ไม่… โจนาส·โคลเกอร์ยืนแน่นิ่ง ภายในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอย่างแรงกล้า
ในฐานะที่เป็นครึ่งเทพมากประสบการณ์ของกองทัพ มันเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี เสียงฝีเท้าแห่งความตายกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้
มันต้องการที่จะสู้จนตัวตาย ต้องการเผยร่างสัตว์ในตำนาน ทว่า คำสั่งที่ส่งออกไปอย่างเชื่องช้ากลับไม่แสดงผลใดๆ
ร่างกายของมันกำลังถูก ‘ปรสิต’ สิงร่างจนมิอาจควบคุม!
ในวินาทีนี้ โจนาส·โคลเกอร์มิอาจทำได้แม้กระทั่งการหลั่งน้ำตา
ท่ามกลางแสงเงาจากดวงจันทร์ยักษ์สีแดง กระแสเวลาไหลผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า จนกระทั่งโจนาส·โคลเกอร์ยกมือซ้ายขึ้นมาสัมผัสเส้นผมตัวเอง
มันกลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์เรียบร้อยแล้ว
อันที่จริง ในช่วงสุดท้าย มันมีโอกาสเอาชีวิตรอด เนื่องจากระยะเวลาของกระสุนปรสิตนั้นน้อยกว่าระยะเวลาในการเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ ช่องว่างประมาณสองถึงสามวินาทีดังกล่าวคือช่วงที่มันสามารถเผยร่างสัตว์ในตำนานและยื้อชีวิต
แต่ปัญหาก็คือ มันยังอยู่ในผลของกระสุนหลอกลวง แถมความคิดก็ยิ่งเฉื่อยชามากขึ้นทุกขณะ หมดโอกาสตระหนักถึงโอกาสสั้นๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว
ไคลน์จ้องหุ่นเชิดตัวใหม่ หายใจเข้าออกเงียบงัน เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ยักษ์สีแดงและกล่าว
“จบแล้ว”
ท่ามกลางพระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ จุดดำจุดหนึ่งโผล่ขึ้นและร่อนลงมาทันที ไม่ใช่ใครนอกจากสตรีที่สวมเสื้อคลุมเรียบง่าย หัวหน้าสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล ‘บริวารอำพราง’ อาเรียนน่าผู้สวมเข็มขัดเปลือกไม้
ท่ามกลางโลกแห่งความลับ ผู้บำเพ็ญตนรายนี้มิได้ใช้พลังพิเศษ แต่กลับสามารถลอยอยู่กลางอากาศ เธอจ้องไปทางเคาต์แห่งการเสื่อมถอยด้านล่าง
เพียงเธอยกมือขวาแผ่วเบา ร่างวิญญาณของโจนาส·โคลเกอร์พลันถูกกระชากขึ้นไปด้านบน ส่งผลให้ไคลน์สูญเสียการควบคุมหุ่นเชิด
มันไม่แปลกใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะในท้ายที่สุด มันไม่ได้แยกหนอนวิญญาณและส่งเข้าไปในร่างอีกฝ่ายเพื่อควบคุมหุ่นเชิด พลังที่ใช้เมื่อครู่เป็นแค่ของลำดับ 5 ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งเทพ
“เจ้าเพิ่งไปไหนมา” อาเรียนน่าจ้องโจนาส·โคลเกอร์และถามอย่างใจเย็น
สีหน้าของโจนาส·โคลเกอร์บิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“โบราณสถานหมายเลขหนึ่ง”
ชายคนนี้ทำพันธสัญญาผูกมัด… หรือถูกชี้นำทางจิต? ไคลน์ที่กำลังเฝ้ามองการสื่อวิญญาณ สังเกตเห็นบางสิ่งจากท่าทีตอบสนองของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นพลังชนิดใด แต่นั่นก็ไม่มีผลภายในโลกแห่งความลับที่ไม่มีใครตระหนักถึง โลกลึกลับที่ไม่มีใครสัมผัสได้
“โบราณสถานดังกล่าวอยู่ที่ใด เป็นของใคร และใช้ทำอะไร” ในฐานะหัวหน้าสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งรัตติกาลและยังเป็นเทวทูตในเส้นทางเดียวกัน อาเรียนน่าจึงถือครอง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความลับและไม่จำเป็นต้องเริ่มถามจากคำถามง่ายๆ แต่ตรงเข้าประเด็นทันที ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับเหยื่อ
วิญญาณของโจนาส·โคลเกอร์สั่นระริกเล็กๆ คล้ายกับจะระเบิดออก แต่สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
มันลังเลสักพักก่อนจะตอบ
“โบราณสถานตั้งอยู่ในเขตสเตอร์ริเว่นของแม่น้ำทัสซอค ลึกลงไปใต้ดิน… มีการเตรียมการสำหรับขัดขวางพลังทำนายและพยากรณ์”
เขตสเตอร์ริเว่น… เป็นภูเขาลูกเดียวกับที่มิสเตอร์ A เคยเข้าไป และไม่ไกลจากจุดที่หมอนั่นเพิ่งหายตัวไปด้วยอุปกรณ์บางอย่าง… ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวเป็นอย่างดี… การที่เราไม่ถูกพบตัว แปลว่าวิธีย้ายตำแหน่งแบบจุดต่อจุดมีประสิทธิภาพสูงมาก… แผนที่บริเวณชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเบ็คลันด์ถูกวาดขึ้นในหัวไคลน์อย่างรวดเร็ว
โจนาส·โคลเกอร์ยังเล่าต่อไป
“โบราณสถานดังกล่าวเคยเป็นของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์มาก่อน ส่วนปัจจุบันใช้ทำอะไรนั้น ฉันเองก็ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยเข้าไปในส่วนลึกแม้แต่ครั้งเดียว มีหน้าที่เพียงคอยส่งคนและวัสดุที่รวบรวมมาได้”
ชื่อของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ทำให้อาเรียนน่าเงียบไปสักพัก จนกระทั่งสองสามวินาที เธอยิงคำถามใหม่
“เจ้าเก็บรวบรวมวัสดุแบบใด”
สำหรับคราวนี้ โจนาส·โคลเกอร์มิได้แสดงอาการต่อต้านมากนัก พรั่งพรูคำตอบออกมาทีละหนึ่ง ประกอบด้วยสารจำพวกปรอท แร่เหล็ก และวัตถุดิบสำหรับประกอบพิธีกรรมในขอบเขตต่างๆ ไคลน์มิอาจวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงจากข้อมูลดังกล่าว เพราะมันคลุมเครือและกว้างเกินไป จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น
รอบคอบมาก… สิ่งของไม่จำเป็นจำนวนมากถูกรวบรวมเพื่อปกปิดเป้าหมายที่แท้จริง แม้แต่ครึ่งเทพที่ได้รับมอบหมายก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์… นี่คือรูปแบบการวางแผนของเส้นทางผู้ชม… สมาคมแปรจิตอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยขณะคาดเดา
คล้ายกับอาเรียนน่ามิได้ฉุกคิดสิ่งใด เธอถามต่อไป
“เจ้าพอจะเดาได้ไหมว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด? ถ้าเดาได้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย”
“อา… ฉันสงสัยว่าพวกเขากำลังขุดค้นเพื่อหาบางสิ่ง และใช้มันเพื่อเป็นเครื่องสังเวย” โจนาส·โคลเกอร์เล่าในสิ่งที่ตนคิด
อาเรียนน่าจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาสักพัก ตามด้วยกล่าว
“ใครเป็นผู้สั่งให้เจ้าเข้ามาพัวพันกับโบราณสถานใต้ดิน? และมีใครบ้างที่ผ่านเข้าออกที่นั่นได้”
โจนาส·โคลเกอร์พยายามขัดขืนอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังมิแปรเปลี่ยน
มันตอบด้วยสีหน้าลังเล
“เป็นคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาท… ฉันสามารถเป็นครึ่งเทพได้ก็เพราะพระองค์มอบสูตรโอสถ วัตถุดิบ และโอกาสในการเลื่อนลำดับ… นอกจากนั้นพระองค์ยังมอบ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ให้ฉันเพื่อคอยปกปิดฝีมือในฐานะผู้วิเศษลำดับ 5… นอกจากฝ่าบาทที่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของโบราณสถานได้ ปัจจุบันมีเพียงครึ่งเทพสองตนของราชวงศ์ที่สามารถผ่านเข้าไป หนึ่งคือเจ้าชายโกรฟ และอีกหนึ่งคือดัชเชสจอร์จิน่า”
ทั้งหมดเป็นคนของตระกูลออกัสตัส… หมายความว่าราชวงศ์มีครึ่งเทพมากกว่าหนึ่ง… มิสจัสติสไม่ค่อยมีข้อมูลของทั้งสองมากนัก ทราบเพียงว่า ทั้งคู่ไม่ชอบเข้าสังคม แม้แต่ตำแหน่งในสภาสูงก็ล้วนมอบให้ทายาทจัดการดูแล… อา… สำหรับครึ่งเทพ ถึงแม้อายุขัยจะยังไม่ถึงขั้นอมตะ แต่ก็ยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก การมีชีวิตอยู่เกินหนึ่งร้อยปีไม่ใช่เรื่องยาก จึงไม่เหมาะกับตำแหน่งทางราชการที่ต้องเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน… ไคลน์พยายามทบทวนทรงจำ แต่ก็นึกอะไรเพิ่มเติมไม่ออก
อาเรียนน่าเงียบงันสองสามวินาที จากนั้นก็ถาม
“เจ้าเคยพบคอร์เรนส์ในโบราณสถานไหม?”
“เขาเป็นใคร?” โจนาส·โคลเกอร์ถามกลับด้วยสีหน้าสับสน
อาเรียนน่าไม่ตอบ เพียงถามต่อ
“นอกจากที่เล่ามาข้างต้น เจ้าเคยเห็นใครในโบราณสถานอีกบ้าง?”
โจนาส·โคลเกอร์ยังคงอยู่ในสภาพเฉื่อยชาของการถูกสื่อวิญญาณ
“นอกจากนั้นยังมีคนจากนิกายแม่มดและสมาคมแปรจิต ตัวแทนของฝ่ายแรกคือ ‘ไนติงเกลแห่งความสิ้นหวัง’ พานาเทีย แต่หลังจากโศกนาฏกรรมมหาหมวกควัน เธอถูกแทนที่ด้วย ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ ส่วนตัวแทนของฝ่ายหลังคือเฮอร์วิน·แรมบิส”
“พวกเขาเคยเข้าไปในส่วนลึกของโบราณสถานหรือไม่” อาเรียนน่าถามอย่างใจเย็น
“ฉันไม่ทราบ… ไม่ได้ติดตามพวกเขาตลอดเวลา” โจนาส·โคลเกอร์ส่ายหน้า “อย่างน้อยก็ในตอนที่เคยพบกัน พวกเขาทั้งหมดอยู่ในเขตด้านนอก”
อาเรียนน่าพยายามถามถึงประเด็นอื่น พยายามจับเค้าโครงภาพรวมอย่างรอบคอบ แต่น่าเสียดายที่แผนการของกษัตริย์จอร์จที่สามแทบไม่มีช่องโหว่ แม้แต่ครึ่งเทพอย่างโจนาส·โคลเกอร์ก็ยังทราบแค่ข้อมูลในกรอบภารกิจของตน รวมถึงเขตที่ตนเข้าออกได้ ไม่รู้มากไปกว่านี้
ครุ่นคิดสักพัก อาเรียนน่าตวัดมือขวาแผ่วเบา กดวิญญาณของโจนาส·โคลเกอร์กลับเข้าไปในร่างเนื้อ ส่งผลให้ไคลน์กลับมาควบคุมหุ่นเชิดได้อีกครั้ง
ฉากดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน
พลังอำนาจในขอบเขตความลับช่างน่าสะพรึง! ต่อให้วันหนึ่งมาดามอาเรียนน่าแอบสอบปากคำหุ่นเชิดของเราอย่างลับๆ ตัวเราที่เป็นเจ้านายคงไม่มีทางเอะใจ…
ทันใดนั้น อาเรียนน่าหมุนตัวเล็กน้อย กล่าวกับชายหนุ่มบนระเบียง
“ยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่าจอร์จที่สามผิดปรกติ… รวมถึงตำแหน่งของโบราณสถานใต้ดิน… ข้าจะรีบติดต่อกับโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำกรุงเบ็คลันด์ทันที ประสานงานให้พวกเขาลงมือขุดค้นโบราณสถานในคืนนี้เลย… ก่อนที่ข้าจะส่งสัญญาณ รบกวนเจ้าช่วยควบคุมโจนาส·โคลเกอร์และแสร้งว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็ทำให้หายไปในภายหลัง”
คุณกำลังกังวลว่าระหว่างที่เจรจากับอีกสองโบสถ์ ทางนั้นจะพบปัญหาเกี่ยวกับโจนาส·โคลเกอร์ จึงรีบปิดตายโบราณสถานใต้ดินหรือไม่ก็เปิดใช้งานแผนฉุกเฉินสักชนิด? ไคลน์พอจะเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้น พยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธ
“ตกลง”
อาเรียนน่าที่ปล่อยเส้นผมไปตามธรรมชาติ ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงโบกมือแผ่วเบาและเสกให้นาฬิกาพกหุ้มเหล็กลอยไปหาตัวเอง
“สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้เป็นของขวัญจากจอร์จที่สามโดยตรง บางทีอาจมีเบาะแสบางอย่างหลงเหลือ”
แปลว่าคุณจะนำมันกลับไปด้วย? ไคลน์ตอบโดยไม่ขัดข้อง
“สุดแล้วแต่ท่าน”
สำหรับประเด็นนี้ มันมิได้นึกเสียดาย คิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นเพียงทางออกเดียว เพราะในท้ายที่สุด ความสำเร็จครึ่งหนึ่งต้องยกให้โลกแห่งความลับของอาเรียนน่า รวมถึงพร ‘เคราะห์กรรม’ ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยปากขอ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ด้วยตัวเอง แต่ไคลน์ก็วางแผนที่จะให้อยู่แล้ว หากเป็นในด้านความเที่ยงธรรม ชายหนุ่มไม่เป็นสองรองใคร
นอกจากนั้น ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ยังรางวัลที่มันต้องการน้อยที่สุดในศึกนี้ เพราะนั่นไม่เข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของจอมเวทพิสดารสักเท่าไร การแปรผันแบบสุ่มจะส่งผลต่อ ‘การแสดง’ ที่มันวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบ และนั่นจะกลายเป็นภาระมากกว่าผลดี
แต่ถ้าไคลน์ถูกบังคับให้ต้องรับ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ กลับไป มันก็มีแผนรองรับ นั่นคือการนำไปหลอก— นำไปมอบให้ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน – เพราะมีเพียงครึ่งเทพแห่งโรงเรียนชีวิตที่พึ่งพาโชคเท่านั้น จึงจะรู้วิธีควบคุม ‘แสงเงาประชันดนตรี’ อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยความเป็นที่เป็นองค์กรลับขนาดใหญ่ ด้วยความที่เป็นเทวทูตลำดับ 1 วิล·อัสตินจะต้องมีสมบัติปิดผนึกทรงพลังอื่นๆ มาแลกเปลี่ยน
ได้ยินคำตอบ อาเรียนน่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะโยนนาฬิกาพกหุ้มเหล็กกลับไปหาโจนาส·โคลเกอร์ ช่วยให้เคาต์แห่งการเสื่อมถอยรายนี้ดูไม่ต่างไปจากปรกติ
ทันใดนั้น ร่างของเธอเลือนหายไปในพริบตาประหนึ่งถูกยางลบลบ พร้อมกับการสลายตัวของโลกที่มืดมนซึ่งปกคลุมยอดแหลมและปล่องไฟของคฤหาสน์
เพียงพริบตา ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติ: ไคลน์อยู่ในห้องนอนใหญ่ โจนาส·โคลเกอร์อยู่ในห้องนอนแขกที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ในมือของมันกำลังกำ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ แนบแน่น
จากนั้น พลตรีแห่ง MI9 ใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ เพื่อนำปืนลูกโม่กลับเข้าไปในซองปืนใต้รักแร้ พลางหยิบแก้วไวน์ที่บรรจุไวน์พิเศษของคฤหาสน์เพลงกุหลาบซึ่งตนเพิ่งเทลงไป ยกขึ้นจิบอย่างดื่มด่ำ
……………………..