Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 641 : ปากบ่อที่แคบจนมนุษย์ผ่านไม่ได้

ราชันเร้นลับ 641 : ปากบ่อที่แคบจนมนุษย์ผ่านไม่ได้

นีน่าคือโจรสลัดที่ค่อยๆ ไต่ลำดับมาจากตำแหน่งล่าง อาจไม่ใช่ตลอดเวลา แต่ส่วนมากมักถูกอารมณ์เกรี้ยวกราดและหุนหันครอบงำ

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์อันมากมายได้หล่อหลอมให้เธอเป็นคนจริงจังกับหน้าที่ หลังจากนึกทบทวนสักพัก นีน่ามอบคำตอบ

“บ่อน้ำดังกล่าวตั้งอยู่บนก้นทะเล กว่าฉันจะดำไปถึงตรงนั้น ต้องผ่านการปรับสภาพร่างกายเป็นเวลานาน การค้นหาบ่อน้ำไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นั่นเต็มไปด้วยซากอาคารที่สร้างจากเหล็ก ต้องรอให้ร่างกายปรับตัวสักพักจึงจะเห็นบ่อน้ำเป้าหมาย ซากอาคารโลหะถูกทำลายไปมากจนยากจะจินตนาการสภาพเดิม แต่จากการประเมินด้วยสายตา ฉันเชื่อว่ามันต้องเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มากมาก่อน”

กล่าวจบ นีน่าหัวเราะในลำคอ สายตากวาดมองเหล่าบุรุษรอบตัว

สมกับที่เป็นโจรสลัดหญิงตัวจริง…

ไคลน์ถอนหายใจ

ตามมุมมองของมัน ไม่ว่าจะเป็นพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา พลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า หรือพลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ พวกหล่อนไม่ใช่โจรสลัดหญิงที่แท้จริง เนื่องจากทุกคนล้วนมีองค์กรลับหรือทางการคอยหนุนหลัง ขณะยังเป็นเพียงลำดับต่ำคงไม่ต้องออกทะเลด้วยตัวเอง หรือถ้าต้องออกทะเล ก็จะเป็นการติดตามรับใช้คนใหญ่คนโตอย่างใกล้ชิด นับเป็นเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แทบไม่เคยถูกบรรยากาศของโจรสลัดระดับต่ำหรือกลางหล่อหลอม

ขณะนีน่ากำลังหัวเราะ แคทลียาชี้ไปยังแท่งเหล็กขึ้นสนิมในมืออีกฝ่าย

“นี่คือชิ้นส่วนซากอาคารโลหะ?”

“ใช่แล้ว กัปตัน คุณคงทราบดีว่าฉันไม่มีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับหรือประวัติศาสตร์สักเท่าไร จึงต้องนำชิ้นส่วนกลับขึ้นมาให้คุณศึกษา ของแบบนี้ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการเท่านั้น”

นีน่ายิ้มพลางส่งแท่งโลหะให้อีกฝ่าย

จากนั้น เธอชี้ไปยังคราบโคลนสีดำสนิทในมืออีกข้าง เป็นก้อนโคลนซึ่งยุบตัวจนคล้ายรวงผึ้ง

“ไม่ห่างจากซากอาคารโลหะมากนัก ฉันพบบ่อน้ำหนึ่งแห่ง ขนาดของมันมิได้ใหญ่มโหฬาร หรือถ้านี่เรียกว่ามโหฬาร ฉันคงเคยเห็นปืนใหญ่มโหฬารมาแล้วนับไม่ถ้วน พวกนักผจญภัยนั่นขี้โม้ยิ่งกว่าโจรสลัดอย่างเราเสียอีก! คราบโคลนเหล่านี้เกาะติดอยู่กับขอบบ่อน้ำ ฉันไม่กล้าจินตนาการว่าพวกมันคือคราบของอะไรกันแน่…”

นีน่าใช้นิ้วทะลวงเข้าไปในส่วนที่เป็นรังผึ้งของโคลนและควักคราบดินสีดำออกมา

ในตอนแรก ไคลน์คิดว่านั่นคงเป็นคราบของบางสิ่งคล้ายเขม่าดินปืน แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ มันพบว่าสิ่งนี้อาจเป็น ‘ลวดลาย’ ที่หลงเหลือจากการเน่าเปื่อยของบางสิ่ง เนื่องจากมีบางจุดมีความหนาไม่เท่ากัน อีกทั้ง บริเวณขอบลวดลายก็ยังกระจายตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

นีน่ายื่นโคลนสีดำให้พลเรือเอกดวงดาว ก่อนจะเริ่มอธิบายสิ่งที่เห็นต่อ :

“ปากบ่อคับแคบมาก แม้แต่เด็กจากนาสก็ไม่น่าจะลอดผ่านไปได้ ก้นบ่อมืดมากจนฉันคาดเดาความลึกไม่ถูก มอบความรู้สึกคล้ายกับไม่มีจุดจบ แถมยังส่งเสียงเรียกหาอย่างเชื่องช้า… ใช่แล้ว เชื่องช้า เมื่อฉันพบก้อนหินใกล้กับบ่อ จึงลองโยนลงไปทดสอบ แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดกลับมา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ มันคือบ่อที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล”

แคทลียาใช้ดวงตาสีม่วงเข้มสำรวจผ่านเลนส์ ยืนพิจารณาแท่งเหล็กและโคลนสีดำอย่างถี่ถ้วน

“ในเมื่อปากบ่อแคบจนมนุษย์ผ่านไม่ได้ พวกเรายังไม่ควรรีบร้อนสำรวจตอนนี้ เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งอันตรายที่คาดไม่ถึง ไว้ฉันพบความลับจากเบาะแสสองชิ้นนี้และยืนยันว่าบ่อน้ำไม่เป็นอันตราย พวกเราค่อยกลับมาสำรวจวันหลัง”

“ค่ะ! กัปตัน!” ด้วยร่างกายเปียกชุ่ม นีน่าต้องยืนสั่นเทาใต้ลมหนาวอย่างมิอาจเลี่ยง โจรสลัดหนุ่มกลัดมันรอบตัวต่างเหล่มองตาเป็นมัน

แคทลียาใช้ปลายนิ้วดันส่วนล่างของกรอบแว่น ก่อนจะกล่าวกับนีน่า :

“วันนี้คุณสามารถดื่มไวน์เลือดโซเนียได้อีกหนึ่งขวด หรือจะเป็นชนิดอื่นก็ได้”

“กัปตันจงเจริญ!” นีน่าสรรเสริญอย่างยินดี

บ่อน้ำโบราณบนก้นทะเลที่มนุษย์ไม่สามารถลอดผ่านได้…

ไคลน์ ผู้มิได้คิดจะลงไปสำรวจด้วยตัวเอง สรุปข้อมูลอย่างคร่าวตามสิ่งที่นีน่าเล่า

ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดสุดล้ำลึก

มนุษย์อาจลงไปสำรวจบ่อน้ำไม่ได้ แต่สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นอาจทำได้!

ปลาทะเลส่วนมากมีขนาดไม่ใหญ่นัก พวกมันต้องว่ายผ่านปากบ่อลงไปได้แน่!

ในฐานะเทพสมุทร ขณะถือคทากระดูก ตนสามารถออกคำสั่งกับสัตว์ทะเลได้อย่างอิสระ!

ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ผลการวิจัยของเฮอร์มิทได้ผลลัพธ์ออกมาก่อน ค่อยตัดสินใจว่าควรสั่งให้ปลาลงไปสำรวจในบ่อดีไหม เพราะหากลงมืออย่างบุ่มบ่าม อาจเป็นการสร้างอันตรายโดยไม่จำเป็น… เรื่องแบบนี้ไม่มีทางทำนายยืนยันอันตรายได้ เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ…

แม้จะครุ่นคิดหลายสิ่ง แต่สีหน้าภายนอกของไคลน์ก็มิได้แปรเปลี่ยน

ทันใดนั้น มันบังเอิญเห็นพลเรือเอกดวงดาวแอบจ้องมองตนด้วยสายตาไม่ปรกติ ก่อนที่เธอจะเบือนหน้ากลับโดยพยายามเก็บซ่อนร่องรอย

มองเราทำไม… หรือจะอ่านออกว่าเรากำลังวางแผนอะไรอยู่? ไม่มีทาง แคทลียาไม่ทราบว่าเราครอบครองคทาเทพสมุทร ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการควบคุมสัตว์ทะเล…

ไม่สิ ในทางทฤษฎี เธอทราบว่าชุมนุมทาโรต์มีคทาเทพสมุทร เนื่องจากเคยเห็นมิสเตอร์ฟูลถือคทากระดูกของคาเวทูว่า… แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเดอะเวิร์ล นอกเสียจากเธอจะเชื่อมโยงได้ว่า เดอะเวิร์ลคือมิสเตอร์ฟูล… แต่นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะแม้แต่มิสเตอร์แฮงแมนมากประสบการณ์ก็ยังทำได้แค่อนุมานว่า เดอะเวิร์ลคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… สมาชิกใหม่อย่างเฮอร์มิทจึงไม่น่าจะคาดเดาได้ไกลกว่านั้น…

เราต้องลองเปลี่ยนมุมมองความคิด สมมติให้ตัวเองเป็นพลเรือเอกดวงดาว… เธอคือผู้ที่ถูกมวลความรู้ไล่ล่ามาตลอดชีวิต เคยติดตามรับใช้ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกคนสำคัญของนิกายมอสส์ ผนวกกับประสบการณ์หลายปีในทะเล แคทลียาน่าจะเดาได้ว่า เทพสมุทรมีพลังในการควบคุมสัตว์ทะเล…

หลังจากพบว่ามนุษย์มิอาจลงไปสำรวจในบ่อน้ำลึกลับ เธอจึงหวนนึกถึงคทาที่มิสเตอร์ฟูลครอบครอง และคิดหาโอกาสขอความช่วยเหลือจากผู้นำชุมนุมทาโรต์?

การมองมาทางเราก็เพื่อตรวจสอบท่าทีตอบสนอง และประเมินว่าหลังจากได้รับข้อมูลแบบเดียวกัน เราจะนึกถึงสิ่งที่คล้ายกันหรือไม่…?

แม้สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างหนัก แต่ใบหน้ายังคงถูกฉาบด้วยความเฉยชาตลอดเวลา ไม่เผยอารมณ์ใดให้อีกฝ่ายเห็น

เมื่อนีน่าเดินเข้าไปหยิบไวน์เลือดโซเนียหนึ่งขวดใหญ่ในลัง ไคลน์เลื่อนมือกดหมวกเป็นเชิงขอตัว จากนั้นก็เดินกลับห้องพัก

ขณะหยุดยืนหน้าประตูเขตห้องโดยสาร นิมิตลางสังหรณ์พลันผุดขึ้นในหัว!

ในห้องมืดแห่งหนึ่งบนชั้นสอง หลังหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทและมีผ้าม่านขึงมิดชิด ดวงตามายาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองทุกคนบนเรือ หนึ่งในนั้นคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์

ใครกัน…

ไคลน์ทำตัวตามธรรมชาติ ไม่ชะงักร่างกายจนผิดวิสัย เพียงเปิดประตูห้องโดยสารประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บ่ายสามโมงตรง แสงอาทิตย์กำลังเจิดจ้า แต่อากาศก็มิได้ร้อนเกินไปนัก

ณ สวนแห่งหนึ่งใกล้กลับมหาวิทยาลัยสโตน

มิตเชล·ดิตเตอร์ รองศาสตราจารย์ในวัยสี่สิบตอนต้น สวมทักซิโด้สำหรับร่วมงานเลี้ยง ติดเนกไทหูกระต่ายเรียบร้อย กำลังยืนรอหน้าประตูด้วยอาการประหม่า

เมื่อวานตอนเย็น มันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ผู้ที่มาส่งคือคนรับใช้ตระกูลฮอลล์ ครอบครัวขุนนางอันดับหนึ่งในรัฐเชสเตอร์ตะวันออก

ผู้เขียนจดหมายคือบุตรสาวเอิร์ลคนดังแห่งสภาขุนนาง มิสออเดรย์·ฮอลล์ เจ้าของฉายาอัญมณีเจิดจ้าแห่งกรุงเบ็คลันด์

คุณหนูตระกูลขุนนางสูงศักดิ์เขียนอธิบายโดยมีความว่า ณ ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอบังเอิญได้ยินใครบางคนขนานนามมิตเชล·ดิตเตอร์ว่าเป็นนักสะสมที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากตัวเธอมีความสนใจในด้านนี้อย่างมาก จึงต้องการนัดพบและยลโฉมบรรดาของสะสมเหล่านั้น

มิตเชล·ดิตเตอร์ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ

เพียงไม่นาน รถม้าหรูหราซึ่งติดตราขุนนางน่าเกรงขามได้แล่นมาจอดหน้าประตู

บุรุษรับใช้สองคนที่ถูกมอบหมายงานไว้แล้ว รีบเปิดรั้วเหล็กต้อนรับ และเดินนำทางอ้อมสวนเข้ามาจนถึงหน้าบ้าน

แม่บ้านเดินลงจากรถม้าเป็นคนแรก ตามด้วยองครักษ์และสาวใช้ส่วนตัว

จากนั้น เรียวแขนอันงดงามที่สวมถุงมือผ้าสีขาวโพลนยื่นออกจากตัวรถ

ด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้ ออเดรย์ย่างกรายลงจากรถม้าอย่างมาดสง่างาม เหยียบลงบนพรมหรูหราที่มิตเชลปูเตรียมไว้

มิตเชลพลันผงะไปชั่วขณะ ดวงตาส่องประกายระยิบระยับ คล้ายกับดอกไม้รอบตัวหม่นหมองไปถนัดตา

มันเดินสองสามก้าว ถอดหมวกคำนับอย่างนอบน้อม

“ยินดีต้อนรับ คุณหนูออเดรย์ การมาเยือนของคุณ ถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของผมอย่างยิ่ง”

ออเดรย์ถอดหมวกส่งให้สาวใช้ ทักทายอีกฝ่ายตามมารยาทชนชั้นสูง จากนั้นก็เดินตามมิตเชลเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องรับแขก จนกระทั่งถึงห้องสะสมบนชั้นหนึ่ง

ถึงตรงนี้ คล้ายกับมิตเชลได้รับความมั่นใจของเจ้าบ้านกลับคืนมา รีบกล่าวแนะนำของสะสมไล่จากซ้ายสุดไปถึงขวาสุด

“นี่คือหมวกเหล็กจากสงครามกุหลาบขาว หลังจากค้นคว้าเป็นเวลานาน ผมสามารถยืนยันได้ว่า มันคือหมวกของสมาชิกตระกูลเซารอน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นตระกูลราชวงศ์ของอินทิส”

หมวกเหล็กทองคำถูกตกแต่งด้วยลวดลายซับซ้อนแต่งดงาม เหนือศีรษะมีโลหะรูปทรงนกกางปีกเชื่อมติดอยู่ กะบังหน้าทำจากโลหะแผ่นเล็กที่เรียงต่อกันเป็นเกล็ดหนาหลายชั้น

“บรรพบุรุษของดิฉันได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งแรกจากสงครามนี้” ออเดรย์ตอบรับอย่างสนใจ

เธอปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวให้ไม่เป็นการกดดันอีกฝ่าย พยายามสวมบทบาทของผู้ชมและผู้ฟังที่ดี

“แม้สงครามจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของโลเอ็น จนพวกเราต้องทุกข์ทรมานนานนับสิบปี แต่สงครามครั้งนั้นก็ช่วยให้พวกเราค้นพบเหล่าวีรบุรุษหาญกล้า” มิตเชลประจบประแจง

สงครามกุหลาบขาวเกิดขึ้นหลัง ‘สงครามสองทศวรรษ’ และก่อน ‘ศึกตระบัดสัตย์’ โดยในศึกหลังสุด อาณาจักรโลเอ็นได้รับชัยชนะเหนืออินทิสและกลับมาผงาดบนทวีปเหนือได้อีกครั้ง

มิตเชลยังคงแนะนำของสะสมอย่างต่อเนื่อง ออเดรย์คอยฟังและโต้ตอบตามความเหมาะสม พลางยิงคำถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นเป็นระยะ

จนกระทั่ง มิตเชลชี้ไปทางสมุดบันทึกปกดำเล่มหนึ่ง

“สมุดบันทึกเล่มนี้เป็นของอัศวินที่ประจำการบนเกาะโซเนียระหว่างสงครามสองทศวรรษ ชื่อของอัศวินเลือนหายไปพร้อมกับเงามืดของประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พิสูจน์การมีตัวตนของเขา ช่วยให้โลกได้รับรู้ว่า โลเอ็นยังมีอัศวินหาญกล้าผู้ยืนหยัดปักหลักปกป้องเกาะโซเนียจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่เพียงสมุดบันทึกจะเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น แต่เนื้อหาด้านในยังมีปริศนาซ่อนอยู่อีกหนึ่งจุด : อัศวินคนดังกล่าวมีลีลาการเขียนผิดไปจากธรรมชาติของภาษา นี่อาจเป็นเบาะแสสำหรับระบุตัวจริงของเขา”

ออเดรย์ตระหนักได้ทันทีว่าสมุดบันทึกเล่มนี้คือเป้าหมายของตน จึงเดินเข้าไปชมในระยะใกล้ แล้วก็ไม่ผิดคาด เธอพบว่าลวดลายบนปกดำ เรียงต่อกันเป็นรูปทรงมังกรเลือนราง

ถ้าพิจารณาจากน้ำเสียงของรองศาสตราจารย์มิตเชล เขาสนใจเนื้อหาด้านในมากกว่าตัวสมุดบันทึก ประหนึ่งว่ามิใช่สิ่งของล้ำค่า แปลว่าเรายังมีโอกาสขอซื้อต่อ…

ออเดรย์ใคร่ครวญอย่างใจเย็น หันไปยิ้มกับมิตเชล·ดิตเตอร์ด้านข้าง

“ลีลาการเขียนแปลกอย่างไรหรือคะ”

“เขาชอบเขียนประโยคสั้น… สั้นเกินไป”

มิตเชลเริ่มเล่าด้วยใบหน้าโอ้อวด

ออเดรย์เป็นผู้ฟังที่ดี จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางผงกหัวรับเป็นจังหวะ ไม่พูดแทรก แสดงสีหน้ากระตือรือร้น มิตเชลเห็นดังนั้นจึงยิ่งพรั่งพรูข้อมูลไม่ขาดปาก

ฟัง ฟัง แล้วก็ฟัง จนออเดรย์เริ่มพบว่า ลีลาการเขียนของอัศวินดังกล่าว คล้ายคลึงกับไวยากรณ์ภาษาหนึ่งที่ตนรู้จัก

หรือว่า… หญิงสาวเบือนหน้าหนีเล็กน้อย เพื่อปกปิดประกายดวงตาที่แตกต่างไปจากเดิม

นั่นคือจุดเด่นของภาษามังกรที่เธอหมั่นศึกษาจนแตกฉาน!

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset