จริงๆ แล้วต่อให้เหยียนลิ่วหยวนไม่เตือนเจียงอู๋ เริ่นเสี่ยวซู่ก็กะจะไปหาเธอเองพรุ่งนี้อยู่แล้ว
แต่เขายังต้องกล่าวกับเจียงอู๋ให้ชัดเจน “ครูเจียงครับ ผมเกรงว่าป้อมปราการจะไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป พวกเราเลยเช่าบ้านล้อมสวนของที่นี่ไว้เตรียมหนี”
เจียงอู๋เอาผมทัดหู พูดอย่างนุ่มนวล “อืม เข้าใจแล้ว”
“ไม่มีอะไรจะถามผมเหรอครับ” เริ่นเสียวซู่สงสัย “อย่างเช่นว่ากำลังมีอันตรายอะไรมาเยือนกันแน่แล้วทำไมพวกเราก็ต้องหนีออกไป”
เจียงอู๋ยิ้ม “เธอคงมีเหตุผลอยู่แล้วแหละ ตอนนั้นพวกเราหนีรอดมาได้ก็เพราะตามเธอมา ในเมื่อเธอบอกว่ามันกำลังมีอัตราย ก็ไม่มีอะไรทำให้พวกเราไม่เชื่อเธอ”
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งวุ่นอยู่ทั้งวัน มีแต่คนสงสัยเขา ตอนนี้มีคนเชื่อเขาคนหนึ่ง ทำให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “ครูเจียง ครูไปพาพวกนักเรียนมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน แต่ผมขอแจ้งไว้ก่อนเลยนะ ที่บ้านมีที่ไม่พอ พวกครูต้องทำใจกับการต้องออกมานอนที่ลานบ้าน แถมตอนที่หนีกันทางผมจะไม่หาอาหารให้ พวกเราจะแยกกันหนี”
“อืม เข้าใจแล้ว” เจียงอู๋พยักหน้า
ถึงใจจริงเริ่นเสี่ยวซู่อยากจะช่วยเจียงอู๋ แต่ตอนหนี เขาไม่มีทางเสี่ยงเอาคนอื่นมาเป็นตัวถ่วงฝีเท้าตน
ตัวทดลองถึงกับทำให้หลัวหลานเตรียมเผ่นได้ พวกมันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยว่ามันอาจจะมีตัวทดลองจำนวนมากกว่าที่เขาคิด
ตอนนี้เจียงอู๋หันไปมองจักรยานหลายคันที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่จอดไว้ในลาน “คิดจะหนีโดยใช้จักรยานพวกนี้เหรอ”
“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ตอนหนีมันทำความเร็วได้ดีกว่า ยังไงพวกครูก็ตามเราไม่ทันหรอก”
ราคาจักรยานในป้อมปราการอยู่ที่คันละหลักพันหยวน ของที่ทำจากเหล็กในสมัยนี้ล้วนถือเป็นของมีค่า
ถึงโรงเรียนจะจ่ายค่าจ้างให้เจียงอู๋แล้ว พวกนักเรียนเองก็ได้เงินสนับสนุนจากการเข้าเรียน แต่ก็พอให้เธอซื้อข้าวของสำหรับเดินทางบางอย่างเท่านั้น ไม่พอสำหรับจะซื้อจักรยานหรอก
เจียงอู๋หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง เธออยากจะขอยืมเงิน แต่ใคร่ครวญอย่างไรก็ทำใจถามออกไปไม่ได้ เธอจะหาเหตุผลอะไรมาพูดจนเริ่นเสี่ยวซู่ให้ยืมเงินซื้อจักรยานล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่ง “จริงๆ ก็มีร้านจักรยานอยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรจากที่นี่อยู่ร้านหนึ่งนะ ตอนที่เกิดเรื่องในป้อม ครูค่อยไปขอยืมจักรยานเถ้าแก่ตอนนี้ก็ได้…”
เหยียนลิ่วหยวนผงะ “พี่ พี่มั่นใจนะว่า ‘ขอยืม’ น่ะ พี่คิดจะเอามาคืนเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ตอบ เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ผิด
เจียงอู๋ส่ายหน้า “แบบนั้นจะเป็นตัวอย่างไม่ดีกับพวกนักเรียน”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดอะไรอีก เจียงอู๋มีจิตคิดยุติธรรมเช่นนี้เขาคิดว่าไม่มีอะไรผิดเลย อย่างไรที่เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยเธอก่อนหน้าก็เพราะเธอ ‘มีประกาย’ เช่นนี้ไม่ใช่หรือ
แต่ก็อย่างว่า เริ่นเสี่ยวซู่ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
เจียงอู๋เอ่ย “ฉันรู้จักที่ที่เขาให้ยืมจักรยานอยู่นะ เช่าเก้าสิบหยวนต่อเดือน ที่ต้องทำก็ให้ใบแสดงตนกับเงินสามร้อยหยวนเป็นค่ามัดจำ แค่นี้”
เงินสามร้อยหยวนไม่พอสำหรับค่าจักรยานแน่นอน แต่มีใบแสดงตนของผู้เช่าไว้อยู่ พวกเขาก็ไม่กลัวจะถูกคนหนีไปพร้อมจักรยานแล้ว อย่างไรป้อมปราการก็ปิดการเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางจะหนีไปได้ด้วย นักเรียนของเจียงอู๋ได้เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินหกร้อยหยวน ดังนั้นเช่าจักรยานแล้วน่าจะมีเงินเหลือพอซื้อของจำเป็นสำหรับการหนี
อีกอย่าง ใบแสดงตนผู้พำนักของป้อมปราการ 109 จะกลายเป็นของไร้ค่าในอีกไม่ช้าด้วย
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังถามต่ออย่างสงสัยว่า “กรณีนี้ยืมกับเช่าแตกต่างกันยังไงเหรอ ยังไงพวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางคืนจักรยานได้”
เจียงอู๋พูดเสียงนุ่มนวล “แต่อย่างน้อยพวกเราก็ควรชดเชยให้ร้านสักหน่อยใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่หายคาใจ “แต่ก็ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับนักเรียนอยู่ดี”
เจียงอู๋พูดอย่างมุ่งมั่น “งั้นฉันจะไม่บอกพวกเขา”
เหยียนลิ่วหยวน “…”
หวังฟู่กุ้ย “…”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเจียงอู๋ ไม่รู้ว่าจะเรียกเธอเป็นคนจริงใจดีหรือเป็นคนย้อนแย้งดี
ตอนครูสาวพูด เริ่นเสี่ยวซู่เห็นความขัดแย้งในใจของเธอ
เจียงอู๋เป็นคนที่สอนอะไรไปก็ปฏิบัติตามนั้น ตอนที่หนีออกจากป้อมปราการ 109 พวกนักเรียนคงไม่รอดถ้าไม่ได้ความพยายามที่จะช่วยเหลืออย่างหนักจากเธอ
แต่ตอนนี้เจียงอู๋กลับยอมบิดหลักการของตนเพื่อให้นักเรียนได้มีอุปกรณ์ในการหลบหนีเอาตัวรอด
เธอบอกเรื่องนี้ให้พวกนักเรียนฟังไม่ได้ เธอตัดสินจะรับบาปกรรมนี้ไว้เอง เธออยากให้พวกนักเรียนมีรากฐานในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่ามันยากนักที่จะเรียกการกระทำในครั้งนี้ว่าโหดร้ายหรือน่าชื่นชม และเขาก็ไม่มีหน้าไปตัดสินอะไรได้ด้วย
เสียงหัวเราะแหลมดังมาในอากาศ “ก็แค่จักรยานยี่สิบกว่าคันเองไม่ใช่เหรอ พวกเราผู้ก่อจลาจลชื่นชมครูเจียงเป็นการส่วนตัว พวกเราจะสนับสนุนพวกครูด้วยจักรยานพวกนั้นเอง!”
เริ่นเสี่ยวซู่สะดุ้งหันขวับไปตามเสียง บ้านล้อมสวนแห่งนี้ไม่ได้เป็นบ้านเดี่ยวแต่ตั้งอยู่ติดกับบ้านล้อมสวนหลังอื่นๆ ดังนั้นข้างๆ กันจึงมีบ้านล้อมสวนอีกหลัง
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นลั่วซินอวี่ชะโงกหน้าขึ้นมาตรงกำแพงกั้นบ้าน เธอพูด “เริ่นเสี่ยวซู่ เห็นหน้าฉันแล้วตกใจกับดีใจไหม”
“เหอะๆ” เริ่นเสี่ยวซู่ใบหน้ามืดครึ้ม โครตตกใจเลยแม่คุณ! บ้านล้อมสวนที่เขาเช่ามาไปติดกับบ้านของลั่วซินอวี่กับหยางเสียวจิ่นเสียได้ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น!
.
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วว่าพวกเธอย้ายเข้ามาอยู่กันก่อน ตอนแรกเหล่าหวังอยากเช่าบ้านหลังติดกันแต่เจ้าของที่บอกว่าถูกเช่าไปแล้วในวันก่อนหน้านี้
เริ่นเสี่ยวซู่พลันตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่นอน กลุ่มอำนาจใหญ่ที่อยู่ในป้อมปราการน่าจะรู้อยู่แล้วว่าตัวทดลองกำลังมาที่นี่ เพราะอย่างนี้ทุกคนถึงมาอยู่ตรงนี้กันด้วยว่ามันเป็นจุดที่สะดวกที่สุดในการหนีแล้ว
ทุกคนต่างคิดเหมือนกันหมด!
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “หยางเสียวจิ่นไปไหนแล้วล่ะ”
“ฮี่ๆ” ลั่วซินอวี่หัวเราะแต่ไม่ได้ตอบอะไร
เสียงหัวเราะของเธอทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ไม่สุข ทำไมหัวเราะแปลกๆ แบบนั้น! เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “แถวนี้มีใครอยู่อีกหรือเปล่า”
“หลัวหลานกับคนของเขาก็อยู่ไม่ไกล” ลั่วซินอวี่แจง แล้วกล่าวว่า “คนของบริษัทหัวจ่งโดนนายจัดการไปแล้ว ที่นี่เลยไม่มีพวกบริษัทหัวจ่ง ส่วนพวกสมาคมตระกูลหยางอยู่ถนนถัดไปนี่เอง”
เป็นไปตามคาด ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด
ทันใดนั้นลั่วซินอวี่ก็ถาม “ทำไมไม่บอกก่อนว่านายทำฟันตงฟู่หนานหัก”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “เธอพยายามจะกัดคนแต่ฟันไม่แข็งพอน่ะสิ จะโทษใครได้เล่า ทำไมเหรอ ฟันไม่งอกมาใหม่เหรอไง”
ลั่วซินอวี่เบ้หน้า “ฟันนายหลุดออกมาแล้วงอกใหม่ได้เหรอไง ต่อแต่นี้ไปเธอต้องกลายเป็นมังสวิรัติแล้ว!”
มังสวิรัติ? เริ่นเสี่ยวซู่คิดตาม “มังสวิรัติ…คือเธอต้องดูดเลือดคนที่เป็นมนุษย์ผักอะนะ”
ลั่วซินอวี่เลิกคิ้ว มนุษย์ผักกะผีสิ! “ฉันหมายถึงเธอต้องดูดเลือดเฉพาะที่จากถูกเจาะออกมาก่อนแล้ว ไปกัดดูดเลือดเองไม่ได้”
“อ๋อ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้สึกผิด เขาหัวเราะ “งี้นี่เอง ให้เธอได้ลิ้มรสใหม่ๆ อย่างเลือดหมูเลือดวัวก็ไม่เลวนะ ถ้าเธอกินเลือดหมูมากๆ อาจจะแข็งแรงเหมือนหมูก็ได้!”
จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ลั่วซินอวี่ไม่ได้สงสารอะไรตงฟู่หนานเลย เพราะตงฟู่หนานก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว แต่พอเจอเริ่นเสี่ยวซู่พูดแบบนี้ ลั่วซินอวี่ก็อดรู้สึกสงสารเธอหน่อยๆ ไม่ได้