ชุนหว่านเอ่ยถามอย่างฉงน “คุณหนูรอง ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“เปล่าๆ” ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวอยู่นั้น หน้าผากก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมา “ใครมาหรือ”
เมื่อครู่ท่านน้าฉือยังบอกว่าต่อไปไม่ให้นางไปที่เรือนหานปี้ซานอีก
“เฝ่ยชุ่ยเจ้าค่ะ” นัยน์ตาของชุนหว่านฉายความงุนงงเล็กน้อย พลางกล่าว “บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านไปหารือเรื่องของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
เช่นนั้นแม้แต่การจะซักไซ้ถามว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงเรียกนางไปก็ทำไม่ได้แล้ว!
โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ยิ่ง
ทางด้านของเฝ่ยชุ่ยกลับเร่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังรอคุณหนูรองอยู่เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือก ทำใจดีเข้าสู้แล้วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ให้ชุนหว่านไปเตรียมเกี้ยว
พอโจวชูจิ่นทราบว่านางกำลังจะออกไปก็ส่งคนมาสอบถาม กล่าวว่า “เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าท่านน้าฉือมาหาแล้วหรอกหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงเชิญเจ้าไปอีกหรือ”
โจวเสาจิ่นตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ คงได้แต่ต้องรอให้ข้ากลับมาแล้วค่อยคุยกันอีกที”
ทว่าในใจของนางกลับไม่มั่นใจและว้าวุ่นยิ่ง ยังดีที่โจวชูจิ่นไม่ได้ซักถามมากนัก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่อยู่ในห้องหนังสือกลับส่งคนมาแจ้งว่า “ประเดี๋ยวข้าก็จะกลับจวนแล้วเช่นกัน เจ้ารอข้าสักครู่ พวกเราค่อยกลับซอยจิ่วหรูไปด้วยกัน”
ตอนนี้ดวงตาของนางยังบวมเป่งอยู่ จะไปพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นให้ปี้เถาไปตอบฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เฝ่ยชุ่ยยังรออยู่ที่ประตูห้องโถงเจ้าค่ะ”
โชดดีที่ยามปกตินางทำตัวน่ารักเชื่อฟัง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เพียงให้นางระวังตัวตอนเดินทาง หลายวันมานี้ผู้คนมากมายเดินทางออกนอกเมืองไปชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิ ถนนหนทางคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถม้า อย่าไปชนกับผู้อื่น
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขึ้นเกี้ยวที่โรงเกี้ยว แล้วไปเรือนหานปี้ซาน
ทว่าครั้นลงจากเกี้ยวที่เรือนหานปี้ซาน เฝ่ยชุ่ยกลับพานางเดินอ้อมเรือนหลักมุ่งไปเรือนหลีอิน
โจวเสาจิ่นพรั่นกลัวจนดวงหน้าเผือดสี ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับ พลางกล่าว “ข้าจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแล้วค่อยไปพบท่านหน้าฉือ”
เดิมทีเฝ่ยชุ่ยไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยคำใด แต่ใครจะรู้ว่าซางมามากลับสาดสายตาดั่งศรมา
นางได้แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากับนายท่านสี่อยู่ในเรือนหลีอินเจ้าค่ะ!”
ส่วนทางด้านของซางมามาก็รออยู่ด้วยรอยยิ้ม
โจวเสาจิ่นจึงได้แต่ตามเฝ่ยชุ่ยไปที่เรือนหลีอิน
แต่พอนางก้าวเข้าเรือนหลีอินก็พบว่าตนถูกหลอกเข้าให้แล้ว
ภายในเรือนหลีอินเงียบสงัดไม่เห็นผู้ใดแม้แต่คนเดียว ไม่ได้ยินเสียงใดแม้แต่น้อย
ชั่วขณะนั้นนางหมุนกายหมายจะเดินออกไป “ข้า…ข้าจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า”
เฝ่ยชุยอยากจะหลบไปข้างๆ แต่ใครจะรู้ว่าซางมามากลับผลักนางทีหนึ่ง และด้วยหนึ่งท่านี้นางถูกผลักไปถึงเบื้องหน้าของโจวเสาจิ่นราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ ทำให้คนอื่นเห็นแล้วเสมือนนางรีบก้าวมาขวางโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ซางมามาผู้นั้นยังตบไหล่นางทีหนึ่ง จู่ๆ ร่างกายของนางก็ชาไปทั้งตัวในทันใด เจ็บปวดจนพูดไม่ออกนานพักใหญ่ ซางมามายังจงใจกล่าวว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ เฝ่ยชุ่ยก็เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ท่านไปพบนายท่านสี่ก่อนแล้วค่อยไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าดีกว่า เฝ่ยชุ่ยจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ นอกจากนี้เรือนหลีอินที่นายท่านสี่พำนักอยู่กับเรือนหลักที่ฮูหยินผู้เฒ่าพำนักอยู่เพียงกั้นไว้ด้วยกำแพงดอกไม้เท่านั้น หากว่าทางนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทางนั้นก็ได้ยินเช่นกัน นายท่านสี่เองก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้จักขอบเขตเช่นนั้น…”
โจวเสาจิ่นเคลือบแคลงใจยิ่ง
เกรงว่านางยังไม่ทันส่งเสียงร้องอะไรก็ถูกท่านน้าฉือปิดปากไว้เสียก่อนมากกว่า
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงมั่นใจเช่นนี้ คิดว่าเฉิงฉือจะต้องมีความสามารถเช่นนี้อยู่เป็นแน่
ซางมามาเห็นนางไม่ขยับเขยื้อน จึงไม่กล้าใช้แรงบังคับอีก กล่าวอย่างปราดเปรื่องว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีเหตุผล เหตุใดท่านไม่ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนายท่านสี่ให้กระจ่างเล่า ท่านลองคิดดู นายท่านสี่เคยทำร้ายผู้อื่นเมื่อใดกัน อีกทั้งข้าเคยทำโทษผู้อื่นเมื่อใดกันเจ้าคะ…”
โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนางเห็นสีหน้าของนางผ่อนคลายลงอย่างกะทันหันราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปขณะที่กำลังพูดอยู่
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกสังหรณ์ใจ หันหน้ากลับไปมอง ไม่รู้ว่าเฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ชายคาประตูใหญ่เรือนหลีอินตั้งแต่เมื่อไร
เขายืนตัวตรง ประหนึ่งต้นสนที่สูงตระหง่าน ดวงหน้าซ่อนอยู่ใต้เงาชายคาเรือนมองไม่ออกว่าอารมณ์ดีหรือโกรธขึ้ง
โจวเสาจิ่นรู้สึกอับอายยิ่งนัก
ท่านน้าฉือต้องคิดว่านางโง่งม คนอื่นพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็หลอกล่อนางมาถึงที่นี่ได้แล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของนางรู้สึกประหนึ่งมีศิลาก้อนใหญ่ร่วงลงบนพื้นดินก็ไม่ปาน
เพียงแต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมาใคร่ครวญอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอย่างละเอียด ดวงหน้าของนางร้อนผะผ่าว ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรออกไปดี
“เจ้าตามข้ามา!” เฉิงฉือกล่าวอย่างเยียบเย็น หมุนกายเดินเข้าเรือนหลีอิน
เฝ่ยชุ่ยกับซางมามารีบหลบไปยืนข้างๆ
ขาของโจวเสาจิ่นหนักอึ้งราวกับมีน้ำหนักหนึ่งพันจิน จนกระทั่งซางมามาเรียกนางเบาๆ สองครั้งว่า “คุณหนูรองๆ” นางถึงได้เดินเข้าห้องหนังสือของเรือนหลีอินไปอย่างเนือยๆ
ประตูห้องหนังสือถูกปิดดัง ปัง ไล่หลังนางไป
โจวเสาจิ่นตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้มไปชั่วขณะ
ในใจกระหวัดนึกถึงถ้อยคำที่เฉิงฉือกล่าวไว้ยามไปถนนผิงเฉียวครั้งแรกอย่างอธิบายไม่ได้
โจวเสาจิ่นอดวิพากษ์อยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่ว่า มิใช่ว่าท่านกล่าวว่ายืนคุยกันที่ลานบ้านหากมีคนดักฟังก็มองเห็นได้ชัดหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงไม่กลัวคนได้ยินเล่า ถึงกับปิดประตูห้องหนังสือเสียสนิททุกบาน…
ตอนที่โจวเสาจิ่นก้าวเข้าเรือนหลีอินนั้นเฉิงฉือเห็นดวงตาของนางยังบวมแดงอยู่หลายส่วนผ่านกระจกหน้าต่าง ตอนนี้มาเห็นสีหน้าหวาดกลัวของนางราวกับกระต่ายน้อยที่ตกหลุมพรางอีก โทสะในใจพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
นี่เขากำลังช่วยเหลือนางอยู่ นางจะกลัวไปทำไม
เขาจะเขมือบนางหรืออย่างไร
ทว่าทันทีที่ความคิดนี้วาบผ่าน เขาก็พรูลมหายใจยาวออกมาในทันใด เตือนตัวเองว่า การปกครองบ้านเมืองยังเปรียบเสมือนกับการทำอาหาร[1] ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องในครัวเรือนที่อธิบายไม่ได้อย่างแน่ชัดเหล่านี้ เขาจึงต้องควบคุมอารมณ์ อดทนอดกลั้นสักหน่อย และอย่าโกรธเกรี้ยวเป็นอันขาด
“เสาจิ่น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว แล้วนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นข้างหน้าต่างในห้องหนังสือ ดวงหน้าที่สง่างามสมส่วนและอบอุ่นสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของโจวเสาจิ่น “พวกเราไม่ได้เล่นหมากล้อมด้วยกันมาพักหนึ่งแล้ว เจ้ามาเล่นหมากล้อมกับข้าสักกระดานดีหรือไม่”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความหวาดระแวงพลางถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเล็กๆ
นางรู้สึกว่าท่านน้าฉือในตอนนี้ราวกับนายพรานที่จับสัตว์ตัวน้อยตัวหนึ่ง ส่วนนางก็เป็นสัตว์ตัวน้อยตัวนั้นที่ถูกจับ การเล่นหมากที่ท่านน้าฉือกล่าวถึงก็เหมือนกับอาหารที่นายพรานใช้หลอกล่อเหยื่อ ที่กำลังรอจังหวะที่เหมาะสมในการลงดาบเหยื่อก็เท่านั้น
แทนที่จะทนทรมานทั้งๆ ที่รู้ผลลัพธ์อย่างกระจ่างแจ้งอยู่แล้วเช่นนี้ ไม่สู้มอบดาบให้นางมาตรงๆ เสียยังจะดีกว่า
“ข้า…ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ท่านน้าฉือ ท่าน…ท่านก็ทราบดีอยู่แล้วนี่เจ้าคะ!”
นี่ถือว่าเด็กผู้นี้ยังรู้จักประมาณตนอยู่!
เฉิงฉือวิพากษ์อยู่ในใจ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับอบอุ่นยิ่งขึ้น พลางกล่าว “เมื่อก่อนเจ้ามั่นใจมากมิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ถึงได้ถ่อมตนเช่นนี้เล่า”
นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าตนเองจะถูกจับได้เร็วเพียงนี้อย่างไรเล่า!
โจวเสาจิ่นหลุบตาลง
ขนตาที่งอนยาวทิ้งเงาเอาไว้สายหนึ่งราวกับพัดเล็กๆ เล่มหนึ่ง
มือของนางบิดเข้าหากันจนแน่น
เฉิงฉือลอบผ่อนลมหายใจ
บางครั้งพฤติกรรมนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน
อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้ว่านางกำลังประหม่าเป็นอย่างยิ่ง นางเฉลียวฉลาดกว่าที่ตนคาดไว้มากนัก
ครั้งนี้ ในน้ำเสียงอันนุ่มนวลของเฉิงฉือแฝงด้วยความจริงใจ “เสาจิ่น มานั่งตรงนี้กับข้า!”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา สายตาอึ้งงันระคนสับสน
เฉิงฉือใจกระตุก พลันค้นพบในทันทีว่า โจวเสาจิ่นฉลาดหลักแหลมยิ่งกว่าที่ตนคาดไว้
อย่างน้อยนางก็แยกแยะออกว่าเมื่อใดที่เขาจริงใจ และเมื่อใดที่เขาเสแสร้งแกล้งทำ
น้ำเสียงของเขาจึงนุ่มนวลและจริงใจยิ่งขึ้น เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เสาจิ่น มานั่งตรงนี้กับข้า”
แววตาที่อึ้งงันและสับสนของโจวเสาจิ่นค่อยๆ สลายไป นางคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็นั่งลงข้างเฉิงฉืออย่างเชื่อฟัง
เฉิงฉือไม่เอ่ยถามนางในทันที แต่ชงชาให้นางจอกหนึ่งด้วยตนเอง
โจวเสาจิ่นยกจอกน้ำชาด้วยปลายนิ้วที่ขาวหมดจด พลางพึมพำเอ่ยขอบคุณ
เฉิงฉือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถามนางด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “เสาจิ่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาหาเพื่ออันใด”
โจวเสาจิ่นนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นนานพักหนึ่งแล้วจึงพยักหน้าเบาๆ
เฉิงฉือกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าลองบอกข้ามาว่า ข้าเรียกเจ้ามาเพื่ออันใด”
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง มองจอกน้ำชาในมือโดยไม่เอ่ยคำใด
เฉิงฉือกล่าวอีกว่า “เสาจิ่น เจ้าคิดดู หากว่าเจ้าเป็นข้า เจ้าจะคิดอย่างไร มีเด็กสาวคนหนึ่ง ยังไม่พ้นวัยปักปิ่น ปกติก็ไม่ได้ออกไปไหน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญๆ ในราชสำนัก ทว่าอยู่ๆ วันหนึ่งนางกลับมาบอกเจ้าว่า ด้วยเหตุเพราะข้อตกลงระหว่างเซินหมิ่นจือผู้เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของหวงหลี่กับหยวนเหวยชางผู้เป็นราชเลขาในรัชกาลปัจจุบัน พี่ชายของเจ้าจะพลาดโอกาสได้เป็นเจ้ากรมพิธีการ ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินหวาไปต่อหน้าต่อตา เจ้าจะอยากไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จสักหน่อยหรือไม่”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
สีหน้าอารมณ์ของเฉิงฉือสงบนิ่งไม่ไหวติง กล่าวว่า “จากนั้นข้าค้นพบโดยบังเอิญว่าเจ้าเคยขอให้คนจากตระกูลของจี๋อิ๋งพาฝานฉีไปเมืองหลวง ตอนนั้นข้าไม่ได้สนใจนัก คิดว่าเจ้าอาจจะมีธุระให้เขาไปทำ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน ข้าก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชื่นชอบขุดคุ้ยความลับของผู้อื่น เดิมทีข้าคิดว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นนี้ แต่ใครจะรู้ว่ากลับเกิดเรื่องของใต้เท้ามู่ขึ้นมา…”
โจวเสาจิ่นลูบดอกไห่ถังสีแดงดอกใหญ่บนจอกชาอย่างเกร็งๆ
เฉิงฉือกล่าว “เสาจิ่น ข้าเชื่อว่าตนเองยังพอมีสายตาแหลมคมอยู่บ้าง เจ้าเป็นคนเช่นไร ข้ารู้ดีแก่ใจ หาไม่แล้วข้าก็คงจะไม่หาข้ออ้างเรียกเจ้ามาที่เรือนหลีอินหรอก เจ้าจงบอกความจริงแก่ข้า มีคนบงการให้เจ้าทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ หรือว่ามีคนบังคับให้เจ้าทำเช่นนี้ หรือว่าเจ้าถูกผู้อื่นข่มขู่ด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง แต่เพราะปรารถนาจะตอบแทนบุญคุณที่มารดาข้าดูแลเจ้า จึงอดไม่ได้ที่จะบอกเรื่องของหวงหลี่แก่พวกข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เสาจิ่น ไม่ใช่ว่าเจ้าเชื่อใจข้ามาตลอดหรอกหรือ ครั้งนี้เจ้าก็เชื่อใจข้าอีกสักครั้ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะหาทางฉุดเจ้าออกมาจากโคลนตมนี้ แต่เจ้าต้องบอกความจริงแก่ข้า ได้หรือไม่”
ไม่…ไม่ได้!
โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดใจเหลือคณา น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมา
ท่านน้าฉือปฏิบัติต่อนางอย่างดีจริงๆ!
แม้ถึงตอนนี้ ก็ยังพูดแก้ต่างแทนนาง ขบคิดเผื่อนาง
แต่นางกลับไม่อาจเอ่ยปากพูดออกมาได้
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเฉิงฉือจะเชื่อเรื่องย้อนกลับมามีชีวิตใหม่หรือไม่ ด้วยความฉลาดหลักแหลมของเฉิงฉือ เพียงนางเริ่มเอ่ยปากพูด เขาย่อมรู้บทสรุปแล้ว
เรื่องที่นางเคยถูกเฉิงสวี่ข่มเหงรังแก…ก็อาจจะต้องเปิดเผยต่อหน้าท่านน้าฉือ
ต่อไปนางจะยังมีหน้าอะไรไปยืนอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือ หรือมีหน้าไปยืนอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้อย่างไร
ไม่สู้ให้เขาเข้าใจผิดเสียยังจะดีกว่า!
อย่างน้อย ในใจของท่านฉือนางยังคงรักษาผ้าคลุมหน้าชิ้นนั้นเอาไว้ได้อยู่
แต่นางยิ่งรู้ดีแก่ใจ
นางกับท่านน้าฉือจะหวนกลับไปเป็นเหมือนเก่าไม่ได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้รับความเชื่อใจของเขา หรือการช่วยเหลือตระกูลเฉิงเลย
ขณะที่โจวเสาจิ่นครุ่นคิด หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกบิดจนเป็นเกลียว
การเดินทางไปเขาผู่ถัว เป็นช่วงเวลาที่นางผู้มีชีวิตมาสองชาติภพมีความสุขที่สุด
นางจะซาบซึ้งบุญคุณของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านน้าฉือตลอดไป
โจวเสาจิ่นวางจอกน้ำชาลงอย่างช้าๆ ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดขอบตาที่พร่ามัว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ลุกขึ้นมา กล่าวกับเฉิงฉืออย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านน้าฉือ ข้าไม่เคยหลอกท่านเลย และไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่าน แต่เรื่องราวของข้านั้นเหลือเชื่อเหนือความเข้าใจเกินไป ข้าได้แต่บอกท่านว่า ปีปิ่งอู๋ องค์ฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคต องค์ชายสี่จะสืบราชบัลลังก์ วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งปีติงโม่ เปลี่ยนรัชกาลใหม่เป็นรัชศกเทียนซุ่น ปีอู้เซิน หรือก็คือเดือนหนึ่งรัชศกเทียนซุ่นปีที่สอง ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูลอย่างเป็นปริศนาเจ้าค่ะ…”
………………………………………………………………….
[1] การปกครองบ้านเมืองเปรียบเสมือนกับการทำอาหาร ที่ยุ่งยากและต้องระมัดระวังระหว่างการปรุง เช่นต้องใส่ใจทั้งความร้อนและเครื่องปรุงต่างๆ ที่ใช้ประกอบอาหาร