เมื่อลืมตาอีกครั้ง เสียงข่มขู่และอ้อนวอนในใจไคลน์อันตรธานหายไป ตรงหน้ามีเพียงเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่แผดเผาอย่างเงียบงันบนเทียนไขสีดำ
ชายหนุ่มตรวจสอบสภาพวิญญาณดาราของตนอย่างถี่ถ้วน ยืนยันว่าร่องรอยความสับสนหายไปแล้ว สีของออร่ากลับไปเป็นบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างดำเหมือนในตอนแรก
จบปัญหาสักที… ไคลน์ถอนหายใจพลางลดคทาเทพสมุทรลง ดีดนิ้วเพื่อดับเทียนไขจิตฝันร้าย
มันไม่รีบกลับสู่โลกความจริง ยังคงนั่งเงียบๆ เหนือมิติสายหมอกไปอีกสักพัก คอยขจัดอารมณ์ด้านลบที่ยังหลงเหลือท่ามกลางสถานที่เงียบสงบ
หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ดังกล่าว ไคลน์เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเส้นทางผู้วิเศษต้องคอยต่อสู้กับความบ้าคลั่งและอันตรายอยู่เสมอ สำหรับผู้วิเศษทุกคน หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย หรือไม่ก็ถูกอิทธิพลจากสิ่งรอบข้างกระตุ้น ก็อาจเผชิญภาวะคลุ้มคลั่งหรืออาการทางจิตได้ง่ายดาย และเมื่อร่างกายส่งสัญญาณความผิดปรกติ หากไม่แก้ไขให้ทันเวลา ปัญหาจะลุกลามจนจัดการได้ยาก
บุคลิกภาพรองเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก… ส่วนหนึ่งคงเพราะเราคือนักเดินทางข้ามโลก ความทรงจำและอารมณ์บางส่วนผสมกับเข้าไคลน์·โมเร็ตติ โดยธรรมชาติแล้ว จิตใต้สำนึกของตัวเองย่อมอยากแยกออกจากกัน… นอกจากนั้น เพื่อขโมยสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัส เราต้องสวมบทบาทเป็นดอน·ดันเตสผู้เดินบนขอบเหวตลอดเวลา เผชิญอาการเครียดอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถูกผู้คุมที่คลุ้มคลั่งกัดกร่อนวิญญาณ ปัญหาจึงปะทุลุกลามขึ้นมาทันที… ไคลน์เลื่อนมือลูบขมับ ร่างกายเลือนหายไปจากมิติเหนือสายหมอก
เมื่อกลับเข้าร่างเนื้อ ไคลน์พบว่าตัวเองผ่อนคลายและปลอดโปร่งกว่าเดิมมาก ประหนึ่งกระจกที่เคยมีฝุ่นเกาะหนาถูกทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน นอกจากนั้น โอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ ที่เพิ่มเข้ามาในร่างกายก็ยังถูกย่อยโดยสมบูรณ์
บุคลิกรองเกิดจากการสั่งสมของอาการทางจิตเก่าๆ การแก้ไขปัญหาด้วยเทียนไขจิตฝันร้ายนั้นเทียบได้กับการรักษาจากนักจิตวิเคราะห์มือฉมัง คงไม่เกิดปัญหาเดิมซ้ำภายในเวลาสั้นๆ แต่ก็ห้ามประมาทเด็ดขาด ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมของตัวเอง… ไคลน์เดินออกจากห้องน้ำ ตรงไปยังระเบียง มองเห็นภูเขาระยะไกลและต้นไม้เขียวขจี เป็นภาพที่งดงามและสบายตา
ชายหนุ่มพบว่า ระดับการตระหนักรู้ของตนลึกซึ้งขึ้นกว่าแต่ก่อน ความรู้สึกท้อแท้ที่เคยมีมานานบรรเทาลงไปหลายส่วน
ไม่คิดว่าการเอาชนะบุคลิกรอง จะช่วยมอบประโยชน์ในแง่มุมนี้ด้วย… หากไม่ใช่เพราะว่าบุคลิกรองมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งขึ้นและรับมือได้ยาก เราคงคิดจะสร้างบุคลิกรองอีกสักสองสามครั้งและฆ่า ‘ตัวเอง’ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในเชิงบวก… ไคลน์ส่ายหน้าและยิ้ม หัวเราะกับตัวเอง
ว่ากันตามตรง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาการหลายบุคลิกถือเป็นเรื่องที่อันตรายและแก้ไขได้ยาก แต่ในกรณีของไคลน์ มันทราบว่าจะหาเทียนไขจิตฝันร้ายได้จากที่ไหน ทราบวิธีรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ทราบถึงแก่นของปัญหาและรีบถอนรากถอนโคนโดยไม่ปล่อยให้ลุกลามใหญ่โต ไม่อย่างนั้น อาการคงพัฒนาไปอยู่ในระดับเดียวกับบิชอปยูทรอฟสกี้ในอดีต ปลายทางคือภาวะคลุ้มคลั่งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
และเหนือสิ่งอื่นใด เรายังมี ‘นักจิตบำบัด’ ส่วนตัว… ไคลน์หัวเราะในลำคอ เดินกลับเข้าห้องอย่างไม่รีบร้อน นั่งลงบนเก้าอี้เอนหลัง
ชายหนุ่มนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างวัน จำแนกประเด็นที่ต้องคอยระวังในอนาคต
หากผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทาง ‘ผู้ไร้หลับ’ คลุ้มคลั่ง จะมีพลังในการดึงคนเข้าสู่ความฝันและกัดกร่อนจิตใจโดยตรง ต้องคอยระวังในอนาคต…
หากไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับสูง ผู้วิเศษส่วนใหญ่ของเส้นทางอื่นทำแบบนี้ไม่ได้… อย่างมากก็แค่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด โจมตีหรือตรึงเป้าหมายด้วยพลังพิเศษจากโอสถ มิได้ถ่ายทอดการกัดกร่อนทางจิตของตัวเองให้ใคร…
นอกจากผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทางผู้ไร้หลับ ผู้วิเศษคลุ้มคลั่งจากเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ก็น่าจะทำได้เช่นกัน… หากเผชิญหน้ากับศัตรูประเภทนี้และไม่รีบจำกัดให้สิ้นซาก แม้แต่เราก็ยังไม่มีวิธีรับมือกับอันตรายที่อาจตามมา… ทั้งที่เรารู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับอาการของผู้คุม แถมยังรู้ด้วยว่าพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของแก่นผนึกในบางแง่มุม แต่กลับหลีกเลี่ยงปัญหาไม่พ้น… ถ้าอยากจะลอบเข้าไปด้านในประตูยานิส เราต้องจำลองการถูกผนึกกัดกร่อนให้แนบเนียน จะได้ไม่ถูกพบความผิดปรกติ… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก แต่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบปากกาขึ้นมาวาดสัญลักษณ์ของความลับและการแอบมองลงบนกระดาษสีขาว
มันเตรียมอัญเชิญกระจกวิเศษ ‘อาโรเดส’
ทันใดนั้น คลื่นน้ำมายากระเพื่อมขึ้นบนผิวกระจกบานใหญ่ในห้องนอน แสงสีเงินสว่างขึ้นพร้อมกับเรียงตัวเป็นข้อความภาษาโลเอ็น
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยม อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตน พร้อมจะรับใช้ท่านแล้ว… พฤติกรรมของข้าในครั้งก่อนได้ทำให้ภาพลักษณ์ของนายท่านต้องมัวหมอง ข…ข้าอับอายและรู้สึกผิดมาก ท่านจะยอมรับคำขอโทษหรือไม่?”
โฮ่… รู้ด้วยว่าตัวเองทำผิด… ไคลน์ ‘อืม’ ในลำคอและกล่าว
“อย่าทำผิดซ้ำเดิมอีก”
“ขอรับ!” ประโยคใหม่พรั่งพรูบนผิวกระจกเต็มบาน “นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ?”
“เรามีคำถาม” ไคลน์กล่าวหลังจากครุ่นคิด “ผู้คุมภายในประตูยานิสของโบสถ์รัตติกาลถูกกัดกร่อนโดยพลังของแก่นผนึก เป็นสภาวะที่แตกต่างจากผู้วิเศษทั่วไป มีวิธีใดบ้างที่จะปลอมตัวเป็นพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ?”
อักษรสีเงินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นข้อความใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ สำหรับคำถามของท่าน คำตอบมีวิธีเดียวก็คือ เสียสละหุ่นเชิดของนายท่านหนึ่งตัว ปล่อยให้มันถูกแก่นผนึกกัดกร่อนจนมีสถานะเหมือนผู้คุมเหล่านั้น ขณะปลอมตัวก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเพื่อตบตาแก่นผนึก”
ทำแบบนั้นได้ด้วย? แนวคิดน่าสนใจ… แต่หุ่นเชิดซึ่งเป็นลำดับ 5 ‘วิญญาณอาฆาต’ คือสิ่งที่ถึงจะมีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้… หากหวังครอบครองสูตรโอสถและวัตถุดิบลำดับครึ่งเทพ ก็ต้องยอมเสียสละสิ่งสำคัญสินะ… ไคลน์ใช้ความคิดสักพัก
“ถ้าอย่างนั้น จะทำให้หุ่นเชิดถูกกัดกร่อนได้ด้วยวิธีใด?”
โดยทั่วไปแล้ว หุ่นเชิด ‘วิญญาณอาฆาต’ นั้นแทบไม่มีโอกาสเข้าใกล้ประตูยานิส ไม่แม้แต่โถงสวดมนต์หลัก เพราะจะถูกแก่นผนึกตรวจพบและทำลายทิ้งในทันที!
ผิวกระจกเงาเต็มบานสั่นกระเพื่อมในลักษณะคลื่นน้ำ ตามด้วยการฉายภาพหนึ่ง
บุคคลดังกล่าวสวมหมวกคลุมหน้าแบบเก่า รูปร่างสูง ผมยาวสีเกาลัด ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต
“นายท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากเธอได้” อาโรเดสเรียบเรียงคำเพื่ออธิบาย
เป็นเธอ? ราชินีเงื่อนงำไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทางรัตติกาลสักหน่อย จะช่วยเราได้ยังไง? หรือว่าเธอมีสมบัติปิดผนึกของเส้นทางรัตติกาลที่คล้ายคลึงกับแก่นผนึกด้านหลังประตูยานิส? จริงสิ พลเรือเอกดวงดาวปรารถนาเลือดของสัตว์ในตำนานหนึ่งหยด นอกจากจะต้องมอบสิ่งตอบแทนที่วิล·อัสตินพึงพอใจ เธอยังต้องจ่ายค่านายหน้าให้เราด้วย… และสิ่งนี้คือค่านายหน้า! ไคลน์ผงกศีรษะพลางใช้ความคิดเป็นเวลานาน
“ทำได้ดี เจ้ากลับไปได้”
“ขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยม อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน จะรอการเรียกใช้งานจากท่านอีกครั้ง” ขณะตัวอักษรสีเงินปรากฏขึ้น อาโรเดสวาดภาพมือที่กำลังโบกผ้าเช็ดหน้าบนกระจก
มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก
…
เขตตะวันตก ภายในคฤหาสน์ของตระกูลโอดรา
เอ็มลิน·ไวท์ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ สุ่มนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวในห้องรับแขก
ฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง รุส·บาโธรี บารอนผีดูดเลือดอีกหนึ่งตน กำลังถือแก้วไวน์ที่เต็มไปด้วยเลือดสด จ้องมาทางเอ็มลินด้วยดวงตาเหยียดหยัน เจือความเกลียดชังโดยไม่ปิดบัง – ขณะรุส·บาโธรีกำลังไล่ล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาลรายแรก ไม่เพียงจะลงเอยด้วยอาการบาดเจ็บ แต่ยังถูกเอ็มลินขโมยผลงาน
ยิ่งทำตัวแบบนี้ ข้าก็ยิ่งมีความสุข… เอ็มลินยิ้มเยาะ มองไปทางด้านข้างซึ่งคาซีมี·โอดรากำลังเปิดประตูเข้ามา รอให้อีกฝ่ายประกาศผลและแจกรางวัล
คาซีมีพยายามไม่สนใจสายตาของเอ็มลิน เดินตรงไปที่หน้าเตาผิงซึ่งมีกลุ่มผีดูดเลือดรออยู่
“ที่ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่ เพราะการแข่งล่าได้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว”
ใครกัน? ผีดูดเลือดต่างมองหน้ากันและกัน พยายามเดาว่าใครคือผู้ชนะ
ทุกสายตาค่อยๆ จดจ้องไปยังรุส·บาโธรี มีไม่กี่คนที่คิดว่าเป็นเอ็มลิน·ไวท์ และจากบรรดาทั้งหมด มีเพียงรุส·บาโธรีคนเดียวที่พอจะคาดเดาบางสิ่งได้ รีบจ้องไปทางผีดูดเลือดที่มันเกลียดชังด้วยสายตาประหลาดใจ
คาซีมีถอนหายใจเงียบ
“เอ็มลิน·ไวท์จัดการเป้าหมายไปแล้วสามตน จึงได้รับชัยชนะไปโดยปริยาย”
“อะไรนะ?” บรรดาผีดูดเลือดโพล่งขึ้นด้วยความตกตะลึง
ผีดูดเลือดมีจำนวนประชากรน้อยกว่ามนุษย์มาก และในเบ็คลันด์ก็เป็นเพียงส่วนเดียวของทั้งหมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี
เอ็มลินเป็นผีดูดเลือดประเภทใด ไม่มีใครที่ไม่ทราบเรื่องนี้!
………………………………………….