ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 288 หลีกเลี่ยง

เพียงเพราะอยากคุยกับเขาเท่านั้นอย่างนั้นหรือ

เฉิงฉือเผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

กล่าวปลอบโยนนางว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะให้คนจับตาดูหอซื่ออี๋เอาไว้ หากมีคนเข้าออกที่นั่นบ่อยๆ ข้าจะให้พวกเขามาบอกเจ้า ดีหรือไม่”

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า พลางพยักหน้าหงึกๆ

ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือรู้สึกว่าเวลาที่นางยิ้มเช่นนี้ช่างงดงามนัก ทำให้เขามองแล้วพลอยอารมณ์ดีขึ้นมาตามไปด้วย

หากเขาบอกนางเรื่องที่จะพานางไปดูแข่งเรือมังกรที่ทะเลสาบโม่โฉวในวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง นางต้องดีใจมากกว่านี้เป็นแน่กระมัง

ถ้อยคำปริ่มอยู่ตรงริมฝีปากแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะกลืนมันลงไปได้

เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า รออีกสักสองสามวันค่อยบอกนาง อาการดีใจของนางอาจจะมากกว่าตอนนี้ก็เป็นได้!

เนื่องจากเขายังมีข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องต้องการจะบอกโจวเสาจิ่น

“พรุ่งนี้เจียซ่านก็จะย้ายไปอยู่เจ่าหยวนแล้ว” เฉิงฉือกล่าวเสียงอบอุ่น “เขาจะต้องเข้ามาคารวะท่านแม่ของข้า พรุ่งนี้ไม่สู้เจ้าไปเล่นกับเฉิงเจียจะดีกว่า แล้วค่อยกลับมาตอนเวลาอาหารเที่ยง”

เฉิงเจียซ่านจะเข้ามากล่าวอำลามารดา ด้วยหลักและเหตุผลแล้วเขาไม่อาจขัดขวางเอาไว้ได้

แต่เขาสือฮุยอยู่ห่างจากเมืองไปสามสิบกว่าหลี่ พรุ่งนี้ตนจะไม่ออกไปไหน จนกว่าเขาจะย้ายออกไป อย่างมากเขาก็คงจะอยู่กินมื้อเที่ยงและดื่มชาสักจอกที่เรือนหานปี้ซาน จากนั้นไม่ว่าอย่างไรช่วงบ่ายก็ต้องมุ่งหน้าเดินทางไปเจ่าหยวนแล้ว

หากเฉิงเจียซ่านกล้าต่อต้านเขาอย่างเปิดเผย เฉิงฉือตัดสินใจว่าจะส่งเฉิงเจียซ่านกลับไปอยู่จิงเฉิง

แล้วก็ถือโอกาสนี้ทำให้เฉิงจิงได้รู้ว่าหยวนซื่อเลี้ยงเฉิงเจียซ่านจนเสียนิสัยไปถึงระดับไหนแล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่าปีนี้จะสอบผ่านได้รับการอวยยศตำแหน่งหรือไม่นั้น เฉิงฉือมองว่านี่ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

บางครั้งการได้รับตำแหน่งช้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสียเปรียบผู้ที่ได้รับตำแหน่งก่อน การได้ฝึกปรือการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ให้มากขึ้น มีแต่จะเป็นผลดีต่อเฉิงเจียซ่านทั้งเรื่องว่าควรจะเป็นคนอย่างไร กระทำเรื่องต่างๆ อย่างไร รวมทั้งดีต่อเส้นทางการรับราชการของเขาอีกด้วย

นอกจากนี้ หากปีนี้เฉิงเจียซ่านสอบไม่ผ่าน คนจากจวนรองและจวนสามก็จะได้หวั่นกลัวเขาน้อยลง ดึงเวลาให้ล่าช้าไปอีกสักสามปี ไม่แน่ว่าก็จะเป็นผลดีต่อโจวเสาจิ่นมากขึ้นด้วย

ด้วยเหตุนี้เฉิงฉือจึงคิดเพียงส่งเฉิงเจียซ่านไปอ่านตำราที่เจ่าหยวนเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเฉิงเจียซ่านจะอ่านตำราได้ถึงระดับไหน ผลสอบที่สอบออกมาจะเป็นอย่างไรนั้น ล้วนไม่อยู่ในขอบข่ายความเป็นกังวลใจของเขาทั้งสิ้น

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตะลึงงัน จากนั้นดวงหน้าก็เอิบอาบไปด้วยความรู้สึกยินดีปรีดาอย่างข่มกลั้นเอาไว้ไม่อยู่

เฉิงฉือมองแล้วก็ยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น

โจวเสาจิ่นนั้น ขอเพียงไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก ก็จะยิ้มกว้างออกมาเสมือนกับดอกทานตะวัน

ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกปวดที่นัยน์ตาขึ้นมาเล็กน้อย

ชาติก่อน เฉิงเจียซ่านรังแกนาง นางผ่านมันมาอย่างไร?

ในห้วงความคิดของเฉิงฉือมีภาพของเด็กสาวตัวผอมบางผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวพระจันทร์เนื้อบาง ซ่อนตัวอยู่บนเตียงด้วยท่าทางสั่นกลัวในบรรยากาศมืดสลัวปรากฏขึ้นมา

ชุดสีขาวสะดุดตาตัวนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

เขาก้าวออกไปอย่างไม่คาดคิด ค่อยๆ ดึงตัวโจวเสาจิ่นมากอด กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกลัว จะไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น ข้าจะคอยมองดูเจ้าอยู่ตรงนี้!”

ใช้ชีวิตมาสองชาติภพ นอกจากเรื่องที่สวนดอกไม้ในชาติก่อนแล้ว นางก็ยังไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษที่โตเต็มวัยแล้วมากเท่านี้มาก่อน

ด้วยอารามตกใจ ร่างของนางสั่นสะท้านขึ้นโดยสัญชาตญาณ มือเท้าเย็นและแข็งทื่อไปหมด

แต่เพียงไม่นาน ก็มีเสียงอบอุ่นราวแสงแดดของเฉิงฉือดังขึ้นที่ข้างหูของนาง จมูกได้กลิ่นหอมของน้ำหอมดั่งที่ได้ยินมา

นางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจยาวครั้งหนึ่ง ร่างกายสงบลงมา

เป็นท่านน้าฉือ!

เป็นท่านน้าฉือที่กำลังกอดนางอยู่!

ขณะที่โจวเสาจิ่นคิดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะวางศีรษะแนบกับอกของเขา

ร่างบอบบางของเด็กสาวแนบติดกับเขาอย่างว่าง่าย เส้นผมดำสลวยลื่นอยู่ใต้คางของเขา เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย จึงเห็นได้ว่านางมีใบหน้าแดงปลั่งจนคล้ายจะปริแตก ขนตางอนยาวและหน้าอกที่เริ่มนูนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

เฉิงฉือหน้าแดงเล็กน้อย

เด็กน้อยโตเป็นสาวแล้วจริงๆ มิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่เขามองเห็นผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว

การกอดนางเอาไว้เช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแล้ว!

หัวสมองขบคิดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับรู้สึกแสนเสียดายที่จะปล่อยนางออกจากอ้อมกอดไป

ต่อจากนี้ไปก็ไม่อาจกอดนางได้อีกแล้ว ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย เช่นนั้นเขาขอกอดต่ออีกครู่หนึ่งก็แล้วกัน…

ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉิงฉือปล่อยโจวเสาจิ่นออกอย่างนึกเสียดายเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

อ้อมกอดของท่านน้าฉือทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัย อ้อมกอดของท่านแม่ก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกันกระมัง

แต่ปีหน้านางก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ต่อไปคงไม่อาจใกล้ชิดกับท่านน้าฉือเช่นนี้อีก

นอกจากนี้ท่านน้าฉือก็ได้พูดเอาไว้แล้วว่าเขาจะแต่งงานแล้ว

รอให้มีท่านอาสะใภ้คนใหม่แล้ว นางก็ยิ่งต้องอยู่ให้ไกลจากท่านน้าฉือมากขึ้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ขอบตาของนางก็รื้นชื้นขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ จนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาจากขอบตา

เฉิงฉือตกตะลึง ทันใดนั้นก็ขยับถอยออกไปสองสามก้าว รีบกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้า…ข้าเพียงเห็นว่า…เห็นเจ้าเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเจ้า…”

โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้าไม่หยุด

นางทราบดีอยู่แล้ว!

ท่านน้าฉือปฏิบัติกับนางเสมือนนางเป็นญาติแท้ๆ

นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา

ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงร้องไห้ออกมา

นางกล่าวขอบคุณเขาว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปเที่ยวหาพี่สาวเจียตั้งแต่เช้าตรู่ หากฮูหยินผู้เฒ่าถามถึงขึ้นมา ท่านก็บอกไปว่า…ท่านก็บอกไปว่าพี่สาวเจียกับท่านป้าใหญ่หลูมีปากเสียงกันอีกแล้ว ข้าไม่ค่อยวางใจ จึงอยากไปดูสักหน่อยว่าพี่สาวเจียเป็นอะไรหรือไม่ ข้าก็จะบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้เหมือนกัน ท่านเห็นว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”

ประโยคสุดท้ายนั้น นางพูดอย่างนุ่มนวลและอ่อนหวาน นัยน์ตาดำตัดขาวที่เคยรื้นชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาระยิบระยับนั้นกำลังจ้องมองเฉิงฉือ หัวสมองของเฉิงฉือมึนงงไปชั่วขณะ พลางพยักหน้าให้อย่างเลื่อนลอย

กระทั่งกลับมาถึงเรือนหลีอินถึงได้สติคืนกลับมา

นี่มันเป็นข้ออ้างอะไรกัน!

เช่นนั้นไม่สู้บอกไปว่าทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีเรื่อง นางจึงต้องไปดูแต่เช้าตรู่ยังจะดีเสียกว่า!

ตนแจ้งข่าวให้นาง บอกว่าเฉิงเจียทะเลาะกับมารดา…เขาเป็นคนที่จดจ้องอยู่กับเรื่องในเรือนหลังประเภทนั้นหรืออย่างไร

อีกอย่าง เป็นเฉิงเจียที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาหรือว่าเป็นเจียงซื่อที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขากันแน่ ต่อให้พวกนางทะเลาะกันจนฟ้าถล่มแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

เกรงว่าพอมารดาได้ยินก็รู้ได้ทันทีแล้วว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น

ตอนนั้นเขาฟังคำปั้นแต่งนี้ของเด็กผู้นั้นไปได้อย่างไร ยังพยักหน้าเห็นด้วยอีก

เฉิงฉือลูบหน้าผาก

เรียกซางมามาเข้ามาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปจัดเตรียมคนให้แสร้งทำเป็นคนของจวนสี่ไปแจ้งคุณหนูรองว่า พรุ่งนี้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนให้นางเข้าไปหาครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้จะรอนางไปกินมื้อเช้าด้วย”

ซางมามารับคำอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”

กล่าวจบเฉิงฉือก็คิดได้ว่าเด็กผู้นั้นโง่เขลายิ่งนัก การที่เขาจัดการเช่นนี้ ไม่แน่ว่าพอนางได้ยินแล้วอาจจะคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับจวนสี่จริงๆ ก็เป็นได้ จึงสั่งการเพิ่มเติมไปว่า “บอกคุณหนูรองให้เข้าใจว่าเป็นความตั้งใจของข้า พรุ่งนี้ให้นางไปที่จวนสี่ ส่วนทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่า ก็ให้ปิดเอาไว้ก่อน”

ให้ปิดเอาไว้ก่อน

นี่เป็นเพียงคำพูดที่ดูสละสลวยเท่านั้น

ความหมายจริงๆ ก็คือห้ามบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวตลอดไปต่างหาก

ซางมามาพึมพำอยู่ในใจ ยอบกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป

เฉิงฉือรู้สึกอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่พอให้เขาไปสืบเสาะหาเหตุผล อารมณ์ของเขากลับยิ่งเลวร้ายลง

เขาจึงเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องอยู่หลายรอบ สั่งให้ไหวซานนำเอาสมุดบัญชีของช่วงนี้เข้ามาให้หมด “ถือโอกาสช่วงที่ไม่มีอะไรทำนี้ มาตรวจสอบทรัพย์สินที่ข้ามี ดูว่าข้ามีเงินทั้งหมดเท่าไรกันแน่!”

ราวกับกำลังเยาะหยันเฉิงฉืออยู่อย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเสียงของเขายังไม่ทันได้สิ้นสุดลง ก็มีเสียงตีกลองบอกเวลายามสองดังเข้ามาจากด้านนอก

ไหวซานถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ

เฉิงฉือวุ่นจนถึงเวลายามสาม นำเอาบ้านทั้งหมดที่เดิมทีซื้อมาเพื่ออำนวยความสะดวกตอนเดินทางไปยังที่ต่างๆ ออกมาจดลงบัญชีใหม่ ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า บ้านที่เมืองจี่หนานหลังนั้นอยู่ติดกับทะเลสาบต้าหมิง เขาไม่ได้ไปที่นั่นมาหลายปีแล้ว แต่จำได้ว่าที่นั่นพอเปิดประตูออกไปก็เจอกับทะเลสาบ ปลูกต้นไม้เอาไว้ยี่สิบกว่าต้น ทัศนียภาพช่วงฤดูใบไม้ผลิงดงามยิ่งนัก จี่หนานอยู่ไม่ไกลจากจิงเฉิง ถึงเวลายกบ้านหลังนั้นให้เด็กผู้นั้นทำเป็นสินเจ้าสาวก็แล้วกัน

อย่างไรก็ตามหากพูดถึงเรื่องใกล้ไกลแล้ว บ้านที่อยู่ทางด้านป้อมปราการเทียนจินหลังนั้นน่าจะเหมาะสมกว่า แต่ว่าเทียนจินกับจิงเฉิงอากาศหนาวเย็นเหมือนกัน ทัศนียภาพจึงด้อยกว่าเล็กน้อย

ไม่สู้ยกบ้านที่ต้าซิ่งหลังนั้นให้นางจะดีกว่า

แต่นางบอกว่าชาติก่อนนางอาศัยอยู่ในบ้านที่ต้าซิ่ง ชาตินี้อาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้ ซื้อบ้านที่เป่าติ้งน่าจะดีกว่า

แต่จากความทรงจำของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่มีทรัพย์สินที่เป่าติ้งเลย

เนื่องจากเขามีสหายสนิทที่วางมือจากการเป็นโจรป่าอาศัยอยู่ที่เป่าติ้ง เปิดกิจการโรงเตี๊ยมและเก็บบ้านขนาดเรือนสามหลังเอาไว้ให้เขาหลังหนึ่ง หากเขาต้องค้างอ้างแรมที่เป่าติ้ง ก็จะเข้าไปพักที่นั่น

ควรจะซื้อบ้านที่เป่าติ้งเอาไว้สักหลังหรือไม่?

ไม่ดีกว่า

อากาศของที่นั่นดีสู้ที่ป้อมปราการเทียนจินไม่ได้

โจวเจิ้นเองก็คงจะไม่อยู่ที่เมืองเป่าติ้งตลอดไปโดยไม่ย้ายไปดำรงตำแหน่งที่อื่นกระมัง ถึงเวลานั้นเด็กน้อยก็ไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่เป่าติ้ง แล้วจะอาศัยอยู่ที่นั่นไปเพื่ออะไร

ที่ดินของทางใต้มีน้อยเกินไป ที่ดินผืนใหญ่ที่อยู่ติดกันล้วนเป็นของตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมาช้านานของเจียงหนาน ไม่มีทางที่จะขายที่ดินอย่างแน่นอน ต่อให้ขาย ส่วนมากก็เป็นที่ที่ถูกยึดมาเนื่องจากกระทำผิดกฎหมายอะไรบางอย่าง และโอกาสเช่นนั้นในสิบกว่าปีก็อาจหาไม่เจอเลยแม้สักครั้ง ซึ่งเด็กน้อยคงรอไม่ได้ ไปหาซื้อที่จากทางเหนือน่าจะดีกว่า ที่ดินหลายสิบหมู่ไปจนถึงหนึ่งร้อยหมู่หรือแม้กระทั่งหลายที่ที่อยู่ติดกัน เป็นคฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบขนาดใหญ่ แล้วเลี้ยงดูผู้คุ้มกันของตัวเองเอาไว้ โดยที่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นหรือทางการล้วนไม่กล้ามารุกราน…

เมื่อกล่าวถึงเรื่องลงโทษทั้งตระกูลแล้ว สุดท้ายตระเฉิงก็จะถูกลงโทษกันทั้งตระกูล

แสดงให้เห็นว่าที่ดินและบ้านสวนเหล่านี้ไม่เหมาะสมเสียแล้ว

ต่อให้นางจะเป็นเพียงญาติห่างๆ ก็ยังต้องป้องกันมิให้คนจากทางตระกูลของสามีดูถูกเอาได้

พวกตั๋วเงินอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน!

จะให้ดีที่สุดควรจะหาคนที่พึ่งพาได้สักคน คนที่ทำให้นางมีเงินกินและใช้ไปได้ตลอดชีวิตอย่างไม่ขัดสน…ผู้ใดจะเหมาะสมที่สุดกันนะ

เฉิงฉือนึกถึงจี๋อิ๋ง

นางกับเด็กผู้นั้นสนิทสนมกัน อีกทั้งยังเป็นสตรีด้วยกัน ความสามารถก็ล้นเหลือ หากเกิดเรื่องกับตระกูลเฉิง นางสามารถเข้าออกเรือนชั้นในได้ตลอดเวลา ต่อไปยามเสาจิ่นมีเรื่องอะไร ก็ให้นางไปจัดการให้ได้…

แต่ปัญหาของจี๋อิ๋งก็คือยังไม่ได้แต่งงาน

สตรีเมื่อแต่งงานแล้วล้วนขึ้นอยู่กับสามี อันดับแรกคงต้องเลือกสามีที่พึ่งพาได้สักคนมาให้จี๋อิ๋งก่อน

เฉิงฉือเริ่มวางแผนเรื่องนี้

โดยลืมโจวเจิ้น ลืมตระกูลโจว และลืมว่าอันดับแรกนั้นโจวเสาจิ่นสิ่นเป็นบุตรสาวของตระกูลโจว ถัดมาถึงนับว่าเป็นหลานสาวฝั่งยายของตระกูลเฉิงไปเสียสนิท…

เขาเดินไปเดินมาอยู่ทั้งคืน จนเวลาล่วงเลยมาเกือบจะเช้าถึงได้ขึ้นเตียงไปพักผ่อน

ส่วนโจวเสาจิ่นกลับตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์สดใส

ข้ออ้างของท่านน้าฉือเข้าท่ากว่าของนางร้อยเท่าจริงๆ

นางแต่งหน้าและแต่งตัวอย่างอารมณ์ดี สวดพระธรรมอยู่ภายในห้องครู่หนึ่งถึงกดความยินดีปรีดาเอาไว้ได้ แล้วไปกล่าวขออนุญาตฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ตอนที่โจวเสาจิ่นออกไปส่งเฉิงฉือเมื่อคืนนั้นไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับนาง ดูเหมือนว่ายังกอดนางเอาไว้พร้อมกับกล่าวปลอบโยนอีกหลายประโยคด้วย ตอนที่นางกลับมาดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มา ต่อมาทางจวนสี่ยังส่งคนมาขอพบโจวเสาจิ่น สุดท้ายกว่าโจวเสาจิ่นจะเข้านอนก็ดึกมากแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนรับทราบทุกอย่าง

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมานางไม่ใช่คนที่ไม่ยอมให้มีเม็ดทรายหลุดลอดสายตาแม้แต่เม็ดเดียวประเภทนั้น บางอย่างยิ่งเจ้าไปไล่สอบถามก็ยิ่งไม่ได้คำตอบที่แท้จริง บางเรื่องเมื่อเจ้าปล่อยวาง ไม่แน่ว่าความจริงกลับถูกส่งมาให้ถึงมือเจ้าเองก็เป็นได้

นางจึงไม่สอบถามอะไรแม้สักประโยคเดียว

โจวเสาจิ่นมากล่าวอำลานาง แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจไปสอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจวนสี่ มีแต่กล่าวย้ำกำชับให้โจวเสาจิ่นระมัดระวังตัวระหว่างทาง ให้รีบไปรีบกลับ มีเรื่องอะไรลำบากใจก็อย่าลืมมาบอกนาง “บิดาและพี่สาวของเจ้าล้วนไม่อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าเป็นเด็กสาวเพียงผู้เดียว ไม่มีคนช่วยตัดสินใจให้เจ้าสักคน มีอะไรก็อย่าเอาแต่เก็บเอาไว้ในใจเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายของตัวเองตัวเจ้าเองรู้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้ตัวเองกดดันจนทนไม่ไหวแล้ว แต่ผู้อื่นก็ยังไม่รู้”

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset