เฉิงเจียเอาแต่หัวเราะร่าอย่างไม่ถือสา จับมือของนางเอาไว้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “น้องสาวคนดี เจ้าอย่าโกรธอีกเลย เจ้าอยากให้ข้าชดใช้อย่างไรก็ได้!”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เช่นนั้นก็ยกชุ่ยหวนสาวใช้ของเจ้ามาให้ข้า?”
“นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้!” เฉิงเจียไม่โกรธเลยสักนิด ยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้มเช่นเดิมว่า “เช่นนั้นข้ายก ‘ชิวถง’ ตัวนั้นให้เจ้าดีหรือไม่”
ชิวถงคือพิณตัวที่เฉิงเจียชอบมากที่สุด
นางถึงกับจะยกพิณตัวนี้ให้ตน!
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก มองสบตากับเฉิงเจียตรงๆ
เฉิงเจียค่อยๆ เก็บรอยยิ้มกลับไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังขึ้นมา ปล่อยให้โจวเสาจิ่นจับจ้องมองตาตนเองอยู่อย่างนั้น กล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสาจิ่น ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ถูก เจ้าอยากให้ชดใช้ให้เจ้าอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง!”
นางกล่าวอย่างจริงใจ ทำให้โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก
ชั่วชณะนั้นทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน บรรยากาศรอบๆ ตึงเครียด
จูจูรีบเดินเข้ามา จับไหล่ของโจวเสาจิ่นไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็จับไหล่ของเฉิงเจียไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่! ได้ยินว่าดอกบัวที่จวนของพวกเจ้าบานแล้ว ช่วงนี้ข้าอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำพอดี ใครสักคนในพวกเจ้าส่งเทียบมาให้พวกข้าไปชมดอกไม้ดีหรือไม่ เชิญทุกคนที่มาร่วมงานวันนี้ ว่าอย่างไร”
โจวเสาจิ่นรู้สึกละอายใจยิ่งนัก
วันนี้นางเป็นเจ้าภาพครึ่งหนึ่ง แทนที่จะคอยดูแลพวกเพื่อนๆ กลับมานั่งทะเลาะกับเฉิงเจียอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
โชคดีที่มีจูจูกับกูที่สิบเจ็ด พวกนางล้วนเป็นสหายที่จริงใจ เห็นนางกำลังเผชิญกับเรื่องยุ่งยากต่างก็เข้ามาช่วยเหลือนาง!
นางเหลือบไปมองจูจูอย่างขอบคุณครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ให้พี่สาวเจียเป็นคนเชิญเป็นการลงโทษก็แล้วกัน! นางมีสุราเลิศรสจำนวนมาก อย่างไรพวกเราก็ต้องไปกินข้าวของนางสักมื้อถึงจะสาแก่ใจ”
จูจูกับกูที่สิบเจ็ดและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะฮ่าๆ
เฉิงเจียลูบท้ายทอย “ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า พอข้ากลับไปจะส่งเทียบเชิญไปให้สุภาพสตรีทุกท่านทันที”
“เช่นนั้นพวกเราจะตั้งตารอเจ้าแล้ว!” กูที่สิบเจ็ดเย้าแหย่ ท่าทางเบิกบานยิ่งนัก
ส่วนคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวเม้มปากกลั้นยิ้ม เห็นได้ชัดว่ามีความสนอกสนใจกับการได้ออกมาเป็นแขกมากเช่นเดียวกัน
โจวเสาจิ่นมองแล้วได้แต่ถอนหายใจไม่หยุด
คุณหนูของตระกูลกัวสงบเสงี่ยมเกินไปแล้ว
หากท่านน้าฉือแต่งงานกับหญิงสาวของตระกูลกัว คนพูดน้อยสองคนมาอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นชีวิตในแต่ละวันจะน่าเบื่อเพียงใดนะ!
ตระกูลเซินเป็นผู้ชนะการแข่งขันเรือมังกรในท้ายที่สุด
เซินชิงอวิ๋นดีใจเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าจะเลี้ยงสุราทุกคน
ทุกคนในที่นี้หมายถึงคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวของหอชิงเยียน
ทุกคนทยอยกันไปกล่าวแสดงความยินดีกับเขา
จูเผิงจวี่จะลากเฉิงฉือไปร่ำสุราด้วย
เฉิงฉือปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
จูเผิงจวี่ไม่ยอมแพ้ รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่ห้องส่วนตัวข้างๆ เนื่องจากทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน จึงวิ่งมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หมายจะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอนุญาตให้เฉิงฉือออกไปร่ำสุรากับเขา “จื่อชวนจะต้องเป็นห่วงท่านเป็นแน่ ข้าจะให้หัวหน้าเจ้าพนักงานของจวนพวกข้าไปส่งท่านกลับด้วยตัวเอง จื่อชวนจะยังมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า เรียกเฉิงฉือเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าสี่ เจ้าออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเขาเถิด มีหลานรองอยู่เป็นเพื่อนข้าอยู่นี่นา!”
ยามอยู่ต่อหน้าคนนอก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมักจะเรียกโจวเสาจิ่นว่าหลานรอง
เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าข้าไม่อยากไปร่ำสุรากับเผิงจวี่ แต่ข้ายังมีธุระอยู่ทางด้านนี้ รอให้ข้าเสร็จธุระแล้ว ค่อยไปหาเจ้าก็ยังไม่สาย” ประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการกล่าวกับจูเผิงจวี่
มีแววประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของจูเผิงจวี่ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีแขกอยู่ใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็เชิญแขกของเจ้าไปร่วมสนุกกับพวกเราด้วยก็ได้แล้ว! ชิงอวิ๋นคงไม่ต่อว่าเพียงเพราะสุราแค่นี้กระมัง”
“มิใช่อย่างนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พวกข้าต้องเจรจาเรื่องการค้า กำลังอยู่ในช่วงสำคัญ เจ้าอย่าสร้างปัญหาให้ข้าเลย รอให้ข้าส่งแขกเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากันอีกที”
จูเผิงจวี่ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก กล่าวย้ำกำชับเฉิงฉือซ้ำๆ หลายประโยคว่า “เจ้าต้องมาให้ได้” แล้วถึงได้จากไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือมีแขกอยู่ด้วย กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าละอายใจเล็กน้อยว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิด! ข้ามีเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อนก็ได้แล้ว”
เฉิงฉือหันไปยิ้มให้โจวเสาจิ่น เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าดูแลท่านแม่ให้ดี” แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องส่วนตัวข้างๆ
โจวเสาจิ่นนึกถึงตอนที่นางไปหาเฉิงฉือเมื่อครู่นี้ นึกถึงท่าทางปิดประตูของเฉิงฉือ แล้วก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
ตอนเดินออกไปจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองห้องส่วนตัวของเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
บานประตูของห้องส่วนตัวยังคงปิดสนิทดังเดิม หลั่งเย่ว์ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินมา เขารีบค้อมตัวทำความเคารพแล้วกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “นายท่านสี่ไปส่งแขก อีกประเดี๋ยวก็กลับมาแล้วขอรับ!”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
เป็นแขกคนใดกันที่ท่านน้าฉือต้องแสร้งทำเสมือนกับกำลังรับรองแขกอยู่ในห้องส่วนตัวเช่นนี้
ในเมื่อคนผู้นี้สำคัญถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดท่านน้าฉือต้องพาเขามาที่หอชิงเยียนด้วย?
โจวเสาจิ่นยังคงงุนงงคิดไม่ตก ตอนที่เดินออกมาจากประตูข้างของหอชิงเยียนจึงมองซ้ายมองขวาอย่างห้ามไม่อยู่
ทันใดนั้น นางเบิกดวงตาโพลง ยื่นคอมองออกไปยังถนนที่ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาด้านนอกซอย ดูราวกับว่ามองเห็นคนหรือเรื่องแปลกประหลาดอะไรบางอย่างเข้า ดึงดูดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันมามองที่นาง พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่อาจควบคุมอาการสั่นในใจได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าจะเห็นคนรู้จักผู้หนึ่ง ท่านรอข้าสักครู่ ข้าขอไปดูสักหน่อยนะเจ้าคะ!”
ขณะที่กล่าวนั้น ก็ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมองนางอย่างไรบ้าง นางยกเท้าขึ้นแล้ววิ่งไปที่ปากซอย
ด้านนอกนั้นผู้คนเดินกันขวักไขว่พลุกพล่านเต็มไปหมด
โจวเสาจิ่นมองหาอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้มองเห็นใบหน้าคุ้นหน้าของคนที่สวมชุดจื๋อตัวสีดำผู้นั้นยืนอยู่หน้าร้านขายธูปเทียนร้านหนึ่ง
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
สือควนผู้ที่จะกลายมาเป็นขันทีใหญ่สนองพระโอษฐ์แห่งสำนักขันทีขององค์ชายสี่หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว
โจวเสาจิ่นจำเขาได้แม่น มิใช่เพียงเพราะต่อมาภายหลังเขาได้เป็นคนที่องค์ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยเท่านั้น แต่เป็นเพราะเขาไม่เหมือนคนเป็นขันทีเลยสักนิด
สือควนไม่เพียงมีหน้าตาดูเป็นผู้มีความรู้ การพูดจารวมถึงการวางตัวและกิริยามารยาทก็ดีงาม คนที่ไม่รู้เมื่อได้พบเขาล้วนคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตผู้มีการศึกษาดีผู้หนึ่งกันทั้งนั้น
เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
ต่อไปในภายภาคหน้าเขายังเป็นคนที่มีอิทธิพลกับการตัดสินพระทัยขององค์ฮ่องเต้อีกด้วย
โจวเสาจิ่นตะโกนเรียกชุนหว่านอย่างร้อนรน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารีบไปตามหาท่านน้าฉือ! เร็วเข้า!”
ชุนหว่านไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขานรับ “เจ้าค่ะ” ไปอย่างตื่นตระหนก แล้วรีบวิ่งเข้าไปในหอชิงเยียน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับย่นคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากนี้ยังไล่ให้คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายกลับไปรอในหอชิงเยียนก่อน เหลือเพียงสื่อมามารับใช้อยู่ข้างกายเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ไม่นาน ชุนหว่าก็วิ่งกลับมา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ไม่พบนายท่านสี่เจ้าค่ะ!”
สือควนเองก็ค่อยๆ ออกห่างจากร้านขายธูปเทียนไปเรื่อยๆ แล้วเช่นกัน
โจวเสาจิ่นไหล่ตก
สือควนเป็นคนขององค์ชายสี่มาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ ชาติก่อนนางได้ยินคนพูดกันว่า ในเวลานั้นคนจำนวนมากเห็นองค์ชายสี่วางตัวกลางๆ อีกทั้งยังเป็นคนซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมผู้หนึ่ง จึงพากันหาลู่ทางไปอยู่กับองค์ชายพระองค์อื่นๆ มีเพียงสือควนเท่านั้นที่รั้งอยู่ที่เดิม
เขาไม่เพียงรั้งอยู่เท่านั้น ยังรับหน้าที่เป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานขององค์ชายสี่ ช่วยจัดการเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกตำหนัก เสมือนกับเป็นพ่อบ้านใหญ่ขององค์ชายสี่อีกด้วย
ถ้าเวลานี้เฉิงฉือได้ทำความรู้จักกับสือควน จะดีมากเพียงไรนะ!
นางคอตกอย่างห่อเหี่ยว กล่าวอย่างผิดหวังว่า “เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด!”
ชุนหว่านพยักหน้า ก้าวออกไปประคองนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
แต่ไหนแต่ไรมาโจวเสาจิ่นไม่กล้าพูดโกหกยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาก่อน แต่เรื่องนี้นางก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีจริงๆ จึงเลือกกล่าวเพียงส่วนหนึ่งว่า “ข้าเห็นคนผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนักที่บิดาเคยกล่าวถึง ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้ท่านน้าฉือได้พบสักครั้ง ดูว่าจะใช่คนผู้นั้นจริงๆ หรือไม่ ถ้าหากเป็นเขาจริงๆ ท่านน้าฉือก็จะได้เป็นเจ้าบ้านต้อนรับเขาด้วยเจ้าค่ะ”
หากครอบครัวหนึ่งๆ ต้องการความเจริญรุ่งเรือง ความสัมพันธ์และเส้นสายนับว่าสำคัญยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจำคนผู้นั้นได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “เคยเห็นเมื่อคราวที่ท่านพ่อกลับมาก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าด้วยจิตใจเลื่อนลอย
โจวเจิ้นมาถึงวันนี้ได้ ย่อมมิใช่เพราะพึ่งพาแต่ตระกูลเฉิงทั้งหมด เขาน่าจะมีความสัมพันธ์และเส้นสายกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน
บางทีคนที่โจวเสาจิ่นกล่าวถึงผู้นี้ อาจจะเป็นคนที่ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังโจวเจิ้นก็เป็นได้
ครั้นนึกถึงเหตุผลที่เฉิงฉือให้โจวเสาจิ่นมาอยู่ด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงยอมรับสิ่งที่โจวเสาจิ่นกล่าวมา
นางไม่ถามอะไรเพิ่มอีก ยิ้มพลางกลับซอยจิ่วหรูไปพร้อมกับโจวเสาจิ่น
หลังจากที่โจวเสาจิ่นปรนนิบัติให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว กลับไปล้างหน้าล้างตาที่เรือนฝูชุ่ยรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งตารอฟังข่าวคราวของเรือนหลีอินโดยตลอด
กระทั่งถึงยามสาม ชุนหว่านถึงได้กระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูรอง นายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยตัวหนึ่งอย่างรีบร้อนแล้วไปที่เรือนหลีอิน
โคมไฟทางด้านโน้นส่องสว่างดุจดวงดารา ไหวซานประคองเฉิงฉือที่มีอาการเมาเล็กน้อยเดินเข้ามา
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นยืนอยู่หน้าประตู ทุกคนต่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
เฉิงฉือหัวเราะออกมาเบาๆ
เสียงหัวเราะสำราญใจเป็นที่สุด เอ่ยขึ้นว่า “ดึกเพียงนี้แล้ว เจ้าวิ่งมาที่นี่ทำไมหรือ เรื่องของเฉิงเจียข้าได้คุยกับหลี่จิ้งเรียบร้อยแล้ว…เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงเจียจะไปหาเขา จึงคุยกับเฉิงเจียไปเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น…”
นางไม่ได้มาหาเขาด้วยเรื่องนี้เสียหน่อย!
เนื่องจากเขารับไปจัดการแล้ว ก็ย่อมจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมอยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ เห็นฝีเท้าที่กำลังก้าวย่างของเขาดูไม่มั่นคงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอยู่ข้างนอกดื่มสุรามากไปเท่าไร รู้สึกปวดใจเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก้าวออกไปประคองแขนอีกข้างหนึ่งของเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ เหตุใดวันนี้ท่านถึงดื่มสุรามากขนาดนี้เจ้าคะ มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยมาคุยกันวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ! ท่านรีบกลับไปดื่มน้ำแกงช่วยสร่างเมา แล้วหลับสักตื่นเถิดเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือตัวสั่นเล็กน้อยตอนที่โจวเสาจิ่นวางมือลงมา แต่ไม่นานเขาก็ผ่อนคลายลง ปล่อยให้โจวเสาจิ่นประคองเขาไว้ เขาทิ้งน้ำหนักตัวไปทางไหวซาน กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร! วันนี้ข้าอารมณ์ดียิ่ง ก็เลยดื่มมากกว่าปรกติไปหลายจอก เหล้าแค่นี้ไม่ทำให้ข้าเมาหรอก”
เลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขยก็เป็นเช่นนี้
ยามปรกติไม่ดื่มสุรา แต่หากดื่มมากไปแล้วก็จะกล่าวว่าเหล้าแค่นี้ไม่ทำให้เขาเมาหรอก
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี ประคองเฉิงฉือเข้าไปในบ้าน
หากเดินตรงไปอีก ก็จะเป็นห้องชั้นในของเฉิงฉือแล้ว
โจวเสาจิ่นลังเลครู่หนึ่ง
แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับกล่าวกับไหวซานว่า “เจ้าปล่อยข้าไว้บนตั่งหลัวฮั่นก็แล้วกัน อากาศตรงห้องโถงดีกว่า”
ไหวซานชำเลืองมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง ขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” แล้วตะโกนเรียกให้คนเข้ามาปรนนิบัติ
ไม่นาน ธูปไล่ยุงถูกจุดเรียบร้อย เสื่อก็ปูเสร็จแล้ว น้ำสำหรับล้างหน้าและน้ำแกงช่วยสร่างเมาก็ยกเข้ามาแล้ว
โจวเสาจิ่นเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงนั่งดูชิงเฟิงปรนนิบัติเฉิงฉือดื่มน้ำแกงช่วยสร่างเมา ประคองเขาเข้าไปล้างหน้าและเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องชั้นในแล้วพาออกมาเอนตัวอยู่บนตั่งหลัวฮั่นที่ปูเสื่อเอาไว้เรียบร้อย เขาชี้เก้าอี้กระเบื้องทรงกลมที่อยู่ตรงหน้าตั่งหลัวฮั่น พลางกล่าวขึ้นว่า “มานั่งตรงนี้!”
บางทีอาจเป็นเพราะตะเกียงในห้องสว่างเกินไป เขาจึงยกแขนขึ้นวางบนหน้าผาก หลับตาลง
โจวเสาจิ่นเอ่ย “ต้องการให้ดับตะเกียงหรือไม่เจ้าคะ”
เขาส่งเสียง “อืม” เบาๆ ครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นจึงเหลือตะเกียงเล็กๆ ตรงมุมห้องเอาไว้เพียงหนึ่งดวงเท่านั้น
เฉิงฉือกลับพึมพำกล่าวว่า “ร้อนยิ่งนัก” พลิกตัวครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นหันไปขอพัดจากไหวซาน แล้วนั่งพัดให้เขาอยู่บนเก้าอี้กระเบื้องทรงกลมนั้น