ไคลน์พลันผงะ ก่อนจะหมุนตัวครึ่งรอบเนื่องจากไม่ต้องการหันหลังให้เลโอมาสต์ ผู้กำลังยืนสั่นระริกด้วยความกลัวภายในห้องเก็บของ
มันไม่มั่นใจอีกต่อไปว่า ‘นักโทษ’ ที่สวมเสื้อคลุมลินินผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ปรกติ!
ขณะเดียวกัน อัศวินตาแดงที่สวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกและมีใบหน้าเหมือนกับเลโอมาสต์ทุกประการ ยกแขนง้างดาบใหญ่ยาวไปด้านหลัง
ตึง!
มันก้าวเท้ามาด้านหน้าและเหวี่ยงดาบอย่างรวดเร็วจนไคลน์มองตามไม่ทัน
ไคลน์ที่กำลังหันหน้าให้อีกฝ่าย รีบยกคทาเทพสมุทรขึ้นตามสัญชาตญาณพร้อมกับทำให้อัญมณีสีน้ำเงินเปล่งแสง
ฟ้าว!
พายุเฮอร์ริเคนพลันก่อตัวจากความว่างเปล่ารอบไคลน์ ช่วยปกป้องตัวมันที่กำลังยืนอยู่ ณ ใจกลางตาพายุ
ฟุ่บ! ลำแสงสีดำตัดผ่าอากาศ วังวนสายลมเริ่มสลายตัวทีละชั้นพร้อมกับกระจัดกระจายออกไปทุกทิศ ส่งผลให้ห้องโถงด้านนอกสั่นสะเทือนหนักหน่วง
บึ้ม!
ด้วยอำนาจของดาบใหญ่สีดำ พายุเฮอร์ริเคนส่งเสียงระเบิดคำราม ณ ใจกลางและแปรสภาพกลายเป็นคลื่นอัดอากาศแผ่ไปรอบตัว เศษข้าวของเครื่องใช้ปลิวลอยกระจัดกระจาย
การปะทะอย่างดุเดือดส่งผลให้โลกความฝันถูกสั่นคลอน สติไคลน์เริ่มหลุดลอย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลิ้งตัวหลบสองตลบ
ตุ้บ!
มันตกจากเตียงนอนลงมายังพื้นห้องโดยสาร จากนั้นก็ลืมตา
นักบุญมืดเก่งกาจสมชื่อ… หรือควรพูดใหม่ว่า เป็นเพราะเราไม่เคยใช้คทาเทพสมุทรบนโลกความจริงมาก่อน จึงจินตนาการพลังของมันไม่ออก ส่งผลให้ดึงประสิทธิภาพออกมาไม่ได้เต็มที่ในความฝัน… เดี๋ยวนะ… นี่ยังกลางคืนอยู่! ไคลน์เพิ่งตระหนักถึงปัญหา
แสงแดดยามเที่ยงยังไม่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง!
มันตื่นขึ้นเพราะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักในความฝัน มิใช่การตื่นตามธรรมชาติ!
หรือก็คือ ไคลน์ต้องรีบทำให้ตัวเองหลับ ไม่อย่างนั้นอาจได้อันตรธานหายไปในค่ำคืนอันมืดมิดโดยที่ไม่มีใครพบตัวอีกเลย!
หลังจากความคิดข้างต้นเล่นผ่าน ไคลน์ตัดสินใจดันมือขวาลงบนพื้น ดีดตัวขึ้น ลอยกลับมาอยู่บนเตียงในท่านอน
มันรีบจินตนาการภาพวัตถุทรงกลมซ้อนทับหลายชั้น ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงความฝันอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้น ไคลน์เหลือบมองไปนอกหน้าต่างและพบกับบรรยากาศยามค่ำคืนอันมืดมิด หนาวเหน็บ และเงียบสงัด ปราศจากกลิ่นอายความชั่วร้าย
ในเวลาเดียวกัน มันมองเห็นอย่างเลือนรางว่า บนท้องทะเลในจุดห่างไกลจากเรือ มีกลุ่มหมอกจับตัวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ใจกลางทะเลหมอกมียอดวิหารแหลมสภาพเก่าแก่ สีดำล้วน ปราศจากหอระฆัง ด้านบนมีอีกาดำลอยอยู่ คล้ายกับกำลังประกอบพิธีกรรมรำลึกถึงบางสิ่ง หรือไม่ก็ไว้ทุกข์ให้กับบางสิ่ง
รอบวิหารยังมีอาคารอีกหลายแห่ง ทั้งบ้านสองชั้นทั่วไป บ้านไม้เรียบง่าย ร้านขนมปังที่มาพร้อมป้ายแขวน รวมถึงโรงสีข้าวสีขาวอมเทาขับเคลื่อนด้วยพลังกังหันน้ำ… ผู้คนเดินผ่านไปมาตามท้องถนน เงารางลึกลับ ยากจะทราบถึงสถานการณ์ที่แน่ชัด
ภาพลวงตา? นั่นคือต้นตอของอันตรายในยามกลางคืน? ผู้สูญหายทั้งหมดถูกพาตัวไปยังที่ใดสักแห่งโดยปราศจากสติ? เมื่อไคลน์ตื่นขึ้นอีกครั้งในโลกความฝัน คำถามที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า ล้วนถูกส่งต่อมาถึงปัจจุบันผ่านจิตใต้สำนึก
ชายหนุ่มรวบรวมสติ อัญเชิญคทาเทพสมุทรออกจาก ‘เขตพิเศษภายในโลกวิญญาณ’ !
มันยังไม่ลืมว่า ในนโลกความฝันคราวก่อน ตนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับนักบุญมืด!
จากนั้น แสงสว่างสีทองสลัวเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองของไคลน์ ทัศนวิสัยชายหนุ่มพลันกลับมาสว่างไสวและชัดแจ้ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นตรงหน้ามิใช่อัศวินร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำ มิใช่เลโอมาสต์ในเสื้อคลุมลินิน หากแต่เป็นกระจกหน้าต่างฝรั่งเศสเต็มบานสูงจากพื้นจรดเพดาน ด้านนอกมีแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ
หน้าต่างใสสะอาดหมดจด ช่วยให้เห็นแสงแดดอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด
ใกล้กันกับหน้าต่างคือโต๊ะยาวลายไม้และเก้าอี้สีน้ำตาล รวมไปถึงชั้นหนังสือหลายแถวที่เต็มไปด้วยหนังสือจำนวนมาก
ห้องสมุด? หรือหอสมุด? ทุกครั้งที่เราเข้าสู่ความฝันจะถูกสุ่มจุดเริ่มต้น? ไคลน์สำรวจรอบตัวอย่างไม่ประมาท จนกระทั่งยืนยันได้ว่าปลอดภัย ปราศจากนักบุญมืดหรือสัตว์ประหลาดอันตราย
ชายหนุ่มถือคทาเทพสมุทรเดินมาทางหน้าต่างฝรั่งเศส กวาดตาตรวจสอบโดยรอบ
สิ่งที่เตะตาที่สุดคือทิวแถวอาคารหรูหราฝั่งตรงข้ามซึ่งมีอาณาเขตปกคลุมยอดเขาทั้งลูก ไม่ว่าจะพระราชวังขนาดมหึมา หอคอยยอดแหลม หรือกำแพงเมืองเด่นสง่า ล้วนอยู่ในสภาพหยุดนิ่งคล้ายกับกระแสเวลาถูกแช่แข็ง งดงามจนมิอาจบรรยายให้เห็นภาพชัด
ถึงจะเคยเห็นมาก่อนแล้ว แต่ไคลน์ก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ สายตาดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันน่าหลงใหลอย่างเงียบงันนานหลายวินาที
จากนั้น มันเบือนหน้าไปทางผาชันและได้พบกับกำแพงสูงของอารามสีดำ มองเห็นต้นไม้เหี่ยวเฉาข้างหินก้อนใหญ่ แต่เนื่องจากมีอุปสรรคบดบัง จึงยืนยันไม่ได้ว่าพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ยังอยู่ในจุดเดิมหรือไม่
ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า ตัวเราจะถูกสุ่มจุดเริ่มต้นจากขอบเขตที่กำหนด นอกเหนือจากนั้นไม่ได้… เรากำลังอยู่ที่ใดสักแห่งลึกเข้าไปในอารามสีดำ? ไคลน์ถอนสายตาพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ย่างกรายไปทางชั้นหนังสือ
มันยังไม่ว่างวิเคราะห์เหตุการณ์เกี่ยวกับนักบุญมืดและเลโอมาสต์ เนื่องจากต้องตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันให้แน่ชัดเสียก่อน
เมื่อเข้าใกล้ชั้นหนังสือ ไคลน์พบว่าหนังสือแต่ละเล่มล้วนมีชื่อเขียนไว้อย่างเด่นชัด ไม่เหมือนกับภาพความฝันตามปรกติที่มักคลุมเครือ
‘จิตวิญญาณแห่งชีวิต’ ‘หนังสือแห่งยันต์’ ‘บุปผาแห่งจิต’ ‘ทุกซอกมุมจักรวาลและผืนนภาพราวพรายที่แท้จริง’ … ทั้งหมดคือหนังสือศาสตร์เร้นลับ… ไคลน์เหยียดแขนออกไปหยิบด้วยความระมัดระวัง โดยเจาะจงเลือกดึง ‘หนังสือแห่งยันต์’ ออกมา
มันกวาดตาอ่านด้วยความเร็วสูงและพบว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ตนทราบดีอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็มีบางจุดที่ไม่เคยได้ทราบมาก่อน
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความฝันของเรา… ของมาดามเฮอร์มิท? มวลความรู้ที่เธอไล่ล่ามาตลอดชีวิตถูกฝังอยู่ในหอสมุดของอารามสีดำ? ไคลน์ผู้ไม่ต้องการออกไปสำรวจด้านนอก นำหนังสือแห่งยันต์ติดมือเดินไปยังริมหน้าต่างฝรั่งเศส นั่งลงและอ่านอย่างละเอียดท่ามกลางแสงแดดสนธยา
แม้กระทั่งในความฝัน มนุษย์ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้! ชายหนุ่มหยิบปากกากับกระดาษพลางพึมพำ ก่อนจะลงมือขีดเขียน
ขณะสมาธิกำลังดำดิ่ง แสงสว่างพลันปกคลุมทัศนวิสัยโดยสมบูรณ์
ไคลน์ลืมตาตื่นขึ้นตามธรรมชาติ ผิวหนังสัมผัสถึงแสงแดดอบอุ่นจากภายนอก
“เพิ่งอ่านไปได้ไม่กี่หน้า… เรากำลังจะเร่งความเร็วแล้วค่อยใช้พลังทำนายฝันย้อนศึกษาข้อมูลในภายหลังอยู่พอดี…” ไคลน์ลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ คล้ายกับตนปล่อยให้ข้อมูลสำคัญหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา ไม่มีทางทราบได้เลยว่า ความฝันครั้งหน้าจะถูกสุ่มให้เริ่มต้นภายในหอสมุดของอารามสีดำอีกหรือไม่
ชายหนุ่มลูบผมเล็กน้อย สวมหมวก เดินตรงไปยังดาดฟ้าเรือและกวาดสายตาพลางครุ่นคิดถึงความฝันก่อนหน้า
คุกนั่นจะอยู่ภายในอารามสีดำ… ไม่ผิดแน่.. คงเป็นใต้ดิน… หรือสามารถอนุมานได้ว่า นักบุญมืดกับเลโอมาสต์คงอยู่ในซากปรักหักพังสักแห่งซึ่งไม่ไกลจากที่นี่…
เข้าใจแล้วว่าทำไมอสรพิษปรอท วิล·อัสติน ถึงกำชับว่าห้ามเดินสำรวจ ดินแดนภายในโลกความฝันช่างเต็มไปด้วยภัยอันตราย!
แต่น่าแปลกแปลก เหตุใดนักบุญมืดถึงมีหน้าตาเหมือนเลโอมาสต์ยังกับแกะ? ไม่เพียงเท่านั้น กระจกเงาเต็มบานยังแฝงไปด้วยความชั่วร้ายและลึกลับ ถึงขนาดจำลองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกมาได้อย่างสมจริง…
คิดมาถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มนำไปเทียบกับประสบการณ์ในอดีต อาศัยจุดที่แตกต่างเพื่อนำไปวิเคราะห์หาความจริง
สิ่งนี้เรียกว่า การนำประสบการณ์มาใช้อย่างชาญฉลาด
เพียงไม่นาน มันฉุกคิดถึงบางเหตุการณ์ในกรุงเบ็คลันด์ นั่นคือการใช้งาน ‘เทียนไขจิตฝันร้าย’ เพื่อช่วยหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำจัดตัวตนในอดีต—อีกหนึ่งบุคลิกในใจ!
หรือแท้จริงแล้ว เลโอมาสต์จะเป็นนักบุญมืดแห่งชุมนุมแสงเหนือ?
และด้วยเหตุผลบางประการ บุคลิกของมันถูกแยกออกเป็นดีกับชั่ว? คุกมืดปิดตายนั่นคือความฝันของมัน?
ไม่ผิดแน่… ต้องเป็นเพราะกระจกเงาบานนั้น! เลโอมาสต์กล่าวว่า หากกระจกเงาถูกทำลาย ตัวมันก็จะหายไป และเมื่อเราจ้องกระจก บุคลิกด้านชั่วร้ายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ถือกำเนิด…
เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด หลังจากเราฆ่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในกระจก ถึงได้เกิดความรู้สึกเหมือนช่วงเวลานักปราชญ์ชั่วขณะ เพราะจิตชั่วร้ายในตัวเราได้ถูกขจัดออก…
หืม… กระจกบานนั้นอาจไม่มีตัวตนบนโลกความจริงก็ได้… เห็นได้ชัดว่าท้องทะเลแถบนี้เศษเสี้ยวของพลัง ‘นักสร้างฝัน’ หลงเหลืออย่างเจือจาง และนั่นคือต้นเหตุของสัตว์วิเศษปลอมจำนวนมากที่เข่นฆ่ามนุษย์ไปนับไม่ถ้วน… ถ้าเป็นเส้นทางผู้ชม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีพลังในการแยกแยะบุคลิกด้านร้ายและดีออกจากกัน…
ฮะฮะ! ยังต้องสงสัยอะไรอีก นักบุญมืดเลโอมาสต์คือสมาชิกระดับสูงของชุมนุมแสงเหนือ มันต้องไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว! หลังจากซากปรักหักพังหรือสมบัติวิเศษสักชนิดดึงอุปนิสัยด้านตรงข้ามออกมา บุคลิกด้านดีและชั่วจึงแยกออกจากกัน ส่งผลให้เลโอมาสต์ถูกกักขังไว้ที่ใดสักแห่งตลอดกาล… ไคลน์ตระหนักว่าตนบังเอิญได้ทราบข้อเท็จจริงที่น่าทึ่ง แต่นั่นก็ทำให้มันนึกเสียดาย
น่าเสียดายที่กลับไปความฝันเดินไม่ได้… ไม่อย่างนั้น เราจะช่วยพาเลโอมาสต์ด้านดีไปจำกัดเลโอมาสต์ชั่วร้าย—นักบุญมืด ด้วยคทาเทพสมุทร และความเสียหายที่เกิดขึ้นในความฝัน ย่อมต้องส่งกระทบไปถึงโลกความจริง…
หากลงเอยเช่นนั้น ‘นักบุญ’ ผู้มีจิตใจขาวสะอาดและรู้จักชุมนุมแสงเหนือทุกซอกทุกมุมจะถือกำเนิดขึ้น เป็นก้าวแรกสู่ความล่มสลายขององค์กรลับชั่วร้ายอันโด่งดัง… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ตามด้วยการหมุนตัวครึ่งรอบไปมองแอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่เพิ่งเดินออกจากเขตห้องโดยสาร
“นายอยู่ตรงไหนของโลกความฝัน? ฉันไม่เห็นนายเลย” นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดซักถามอย่างเป็นกันเอง
ไคลน์ขมวดคิ้วและถามกลับ
“แล้วทำไมนายต้องเห็น?”
แอนเดอร์สันพลันผงะ
“ไม่ใช่ว่าความฝันของพวกเราจะเริ่มต้นที่จุดเดิมเมื่อเข้าไปหรอกหรือ?”
“…”
แต่ฉันสุ่มจุดเริ่มต้น… ยังมีปัจจัยอื่นอีกหรือ? เป็นเพราะความพิเศษของเรา? ไคลน์เริ่มพบว่าเรื่องราวมิได้ราบเรียบดังที่ตาเห็น
มันตอบกลับหลังจากใคร่ครวญ
“ฉันไปโผล่จุดอื่น”
“แปลกมาก…” แอนเดอร์สันขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนไปทางสับสน
โดยไม่รอให้ไคลน์พูด มันกล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“และไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่แปลก”
“อะไรอีก?” ไคลน์ถามอย่างใคร่รู้
แอนเดอร์สันมองไปรอบตัวและพูด
“ในความฝันล่าสุด ขณะกำลังแสร้งทำเป็นต่อเรือบด ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูถึงเสียงฝีเท้าใครบางคนดังมาจากส่วนลึกของอาราม แต่เมื่อลองมองเข้าไปกลับไม่พบสิ่งใด… ฉันเคยคิดว่าคงเป็นใครสักคนบนเรือ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น”
…………………………………………..