แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 319-1 เยี่ยชิงขวงถูกเปิดโปง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนหรือไม่ จักรพรรดิเซียนที่ปกติเป็นคนเข้มงวดก็เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเมื่อได้รู้บรรดาศักดิ์ที่ตนเองได้รับ ก็โล่งใจ ได้รับบรรดาศักดิ์ถึงจะมีโอกาสบรรลุขั้นพลังอื่นๆ และเพื่อปกปิดความลับ นอกจากเหล่าจักรพรรดิแล้ว คนอื่นที่เหลือก็เป็นคนสนิทของหลิวหลี เรือล่มในหนองทองจะไปไหน เอ๋าเลี่ย อิงเสวี่ย จื่อฉี มู่มู่ ปิงเซียวและเหลยรุ่นได้กลายเป็นพวกเดียวกัน บวกกับหลงเฟยหยาง หนานกงเฉิน หลงเสี่ยวเสี่ยว ฮัวจิงเฟย หยวนเทียน ทุกคนต่างบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน แต่เพราะพวกเขาเคยดูดซับสายเลือดวิญญาณอสูรเทพเก่าแก่มา สายเลือดย่อมต่างไปจากเดิม คนเหล่านี้ต่างก็รับรู้บรรดาศักดิ์ของตน เพียงแต่ต้องใช้วิธีการบางอย่างปกปิดจากโลกภายนอก

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้ ได้กลายมาเป็นจักรพรรดิเซียนแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่” ฮัวจิงเฟยพูดพลางหยิกแขนตนเอง ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดในโลกเซียนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ราวไม่ใช่ความจริง

“เจ้าควรรู้สึกเป็นเกียรติที่ตอนนั้นหลิวหลีมอบโลหิตพยัคฆ์ขาวให้เจ้า” หยวนเทียนกล่าวพลางกลอกตา ไม่อย่างนั้นจะมาถึงคราวของพวกเขาได้อย่างไร

“ถูกต้อง ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติ” ฮัวจิงเฟยเห็นด้วยกับคำพูดนี้

“ท่านพี่อยู่ที่ไหนก็ล้วนมีแต่คนยอมรับ” หลงเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างเลื่อมใส

“นังหนูสร้างจักรพรรดิเซียนได้กี่คนกันแน่” ทันทีที่หลงเฟยหยางได้ยินก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก หลานของเหลนของเหลนเขาช่างน่าอัศจรรย์จริงๆที่สามารถสร้างจักรพรรดิเซียนได้ ต่อให้ต้องติดอยู่ในพลังบำเพ็ญเพียรขั้นจักรพรรดิเซียนนานอีกสักหน่อยจะเป็นอะไร ในที่สุดความฝันหลายหมื่นปีของเขาก็กลายเป็นจริงแล้ว

“แค่คนเหล่านี้เท่านั้นแหละ หลิวหลีบอกว่านี่ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว” หนานกงเฉินก็เหม่อไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าวันที่เขารอคอยจะมาถึง ถึงจะเป็นแค่อาวุธลับที่ต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งฟ้าดินมิอาจมองเห็น แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดี

“ใช่ ฝืนลิขิตสวรรค์เช่นนี้ หากทำมากเกินไปจนสวรรค์คงไม่ปล่อยไปแน่” หลงเฟยหยางกล่าว ก็จริง หากทำลายความสมดุลมากเกินไป ผู้คุมกฎสวรรค์ต้องลงโทษแน่

ส่วนฟากหลิวหลีกำลังเล่นขวดเล็กอยู่ในมือ ไม่รู้นางกำลังคิดอะไรอยู่

“น้องหญิง เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีที่กำลังจมอยู่ในความคิดแล้วถามออกมา ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วรึ เหตุใดฮูหยินของเขาถึงดูเหมือนกำลังมีเรื่องในใจ

“คิดถึงโม่หลี แม้ว่าจะบอกคนอื่นว่าไม่อาจปรุงยาได้ แค่ข้าก็ยังเตรียมไว้เพิ่มอีกหกเม็ด ให้พวกโม่หลี เหมียวเหมี่ยวหนึ่งเม็ด ท่านพ่อและท่านแม่สองเม็ด” หลิวหลีแกว่งขวดเล็กๆในมือ

“น้องหญิง เจ้าช่างใส่ใจผู้อื่นจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนย่อมเข้าใจดีว่าท่านพ่อท่านแม่ที่ว่าหมายถึงใคร บิดามารดาของนางได้บรรลุเซียนและบำเพ็ญเพียรแล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่ที่นางพูดถึงก็คือพ่อแม่ของเขา แม้ว่าทั้งสองจะเจอผู้บังเกิดเกล้าไม่บ่อยนัก แต่ไม่เคยละเลยพวกเขามาก่อน

“มันเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ เก็บของไว้ที่ข้าก่อนแล้วกัน อีกไม่นานก็คงใกล้เข้ามาแล้ว” หลิวหลีพูดพลางมองท้องฟ้า

“ใช่ เกิดการจลาจล หายนะมาถึง ผู้คนอดยาก วีรบุรุษปรากฎตัว” หนานกงเวิ่นเทียนพูด

“ใกล้แล้วล่ะ ท่านพี่รู้สึกได้ใช่ไหม หลังจากหายนะนี้ พวกเราก็น่าจะได้เจอวิบากอัสนีครั้งสุดท้ายแล้ว” หลิวหลีลองสัมผัสดู

“ก็จริง แต่ข้าก็ยังกังวลนิดหน่อย” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“กังวลถือเป็นเรื่องธรรมดา ท่านพี่ ที่นี่คือโลกเซียน คนๆนั้นแค่มียศว่าซิงหวง” หลิวหลีย่อมเข้าใจดี หนานกงเวิ่นเทียนยังใส่ใจกับเรื่องนั้นอยู่

“ไม่คุยเรื่องนี้กันแล้ว น้องหญิง เมื่อไหร่เจ้าจะไปตามหาเพลิงเซียนชนิดสุดท้ายสักที” ฮูหยินของเขายังขาดเพลิงเซียนชนิดสุดท้ายอยู่ ตามหามันให้เจอโดยเร็วคงจะดีกว่า

“วันนั้นข้าลองแล้ว เมื่อถึงเวลามันจะปรากฏเอง จะใจร้อนไม่ได้ ยิ่งรีบมันก็จะยิ่งห่างข้าออกไปเรื่อยๆ พูดถึงความฉลาดของเพลิงเซียนแล้ว เจ้าเพลิงเซียนอันดับหนึ่งนี้เป็นตัวที่เฉลียวฉลาดที่สุด เพราะเพลิงอัคคีที่ข้าดูดซับที่โลกเบื้องล่างล้วนเป็นเพลิงอัคคีฟ้าดิน แม้จะอ่อนแอ แต่ก็มีเพียงหนึ่งเดียว มันจะค่อยๆพัฒนาจนแข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถต้านทานได้” หลิวหลีเชื่อมั่นในเพลิงสิบชนิดในร่างของตนมาก

“ก็จริง วาสนาจะมาเองโดยธรรมชาติ” หนานกงเวิ่นเทียนเชื่อในวาสนา วาสนาทำให้เขาได้มาเจอหลิวหลี เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง

“หลิวหลี เวิ่นเทียน แย่แล้ว ดินแดนนภาสุวรรณเกิดการจลาจลแล้ว” เอ๋าเลี่ยเดินเข้ามาและพูด

“เริ่มแล้วหรือ” หายนะฝั่งสุวรรณ เป็นอย่างที่คิดไว้เลย เยี่ยชิงขวง รอบนี้มาดูกันว่าใครจะมีฝีมือมากกว่ากัน

“ไร้สาระสิ้นดี พวกเผ่ามารรัตติกาลที่หลงเหลืออยู่กล้าดีอย่างไร ถึงมาทำตัวกำเริบเสิบสานในดินแดนนภาสุวรรณ ได้เห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่” จักรพรรดินภาสุวรรณฉุนเฉียว หายนะฝั่งสุวรรณ หรือว่าพวกเผ่ามารรัตติกาลที่หลงเหลืออยู่จะอยู่ที่ดินแดนนภาสุวรรณของเขา สีหน้าของจักรพรรดินภาสุวรรณคล้ำเขียว

“องค์จักรพรรดิ ข้ายินดีนำขุนนางเซียนและทหารสวรรค์ในตำหนักไปปราบปราม เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของวังนภาสุวรรณ” เยี่ยชิงขวงพูดขึ้น

“ไม่จำเป็น แค่พวกที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คน ไม่จำเป็นต้องให้จักรพรรดิเซียนอย่างเจ้าไปหรอก” จักรพรรดินภาสุวรรณส่ายหน้า

“ทูลฝ่าบาท ฝ่ายตรงข้ามจักรพรรดิมีจักรพรรดิเซียนอยู่ด้วยคนหนึ่ง” ทหารสอดแนมกลับมารายงานได้อย่างเหมาะเจาะ

“จักรพรรดิเซียนแบบเร่งรัด” จักรพรรดินภาสุวรรณเข้าใจทันที นี่คือจักรพรรดิเซียนแบบเร่งรัดที่หลิวหลีเคยพูดถึง ได้เจอสักที

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ชิงขวง เจ้าจงสั่งขุนนางเซียนและทหารสวรรค์ของเจ้า ให้จับพวกที่หลงเหลืออยู่นี้มาให้ได้ ประกาศความยิ่งใหญ่ของดินแดนนภาสุวรรณ” จักรพรรดิเห็นด้วยกับข้อเสนอของอีกฝ่าย

“ข้าจะทำให้สำเร็จ” เยี่ยชิงขวงปากรับคำ แต่ในใจกลับหัวเราะออกมา ดินแดนนภาสุวรรณ เจ้าต้องเป็นของข้า

เยี่ยชิงขวงจากไป จักรพรรดินภาสุวรรณเริ่มติดต่อกับจักรพรรดิคนอื่น

“ตอนนี้เผ่ามารรัตติกาลปรากฎตัวที่ดินแดนนภาสุวรรณของข้า แล้วยังมีจักรพรรดิเซียนไร้บรรดาศักดิ์ปรากฎตัวขึ้นแล้วก่อความวุ่นวาย” จักรพรรดินภาสุวรรณตรัส

“เป็นอย่างที่คิด เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาทำนายออกมาได้ถูกต้อง” จักรพรรดินีนภาธารากล่าว

“ข้าส่งชิงขวงไปปราบพวกมันแล้ว” จักรพรรดินภาสุวรรณกล่าว

“แย่แล้ว จักรพรรดินภาสุวรรณ รีบออกคำสั่งให้เปิดเขตแดนวังนภาสุวรรณ แล้วให้ทุกคนถอยกลับไปอยู่ในเขตปลอดภัย” อยู่ดีๆเสียงของหลิวหลีก็แทรกเข้ามา นางเข้าใจแผนของเยี่ยชิงขวงได้ทันที หากเยี่ยชิงขวงเป็นเจ้าตำหนัก แล้ว เช่นนั้นขุนนางเซียนและทหารสวรรค์ของเขาก็ล้วนเป็นคนเผ่ามารรัตติกาล ทันทีที่ปล่อยให้พวกมันทั้งหมดออกมาก็จะสามารถทำการใหญ่ได้ ทุกดินแดนจะวนตกอยู่ในอันตราย ส่วนดินแดนนภาสุวรรณก็จะตกอยู่ในอันตรายที่สุด

“จักรพรรดิเซียนหลิวหลี ท่านว่าอย่างไรนะ ชิงขวงแค่ไปปราบเผ่ามารรัตติกาลที่หลงเหลืออยู่ จะอันตรายไปได้อย่างไร?” จักรพรรดินภาสุวรรณไม่เชื่อ

“ฝ่าบาท ท่านทำผิดใหญ่หลวงแล้ว ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะส่งเยี่ยชิงขวงไป เขาคือราชาคนเดียวของเผ่ามารรัตติกาล ขุนนางเซียนและทหารสวรรค์ของเขาก็คือคนเผ่ามารรัตติกาล” คำพูดของหลิวหลีไม่ต่างอะไรกับระเบิด

“จักรพรรดิเซียนหลิวหลี เรื่องล้อเล่นนี้ไม่ขำเลยสักนิด” จักรพรรดินภาสุวรรณชะงักไป จักรพรรดิคนอื่นก็มีท่าทีเหลือเชื่อเช่นกัน

“หลิวหลีไม่ได้พูดล้อเล่น เป็นเรื่องจริง ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง” เสียงของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาแทรกเข้ามา

“เซียนหยั่งรู้ดวงชะตา เยี่ยชิงขวงนั่นเป็นเผ่ามารรัตติกาลจริงหรือ” จักรพรรดินภาสุวรรณรู้สึกเหมือนตนเป็นลิงที่โดนหลอก

“ถูกต้อง เป็นเรื่องจริง น่าจะเป็นสายเลือดราชาคนเก่า แต่จากนั้นเขาก็บรรลุขั้นพลังไม่หยุดหย่อน จนช่วงชิงสายเลือดราชวงศ์มาได้ จึงกลายเป็นพญามารคนใหม่” เสียงของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดังเข้ามาเพื่อยืนยัน

“เดาว่าสายโลหิตที่เหลืออยู่คงจะถูกหลิวหลีกับเวิ่นเทียนดูดซับไปแล้ว” เซียนหยั่งรู้ดวงชะตากล่าวต่อ

“ถูกต้อง และก็เป็นเพราะความพิเศษของสายเลือดนี้ ทำให้ข้าปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้” หลิวหลีพยักหน้า

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset