the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 176 พร้อมจะจรลี

หลังเริ่นเสี่ยวซู่แวะร้านทองไปสิบกว่าแห่ง เขาก็มีเงินสดในมือถึงสี่แสนสามหมื่นหยวน พูดตามตรง เงินที่ได้มาวันนี้เยอะกว่าที่เขาเคยมีมาตลอดสิบเจ็ดปีของชีวิตเสียอีก

เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกรวยขนาดนี้ เงินจำนวนนี้น่าจะเท่ากับเงินเก็บที่คนส่วนใหญ่ในป้อมปราการมี หรือไม่พวกเขาก็อาจจะไม่มีเท่าตนด้วยซ้ำ

ทันใดนั้นพระราชวังก็กล่าว [ตรวจพบว่าร่างต้นมีเงินเกินเงื่อนไขในการปลดล็อกสิทธิ์ช่องเก็บของขั้นต่อไป ต้องการปลดล็อกเลยหรือไม่]

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ตอนอยู่เขาจิ้งซานเขาปลดล็อกสิทธิ์ช่องเก็บของไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาใช้เงินสองหมื่นหยวนแลกช่องเก็บของขนาดหนึ่งตารางเมตร

ตอนก่อนนู้นเริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วว่าช่องเก็บของสามารถปลดล็อกเพิ่มได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่าขั้นต่อไปนั้นต้องใช้เงินเท่าไร จึงได้แต่รอจนพระราชวังแจ้งเตือนมา

และแล้วมันก็มาถึง

ไม่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะรักเงินมากแค่ไหน เขาก็ยังเข้าใจดีว่าการมีช่องเก็บของมากขึ้นนั้นสำคัญกว่ามีเงินมากขึ้น

แถมพวกเขาคิดจะหลบหนีออกจากป้อมปราการอยู่แล้ว ถ้าเขามีช่องเก็บของเพิ่ม เขาก็สามารถเติมเสบียงและน้ำสะอาดได้มากกว่าเดิม ถ้าเขาได้บังเอิญเจอซากเมืองเก่าอีก เขาค่อยไปหาทองเพิ่มที่นั่นเอาก็ได้

แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดไม่ออกคือทำไมพระราชวังถึงรับเงินทุกสกุลเลย จะใช้เงินของสมาคมตระกูลชิ่งหรือตระกูลหลี่ก็ได้หมด แต่ก็นะ พระราชวังอย่างเอ็งเอาเงินไปทำอะไรฟะ!

“บอกหน่อยได้ไหมว่าเอาเงินไปทำอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ถามในใจ

เสียงจากพระราชวังตอบ [ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล]

“นายแค่อิจฉาที่ฉันมีเงินมากสินะ” เริ่นถามต่อ

พระราชวังตอบ […ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล]

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ยอมแพ้ “รับเงินกงเต็กไหมอะ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก…

“เหอๆ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่พอใจ “เงินที่ธนาคารใต้พิภพออกไม่ถือว่าเป็นเงินเหรอ นายดูหมิ่นโลกเบื้องล่างงั้นสินะ”

ในใจเขาคิดว่าถ้าพระราชวังรับเงินกงเต็ก ป่านนี้เขาคงได้ช่องเก็บของขั้นสูงสุดไปแล้ว

น่าเสียดายจัง…

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รอช้า รีบพูดในใจว่า “ปลดล็อก!”

วินาทีต่อมา เขาก็เห็นว่าช่องเก็บของขนาดหนึ่งตารางเมตรตรงกำแพงนั้นขยายขนาด จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าเงินของตนจากสี่แสนสามหมื่นหยวนเหลือเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน!

เดี๋ยวก่อนนะ! เริ่นเสี่ยวซู่ตกตะลึง ทำไมเงินหายหวบไปเลยล่ะ

เขาสำรวจช่องเก็บของแล้วก็คำนวณคร่าวๆ ได้ว่าขนาดเพิ่มขึ้นอีกสิบห้าเท่า

หลังจากคำนวณในใจเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พอรู้แล้วว่าขนาดช่องเก็บของกับจำนวนเงินนั้นเท่ากันตลอด

ปลดล็อกหนึ่งตารางเมตรเท่ากับเงินสองหมื่นหยวน

ปลดล็อกสองตารางเมตรเท่ากับเงินสี่หมื่นหยวน

ปลดล็อกสี่ตารางเมตรเท่ากับเงินแปดหมื่นหยวน

ปลดล็อกแปดตารางเมตรเท่ากับเงินหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน

ดังนั้นคราวนี้เขาจึงจ่ายออกไปสองแสนแปดหมื่นหยวน ช่องเก็บของของเริ่นเสี่ยวซู่ก็เพิ่มเป็นขนาดสิบห้าตารางเมตร!

เริ่นเสี่ยวซู่เลียริมฝีมากอย่างพอใจ ไม่เลว!

ตอนนี้เขายังมีเงินเหลืออีกหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนกับตัว เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพอใช้ซื้อของสำหรับหนีได้!

รอบนี้พวกเขาเตรียมของสำหรับเดินทางอย่างพร้อมพรักจริงๆ แต่ถ้าอยากจะเอาตัวให้รอดในแดนรกร้าง คนเราต้องการอะไรบ้างล่ะ

เริ่นเสี่ยวซู่เข้าร้านขายของชำแล้วซื้อเกลือมาหลายสิบถุง นอกจากนี้ยังมีพวกน้ำตาล ฮาร์ดแทก และของจิปาถะอีกมากมาย พอเถ้าแก่ร้านเจอคนจ่ายหนักแบบนี้ก็ยิ้มแฉ่ง

เถ้าแก่ร้านยิ้ม “ซื้อเกลือ น้ำตาล แล้วอาหารไปเยอะแยะทำไมน่ะ คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อของพวกนี้หรอกนะ”

เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “เตรียมตัวเสียหน่อยไม่เสียหายหรอก”

เถ้าแก่ร้านหัวเราะ “ไม่กี่ปีก่อนมีคนพูดเหมือนเธอเลย พวกเขาบอกว่าในป้อมปราการไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ต้องเตรียมสบงเสบียงให้พร้อม สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนของเน่าเสียหมด เธอก็เห็นว่าป้อมปราการอยู่เป็นปกติมาหลายสิบปีนี่”

“แค่เตรียมตัวไว้ก่อนเฉยๆ” เริ่นเสี่ยวซู่มองหน้าเถ้าแก่

“เจ้าหนู ฉันแนะนำแบบจริงจังเลยนะ อย่าซื้อของพวกนี้มากไปเลยดีกว่า” เถ้าแก่ร้านแนะ “ถ้ามันเสียตอนอยู่ที่บ้านหมดจะทำยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเถ้าแก่คนนี้ใจดีมากจริงๆ แทนที่จะสนับสนุนให้คนซื้อเพิ่ม เขากลับแนะนำว่าอย่าซื้อเลยดีกว่า จะเสียเอาได้ แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะบอกว่าอีกไม่กี่วันในป้อมปราการจะเกิดเรื่องก็ไม่ได้หรอกมั้ง คนไม่มีทางเชื่อหรอก

พอเถ้าแก่เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังยืนกรานอยู่เขาก็ยอมแพ้ หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่จ่ายเงินแล้วออกจากร้านไปแล้ว เถ้าแก่ก็คุยกับผู้ช่วยแกมหัวเราะว่า “ฉันว่าเจ้าหนูนั่นสมองกู่ไม่กลับแล้วล่ะ เดี๋ยวคอยดูนะ ซื้อของไปตุนที่บ้านเป็นสิบๆ ปีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกกับป้อมหรอก”

ภาพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ร้านขายของชำ ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ไปซื้อยาทีร้านขายยาก็เกิดภาพเดิม ผู้ดูแลร้านไม่เข้าใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะซื้อยาไปเยอะแยะทำไม

ยาที่เริ่นเสี่ยวซู่ซื้อล้วนเป็นยาจำเป็นสำหรับพวกตน ยาแก้อักเสบไม่ต้องซื้อแล้ว แต่ยาปฏิชีวนะอย่างบาวิรินต้องมีประโยชน์แน่ นอกจากนี้ยังมียาต้านเชื้อราอย่างคีโตโคนาโซลและยาแก้ท้องเสียอย่างไดออสเมกไทต์ที่ล้วนจำเป็นต่อการผจญในแดนรกร้าง

พวกยาแก้ท้องเสียนั้นสำคัญเป็นพิเศษ ถ้าไม่ดูอาหารที่เข้าปากให้ดี คุณอาจจะต้องถ่ายท้องวันละยี่สิบครั้งจนถึงแก่ชีวิตก็ได้

นอกจากนี้ยังต้องการอุปกรณ์อย่างค้อน เลื่อน พลั่ว คีม เชือก ถังพลาสติก กระดาษชำระ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่…

กระเป๋าอีกหลายใบ ไม้ขีดไฟอีกหลายกล่อง เข็มทิศหลายอัน และผ้าห่มหลายผืน

เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เวลาทั้งวันซื้อของที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดในแดนรกร้าง ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในแดนรกร้างเลย คงนึกว่าต้องพกแค่พวกอาหาร น้ำ มีด และของจิปาถะธรรมดาๆ อื่นๆ แต่พอพวกเขาได้เข้าไปแดนรกร้างจริงๆ แล้ว ก็อาจจะตื่นตระหนกตกใจไปเลยก็ได้

แค่วันนี้วันเดียว เริ่นเสี่ยวซู่ที่ซื้อของมาปริมาณมหาศาลจนโดนคนเพ่งเล็งสุดๆ แต่เขาก็บอกเหตุผลที่ซื้อไปแล้วนี่

เขาไม่ได้กลับไปที่ร้านตัวเอง แต่ขึ้นรถรางตรงกลับบ้านล้อมสวนตรงตะวันตกที่สุดของป้อมปราการ เหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว

ตอนที่นั่งบนรถรางอยู่นั้น เขาก็ได้ยินชายหนุ่มกำลังคุยเรื่องเทศกาลดนตรีเล็กๆ ที่จะจัดในอีกไม่กี่วัน จากที่เขาพูด เหมือนจะมีหนุ่มหล่อสาวสวยมาแสดงด้วย

มีคนกำลังซุบซิบเรื่องดารากัน พวกเขาคุยกันเรื่องดาราสาวที่ชื่อจือเหลียวชอบทำอาหาร หรือดาราสาวอีกคนที่ชื่อฟางอวี้จิ้งเคยเรียนวิชายาจีนมาก่อน

รถรางเคลื่อนไปท่ามกลางอาทิตย์อัสดง สำแสงสีเหลืองทองจากฟากฟ้าสาดส่องลงมาผ่านช่องว่างของหมู่เมฆ เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่เข้าพวกกับของอย่าง ‘เทศกาลดนตรี’ หรืออะไรพวกนั้นเลย

ความครึกครื้นและสงบสุขนั้นกำลังถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่สังเกตสิ่งรอบกาย เขารู้ดีว่าตัวทดลองกำลังมา และก็รู้ว่าองค์กรทรงอำนาจต่างๆ กำลังมาประกาศสงครามกับสมาคมตระกูลหลี่ภายในสามวัน เขาต้องเตรียมพร้อมให้ดี

พอถึงตอนนั้นทั่วทั้งป้อมปราการจะตกอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ตรม กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็มั่นใจว่าตัวเองจะช่วงชิงประโยชน์เหนือผู้อื่นได้

แต่พอคิดว่าจะมีคนต้องตายไปมากมายแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรยินดีเลย

อย่างไรโลกนี้ก็แปดเปื้อนไปด้วยสีแห่งความทุกข์อยู่แล้ว

พอเขามาถึงบ้านล้อมสวนที่เช่าไว้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็นิ่งอึ้งไป เจียงอู๋อยู่ที่นี้ด้วย

เหยียนลิ่วหยวนกระซิบบอกเริ่นเสี่ยวซู่ “ผมพาครูเจียงอู๋มาด้วย คนอื่นไม่เป็นไร แต่ยังไงเราก็ต้องเตือนครูเจียงกับนักเรียนของเธอหน่อยนะพี่”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ขยี้ผมเหยียนลิ่วหยวน “ทำถูกแล้วล่ะ”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset