ถนนอวิ้นจงสายเก่าเป็นหนึ่งในถนนที่ครั้งอดีตเคยใช้สัญจรไปมาภายในอาณาจักร มันเชื่อมตรงจากเมืองหลันเยี่ยนไปเมืองหยาดสายัณห์ มีจุดพักระหว่างทางมากกว่าร้อยแห่ง กล่าวกันว่าถนนสายนี้มีอายุกว่าหมื่นปี ซึ่งเก่าแก่ยิ่งกว่าอาณาจักรนี้เสียอีก
ท่ามกลางราตรีมืดมิดไม่มีแสงใดปรากฏ ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังควบม้าไปตามถนนเก่าแก่เพียงลำพัง
หลินมู่อวี่ลูบจมูกม้าไปพลางด้วยความสงสาร ม้าแก่ตัวนี้คงอายุเท่ากันกับเขากระมัง? ทั้งที่แทบจะไม่มีแรงเหลือแล้วแต่ยังต้องมาวิ่งเช่นนี้
หลินมู่อวี่เปลี่ยนมาเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความสงสัย “ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆหนาจะเป็นฝนหรือหิมะตกกันแน่?”
ฉินอินใช้เข็มกลัดยึดเสื้อคลุมไว้บริเวณอกพลางเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ การที่เราออกมาข้างนอกเช่นนี้ ข้าคิดว่าเราควรมีชื่อใหม่เจ้าค่ะ”
“จริงสิ เจ้าอยากชื่อว่าอะไร?”
“ข้าคิดไม่ออก…หรือจะใช้แซ่ท่านพี่ดี? ข้าชื่อว่าหลินอิน ส่วนท่านพี่ชื่อหลินอวี่ตกลงหรือไม่เจ้าคะ?”
“หลินอวี่รึ?”
หลินมู่อวี่หัวเราะ “ดูเหมือนฝนจะตกหนัก เป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย…”
เมื่อพูดจบหยาดฝนก็หยดลงปลายจมูกทันที บรรยากาศโดยรอบเริ่มเย็นขึ้นทันตา หลินมู่อวี่สะบัดบังเหียนเร่งควบม้าพลันเอ่ยขึ้น “ฝนใกล้จะตกแล้ว เราเร่งไปจากตรงนี้ดีกว่าเสี่ยวอิน ข้างหน้าคงมีเมืองเล็กๆ ให้เราแวะได้”
“เจ้าค่ะ!”
ไม่นานนักสายฝนยามเหมันต์ก็เริ่มโปรยปราย ท่ามกลางความมืดมิดปรากฏแสงริบหรี่ด้านหน้า มีเมืองอยู่ตรงนั้น!
เมื่อลงจากม้าหลินมู่อวี่นำร่มกระดาษเคลือบโทรมๆ ออกมากาง ก่อนจะพบว่ามันมีรูรั่ว หลินมู่อวี่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ฉินจิ้นช่างเป็นจักรพรรดิที่รักลูกเสียจริงเชียว! หากคิดจะเตรียมร่มผุพังเช่นนี้มาให้ไม่เตรียมเสียยังจะดีกว่า…
ถึงกระนั้นหลินมู่อวี่ก็ยังยื่นร่มไปบังให้ฉินอิน นางเงยหน้ามองเขาด้วยก่อนจะยิ้มหวานพลางเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าใช้เสื้อคลุมบังฝนเอาก็ได้…”
“แต่เสื้อคลุมเจ้าทำจากผ้า มันจะบังฝนได้อย่างไรเล่า”
“จริงสิ…” ฉินอินแลบลิ้นออกมาด้วยความเขินอายขัดกับเสื้อคลุมเจ้าหญิงผู้สูงส่งที่สวมอยู่
ทั้งสองจูงม้าตรงไปยังแสงไฟเบื้องหน้ากระทั่งมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง จากจุดที่หลินมู่อวี่และฉินอินอยู่มองเห็นโรงเตี๊ยมและภัตตาคารอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มีทั้งคนขายของ ผู้ฝึกยุทธ์ และทหารรับจ้างมากมายบนถนนอวิ้นจงสายเก่านี้ แม้จะเป็นเมืองเล็กทว่าเศรษฐกิจค่อนข้างคึกคักไม่น้อย หลินมู่อวี่ยืนตากฝนมองไปรอบเมืองที่ไม่รู้จัก
ในเมืองเล็กคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทว่าหลินมู่อวี่และฉินอินไม่ได้แตกต่างจากคนที่เดินผ่านไปมาเลย นั่นคงเป็นเพราะเสื้อคลุมเก่าที่พวกเขาสวมอยู่
อย่างแรกที่ทั่งคู่ทำคือเดินหาสถานที่ทานอาหารและพักผ่อน ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็สังเกตเห็นโรงเตี๊ยมสองแห่งที่มีป้ายใหญ่เขียนข้อความสะดุดตาเอาไว้ “ซุ้มประตูภูเขาเหล็กหม้อต้มวัว…ประโยคอะไรอ่านไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย”
“ประโยคใดหรือ?” ฉินอินเอ่ยปากถามพลางจับมือหลินมู่อวี่ “เจ้าอ่านมันกลับหลังหรือ?”
หลินมู่อวี่มองฉินอินอย่างไม่เข้าใจก่อนจะบ่นพึมพำ “คนปกติที่ไหนเขาจะเขียนให้อ่านกลับหลังกัน…เจ้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนข้านั่นแหละ”
ฉินอินกลั้นหัวเราะก่อนเปลี่ยนเรื่อง “คืนนี้เราจะนอนที่ไหนกันเจ้าคะท่านพี่?”
“ภัตตาคารเนื้อกระทะเหล็กดีหรือไม่? กินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยหาที่พัก”
“ไม่…” ฉินอินมองหน้าหลินมู่อวี่ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ท่านคิดว่าด้วยสภาพชุดกับอาชีพของเราตอนนี้เหมาะจะกินเนื้อหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าพูดถูก…”
หลินมู่อวี่ชี้ไปด้านหน้า “เช่นนั้นลองไปโรงเตี๊ยมเล็กๆ หลังนั้นกันดีหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” ฉินอินพยักหน้ายิ้ม
…
ภายในโรงเตี๊ยมเล็กเต็มไปด้วยผู้คน กิจการคงรุ่งเรืองอย่างมาก ด้านหน้าประตูมีหัวของมังกรนภาแขวนอยู่ดูน่าขนลุก ใต้หัวมังกรมีป้ายเขียนชื่อโรงเตี๊ยมเอาไว้ “โรงเตี๊ยมมังกรนภา” ไม่นานก็มีพนักงานบริการเดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายทั้งคู่ “พวกท่านทั้งสองต้องการทานอาหารหรือจองห้องพักดีขอรับ?”
“เราต้องการทั้งอาหารและที่พัก” หลินมู่อวี่ถามต่อ “หนึ่งคืนราคาเท่าไร?”
พนักงานบริการเข้ามารับบังเหียนม้าของทั้งคู่ไว้ก่อนจะกล่าว “พวกท่านเป็นคู่รักกันใช่หรือไม่? ห้องคู่รักชั้นหนึ่งราคาเพียงสิบเหรียญเงินเท่านั้นขอรับ”
หลินมู่อวี่อยากตอบตามตรงทว่ากลัวฉินอินจะรับไม่ได้ ทว่าฉินอินกลับเลิกเสื้อคลุมขึ้นจนรอยเผยกระบนใบหน้าพลางกล่าว “แล้วห้องชั้นสองราคาเท่าไรหรือ?”
“สามเหรียญเงิน”
“เช่นนั้นเราขอห้องชั้นสอง”
“รับทราบ ก่อนอื่นเชิญเข้ามาด้านในก่อนขอรับ ข้าจะไปเตรียมห้องและให้อาหารม้าพวกท่านเอง”
“ขอบใจมาก”
เมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ได้กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่ว โถงใหญ่ที่มีอยู่สิบโต๊ะเต็มไปด้วยลูกค้าล้นหลามจนแทบจะมีคนทุกประเภท ตั้งแต่ทหารรับจ้างที่ถือขวานยักษ์ไปจนถึงบัณฑิตร่างบาง รวมไปถึงพวกพ่อค้าที่คิดแต่จะหากำไรในธุรกิจของตน
หลินมู่อวี่จูงมือฉินอินไปนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องโถง เขาถามฉินอินก่อนจะเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร “เสี่ยวอิน เจ้าอยากกินอะไร?”
ฉินอินยิ้มและกล่าวอย่าสง่างาม “ทานอะไรง่ายๆ กันเถิดเจ้าค่ะ….เราไม่ได้มีเหรียญเงินมากนัก พนักงาน…ข้าขอขนมปังสองชิ้นและซุปธรรมดาหนึ่งชามได้หรือไม่?”
“รับทราบ รอสักประเดี๋ยวนะขอรับ!”
พนักงานพยักหน้ารับก่อนจะหายไปครู่หนึ่งและกลับมาพร้อมกับอาหารค่ำของทั้งคู่ เมื่อได้รับอาหาร…หลินมู่อวี่ที่ผ่านการใช้ชีวิตอย่างขมขื่นในค่ายทหารยังต้องตะลึง ขนมปังก้อนแข็งเหมือนเหล็กจนเขาแทบอยากเอากระบี่วิญญาณมังกรมาหั่น เช่นเดียวกับซุปเย็นชืดเบื้องหน้า ไม่แปลกใจเลยที่สองอย่างนี้จะมีราคาแค่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้น
ฉินอินเห็นท่าทีของหลินมู่อวี่ก็อดยิ้มไม่ได้ นางจุ่มขนมปังลงในชามซุปพลางเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ลองกินแบบนี้สิเจ้าคะ…”
“จะกินได้จริงหรือ?” หลินมู่อวี่มองหน้าฉินอินพลางยิ้มเจื่อน
ฉินอินอ้าปากเล็กๆ ของนางกัดขอบขนมปังก่อนจะชะงักไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าขนมปังธรรมดาจะแข็งได้ถึงเพียงนี้ นางจุ่มขนมปังกลับลงไปที่เดิมพลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเขินอาย “ ดูเหมือนจะต้องแช่นานกว่านี้อีกหน่อย…”
หลินมู่อวี่หัวเราะ
ด้วยสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้คงหาของอุ่นๆ กินได้ยาก อีกทั้งยังทำอะไรมากไม่ได้เพราะเกรงจะถูกรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงเข้า
กระทั่งมื้อเย็นอันรันทดได้ผ่านพ้นไป พนักงานคนหนึ่งพลันปรบมือและกล่าวบางอย่าง “แด่สหายนักเดินทางแห่งถนนอว้นจงสายเก่าทั้งหลาย ต่อไปจะเป็นการแสดงพิเศษที่ทางโรงเตี๊ยมของเราจัดเตรียมไว้ “ความงามชั้นเลิศ” จากฝั่งตะวันตก เหล่าแม่นางทั้งหลายจะมาสีกู่ฉินให้พวกท่านได้รับฟัง เชิญสัมผัสความงามของพวกนางได้เลยขอรับ…”
ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของผู้ชม หญิงสาวห้านางในชุดผ้าบางออกมายังเวทีการแสดงกลางโถงใหญ่พร้อมกับกู่ฉิน เมื่อทำการทักทายอย่างสวยงามแล้ว พวกนางก็เริ่มบรรเลงเครื่องสายและร้องเพลงที่หลินมู่อวี่ไม่รู้จัก แม้จะไม่เข้าใจเนื้อเพลงทว่าท่วงทำนองของมันนั้นกลับไพเราะอย่างยิ่ง ฉินอินนั่งข้างหลินมู่อวี่เผยรอยยิ้มแห่งความสุขขณะเพลิดเพลินไปกับการแสดงตรงหน้า
กระทั่งบรรเลงจนจบเพลง พนักงานคนเดิมได้กลับมาอีกครั้ง “สหายทุกท่านคงได้เห็นถึงความงดงามแห่งโรงเตี๊ยมมังกรนภากันแล้ว ท่ามกลางฤดูหนาวแสนเปล่าเปลี่ยวนี้ คงไม่มีผู้กล้าคนใดอยากหลับนอนลำพังกับหมอนใบเดียว ดังนั้น…ห้าสาวชาวตะวันตกด้านหน้าของพวกท่านยินดียิ่งที่จะเข้าไปเติมเต็มความว่างเปล่านั้น ทว่าอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงสักหน่อย และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มจากแม่นางคนนี้กันดีหรือไม่?”
ทหารรับจ้างที่เมามายหัวเราะลั่นพลางยกขวานขึ้น “ห้าคน! ข้าอยากได้ทั้งห้าคน! ข้าจะจ่ายห้าเหรียญทองห้ามใครต่อรอง! ผู้ใดกล้าขัดขวางข้าจะสับมันให้แหลก!”
พนักงานตกตะลึงก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มและเอ่ยขึ้น “นายท่าน หญิงงามในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีไม่มากจึงจำกัดให้ได้หนึ่งท่านต่อหนึ่งนางเท่านั้น! อีกทั้งหนึ่งเหรียญทองต่อคน…ไม่ถูกไปหน่อยหรือ?”
“ช่างหัวเจ้า พวกมันทั้งห้าคนต้องเป็นของข้า!”
ทหารรับจ้างร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมกับเหวี่ยงขวานยักษ์ไปมา ทว่าทันใดนั้นแววตาของพนักงานบริการก็เปลี่ยนไป เข้าตรงเข้าไปหาทหารนายนั้นก่อนจะรวบรวมพลังปราณและจับจุดบริเวณข้อมือเหวี่ยงออกไปด้านนอกทันที! พนักงานยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “นายท่านผู้นี้เมามากแล้ว คงต้องพักผ่อนสักหน่อย!”
เพียงฝ่ามือเดียวชายร่างยักษ์ก็ถูกโยนออกไปกองกับโคลนด้านนอกพร้อมกับเสียงโอดโอย
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับยอดฝีมือในโรงเตี๊ยมซอมซ่อเช่นนี้ พนักงานคนเมื่อครู่มีพลังยุทธ์อยู่ระดับปฐพีขั้นสอง!
“เชิญทุกท่านรับประทานอาหารและสังสรรค์กันต่อได้ขอรับ! ฮ่าๆๆ และส่วนใครที่ยังต้องการสาวงามจากตะวันตกเชิญเลือกได้เลย!” พนักงานหนุ่มโค้งคำนับแก่ลูกค้าด้วยรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี
ไม่นานนัก เมื่อสาวงามทั้งห้าถูกเลือกไปจนหมด โถงใหญ่ก็ตกสู่ความเงียบอีกครา ดูเหมือนโรงเตี๊ยมคงไม่ได้เตรียมการแสดงอะไรเอาไว้อีก
ฉินอินยืนขึ้นก่อนจะกล่าวกับพนักงานบริการ “ข้ากับท่านพี่เป็นนักแสดงที่เดินทางไปทั่วอาณาจักร…จะว่ากระไรหรือไม่หากพวกข้าอยากแดงให้ทุกคนได้รับชมสักบทเพลง?”
พนักงานมองฉินอินอย่างตกตะลึง แม้ใบหน้าของนางจะมีเครื่องหน้าแต่งแต้มอยู่ ก็ไม่สามารถปิดบังความงามข้างใต้นั้นได้ เขาจึงพยักหน้า “เชิญเลยแม่หญิง”
“ขอบพระคุณมาก”
ฉินอินมองมายังหลินมู่อวี่ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นพลางหัวเราะเบาๆ “ถึงเวลาหาเงินแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่อย่าขี้เกียจเชียว เสี่ยวอินจะเล่นกู่ฉินให้ท่านพี่รำดาบนะเจ้าคะ…”
“ก็ได้…”
หลินมู่อวี่พยุงร่างตัวเองไปยังเวทีแสดงพร้อมกับฉินอินก่อนจะชักดาบสนิมเขรอะออกมา ทั้งคู่โค้งคำนับต่อหน้าผู้ชมและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าและน้องสาวเป็นนักแสดงที่ท่องไปทั่วอาณาจักรเพื่อตามหาฝัน เพลานี้เราอยากขอนำเสนอบทเพลงจากกู่ฉินและการรำดาบให้ทุกท่านได้รับชม หากพวกท่านพึงพอใจสามารถโยนเหรียญให้เราได้ หรือหากท่านไม่ชอบก็เชิญหัวเราะได้ตามสบายเลยขอรับ”
สายตาทุกคู่ในห้องโถงต่างจดจ้องไปยังฉินอินผู้เลอโฉม ใครจะสนชายหนุ่มผู้หล่อเหลากัน!
ฉินอินนั่งลงอย่างสง่างาม รัศมีความสูงส่งของเจ้าหญิงนี้ไม่สิ่งที่จะหาได้จากหญิงสาวทั่วไป นางคว้ากู่ฉินที่สะพายอยู่มาวงไว้บนตัก เพียงแค่ดีดแรก…เสียงทำนองอันนุ่มนวลก็อบอวลไปทั่วโรงเตี๊ยม มันไพเราะและลื่นไหลคล้ายกับจะสื่อบางสิ่งที่อยู่ในใจหญิงสาวผู้นี้
แม้กระทั่งหลินมู่อวี่ยังตกตะลึง ก่อนจะตั้งสติแล้วร่ายรำดาบสังหารไปพร้อมกับเสียงบรรเลง…ซึ่งทำให้เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หลินมู่อวี่วาดคมดาบไปตามท่วงทำนองที่ได้ยินอย่างช่วยไม่ได้ ทุกกระบวนท่าร่ายรำนั้นไม่ต่างจากทักษะรำกระบี่สายลมจักรวรรดิ
………………………