านอาจจะกำลังได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอนะคะ”

 

“นั่นสิหัวของฉันต้องแปลกไปแล้วแน่ๆ”

 

เอเลนดูจะหวาดกลัวก่อนจะทำการหลับตาแน่น นี่มันเป็นความสามารถเหมือนกับดวงตาวินิจฉัยไม่มีผิด

 

ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่า เอเลนได้ความสามารถของเขาไปแต่ดวงตาของฟาร์มาก็ยังทำงานได้ตามปกติ ถึงแม้ว่าแสงที่มองเห็นได้จะจางลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นแยกความต่างไม่ได้

 

ถ้าคิดง่ายๆ ก็คือ ส่วนหนึ่งของความสามารถเทพโอสถจากฟาร์มาได้ถูกส่งต่อให้กับเอเลน เขารู้สึกสับสนว่ามันเป็นไปได้ยังไงกัน แต่อย่างน้อยเขาก็ดีใจที่เอเลนเป็นคนได้มันไป เพราะปัจจุบันเธอเป็นแพทย์โอสถที่ได้รับความไว้วางใจในด้านฝีมือและความรู้อย่างกว้างขวาง

 

เอเลนที่กำลังเอาผ้าห่มคลุมร่างตัวเองไว้ ก็สะบัดผ้าห่มออกราวกับนึกอะไรได้ด้วยความตกใจ

 

 

 

“นี่ ฟาร์มาคุง แม่ของนายน่ะ แย่แล้วนะ!!”

 

 

 

 

“เด็กพวกนั้นจะไปถึงเมืองแลมบลูได้โดยปลอดภัยไหมนะ…. “

 

 

เบียทริชตอนนี้กำลังเฝ้าคฤหาสน์ของตระกูลเดอ เมดิซิสอยู่เพียงลำพังสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งภายในสวนของคฤหาสน์ซึ่งควรจะว่างเปล่า เนื่องจากศาสตร์แห่งเทพที่เธอร่ายประสานกับเอเลนอย่าง “มหาเทพแห่งความคลุ้มคลั่ง” กำลังปกคลุมบริเวณโดยรอบอยู่ทั้งสายฝนและพายุพร้อมจะชำระล้างพวกวิญญาณร้าย ดังนั้นพวกธรรมดาไม่น่าจะฝ่าเข้ามาได้

 

จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกของประตู

 

 

เธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะถือคทาของตระกูลดันเฮาเซอร์ซึ่งประดับไว้ด้วยนกสามหัว เพื่อเตรียมต่อสู้

 

“ข้าขอสั่งในนามแห่งเทพวายุ….”

 

พอเธอจะทำการใช้งานศาสตร์แห่งเทพเพื่อสังหารศัตรู คนที่เธอคุ้นหน้าก็ปรากฏตัวออกมาจากหลังพุ่มไม้

 

 

 

 

“อ๊ะ นี่ผมเองครับ”

 

 

เบียทริชอยู่ในอาการกระวนกระวายก่อนจะหยุดการร่ายมนตร์เอาไว้

 

 

เขาคือเซดริกนั่นเอง

 

“ลูนัล?! ทำไมนายถึงกลับมาที่นี่กัน ฉันว่าฉันสั่งไม่ให้ข้ารับใช้ของตระกูลเดอ เมดิซิสอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้อีกแล้วนะ นายน่ะรีบหนีไปซะ!!”

 

“ครับ ท่านสั่งเช่นนั้น แต่ตอนนี้เจ้านายคนปัจจุบันของผมคือท่านฟาร์มาที่เป็นเจ้าของร้านขายยาต่างโลกครับ”

 

 

เซดริกหัวเราะออกมา ถึงเขาจะเป็นคนแบบนี้แต่เจตจำนงของเขาก็แข็งกร้าว

 

 

 

“ผมไม่หนีไปไหนหรอก เห็นนี่ไหมล่ะครับ”

 

 

เซดริกแสดงก้อนสีดำที่ไหม้เกรียมให้เบียทริชได้เห็น มันมีขนาดเท่ากับหนูที่ถูกแทงด้วยคทาแห่งเทพของเขา

 

“พวกวิญญาณร้ายที่สิงสู่สัตว์ขนาดเล็ก กำลังพยายามมุดดินเข้ามาภายในคฤหาสน์ครับ”

 

“หา…ทำไมฉันไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย”

 

“ก็เพราะว่าบาเรียของคุณนายอยู่บนพื้นดินไงล่ะครับ ผลของมันคงไม่ไปถึงข้างล่างผืนดินหรอกครับ ดังนั้นเดี๋ยวผมจะไปตรวจสอบคฤหาสน์และทำความสะอาดรอบๆ เอง”

 

 

เซดริกเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุดินซึ่งเชี่ยวชาญด้านการชำระล้างผืนดิน

 

 

“ผมรู้ดีครับว่าของภายในห้องสมุดต้องห้ามของตระกูลนั้นมันดึงดูดพวกวิญญาณร้ายเข้ามาขนาดไหน”

 

 

เซดริกพูดออกมาอย่างใจเย็น เพราะตัวเขาที่ได้รับความไว้วางใจจากบรูโนย่อมรู้ถึงตัวตนของมันและเคยอ่านตำราภายในห้องนั้นมาแล้วด้วย

 

 

 

“แถมหากมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณนาย ท่านฟาร์มาคงเสียใจแย่เลยครับ”

 

“ไม่เห็นต้องกังวลเลย ฉันน่ะมีพลังแห่งเทพเหลืออีกมากจนไม่รู้จะใช้ยังไงให้หมดเลย ก็ไม่ได้ใช้มานานแล้วนี่นะ”

 

 

เบียทริชดันหน้าอกของตัวเองขึ้นมาเหมือนโอ้อวดราวกับเด็กสาว ดูไปแล้วก็ตลกดี เซดริกจึงหัวเราะออกมาก่อนจะรีบตบมุกของเธอ

 

 

“ทั้งคุณท่านและคุณนายนี่เป็นคนมัธยัสถ์กระทั่งพลังแห่งเทพเลยนะครับเนี่ย”

 

“ขอโทษด้วยแล้วกันจ๊ะ”

 

เบียทริชก็ว่าตามน้ำเซดริกไป

 

ปริมาณพลังแห่งเทพที่ชนชั้นสูงจะใช้ได้ในหนึ่งวันนั้นมันมีขีดจำกัดของมันอยู่ซึ่งมันถูกกำหนดมาตั้งแต่ที่พวกเขาเกิดแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขากับศาสตร์แห่งเทพจึงเหมือนกระบวยและบ่อน้ำ

 

หากผู้ใดมีกระบวยขนาดใหญ่ก็จะสามารถตักเอาศาสตร์แห่งเทพจากบ่อน้ำมาใช้ได้มากโดยไม่ต้องกลัวขาด ยิ่งผู้ที่เก่งในการใช้งานมันอีกก็จะได้กลายเป็นชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ ที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นคนอย่างจักรพรรดินี บรูโน เอเลนและปาลเล่

 

ส่วนผู้ที่มีกระบวยใบเล็กและบ่อน้ำไม่ใหญ่นักก็จะเลือกฝึกฝนศาสตร์เฉพาะทางของตน โดยไม่พึ่งมนตร์บทใหญ่ๆ มากนัก แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนั้นกันซะหมดไม่ว่าจะชนชั้นสูงระดับกลางเอย ข้าราชการชั้นผู้น้อยเอย

 

ส่วนผู้ที่มีกระบวยใบเล็กแต่บ่อน้ำมีขนาดใหญ่ก็จะเสียชีวิตไปจากพลังแห่งเทพที่สะสมมากจนเกินไป

 

ส่วนทางเบียทริชนั้นเป็นคนที่มีกระบวยขนาดใหญ่มาก แต่บ่อน้ำของเธอกลับมีขนาดเล็ก

 

 

“หากพลังแห่งเทพของฉันไม่หมด ฉันก็ไม่แพ้หรอกน่า”

 

 

“นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมกลับมาไงครับ เพื่อจะไม่ให้คุณนายพลังหมดไปเสียก่อน”

 

 

เนื่องจากพลังแห่งเทพของเธอนั้นไม่ได้มีมากมาแต่กำเนิด เธอจึงไม่สามารถฝึกฝนศาสตร์แห่งเทพได้ทุกวันเหมือนกับชนชั้นสูงทั่วไป แต่ในทางกลับกันเธอสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังแห่งเทพเป็นจำนวนมากเพื่อการเตรียมการ เธอจึงมั่นใจว่าหากเป็นเรื่องนี้เธอไม่มีทางแพ้ใคร

 

 

“เดี๋ยวก่อน…นายได้ยินเสียงอะไรไหม??”

 

 

เบียทริชและเซดริกหยุดการเคลื่อนไหวก่อนจะมองลงไปที่เท้าของพวกเขา

 

 

หลังจากนั้นไม่นานพื้นดินก็เริ่มเกิดรอยร้าว

 

 

“ผมรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะโผล่ตรงส่วนกลางของคฤหาสน์ครับ”

 

“งั้นก็รีบไปกันเถอะ เซดริก!”

 

 

 

 

 

 

ฟาร์มาขี่คทาแห่งโอสถเทพกลับไปยังคฤหาสน์ของเขาเพียงลำพังเพื่อช่วยเหลือเบียทริช ส่วนทางเอเลนเขาได้ฝากเธอไว้กับเซเลสและขึ้นรถม้าพร้อมกับสัมภาระที่สำคัญเพื่อเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว

 

 

“นั่นมันอะไรกัน?”

 

 

สิ่งที่ฟาร์มาเห็นเมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ก็คือ สิ่งที่เหมือนกับต้นไม้ซึ่งกำลังพังทลายลงมาจากภายในคฤหาสน์ มันมีขนาดใหญ่จนสูงกว่าคฤหาสน์ไปแล้ว

 

 

 

“ท่านแม่ อยู่ที่ไหนกันนะ…”

 

 

ฟาร์มาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ เขาจึงใช้ดวงตาของเขาค้นหาเบียทริชและก็พบว่าเธอกำลังถูกโอบอยู่ภายในร่างของต้นไม้ขนาดใหญ่นั้น เขาจึงพยายามจะช่วยเธอออกมา

 

 

“”สายลมกระชากแห่งเทพวายุคลั่ง! “”

 

 

ถึงท่อนล่างของเธอกำลังถูกกิ่งไม้จับเอาไว้อยู่ เบียทริชก็ยังคงปลดปล่อยพลังออกมาโดยไม่สะทกสะท้าน กิ่งไม้ที่กำลังจะกลืนกินเธอได้สลายไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่พวกมันก็งอกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่สนใจความเสียหายที่เกิดขึ้น

 

ทางด้านพื้นของคฤหาสน์ก็มีเซดริกที่กำลังพยายามทำลายรากยักษ์ของมันที่แพร่กระจายออกไปทั่ว

 

ฟาร์มาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างถึงจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นี้ดีนัก

 

 

 

 

“อาณาเขตชำระล้างโรคระบาด!”

 

 

ฟาร์มามอบพลังให้กับคทาแห่งเทพโอสถและทำการแผดเผาต้นไม้นั้นจากบนท้องฟ้า สิ่งใดก็ตามที่ถูกพลังแห่งเทพของฟาร์มาสัมผัสเข้า มันจะสลายไปกลายเป็นอนุภาคแสง ซึ่งมันลงลึกไปถึงรากของต้นไม้นี้เลยทีเดียว

 

ฟาร์มารีบเข้าไปรับเบียทริชที่ลอยอยู่ในอากาศ ถึงพลังแห่งเทพของเธอจะหมดไปแล้ว แต่พลังใจของเธอยังคงเหลือ เธอไม่ได้รับบาดแผลร้ายแรงอะไรจนถึงขั้นจะเสียชีวิตได้ด้วย

 

 

 

“ท่านแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ”

 

 

“นี่มันคืออาวุธต้องคำสาป “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” ดูเ

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset