นีน่าคือโจรสลัดที่ค่อยๆ ไต่ลำดับมาจากตำแหน่งล่าง อาจไม่ใช่ตลอดเวลา แต่ส่วนมากมักถูกอารมณ์เกรี้ยวกราดและหุนหันครอบงำ
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์อันมากมายได้หล่อหลอมให้เธอเป็นคนจริงจังกับหน้าที่ หลังจากนึกทบทวนสักพัก นีน่ามอบคำตอบ
“บ่อน้ำดังกล่าวตั้งอยู่บนก้นทะเล กว่าฉันจะดำไปถึงตรงนั้น ต้องผ่านการปรับสภาพร่างกายเป็นเวลานาน การค้นหาบ่อน้ำไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นั่นเต็มไปด้วยซากอาคารที่สร้างจากเหล็ก ต้องรอให้ร่างกายปรับตัวสักพักจึงจะเห็นบ่อน้ำเป้าหมาย ซากอาคารโลหะถูกทำลายไปมากจนยากจะจินตนาการสภาพเดิม แต่จากการประเมินด้วยสายตา ฉันเชื่อว่ามันต้องเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มากมาก่อน”
กล่าวจบ นีน่าหัวเราะในลำคอ สายตากวาดมองเหล่าบุรุษรอบตัว
สมกับที่เป็นโจรสลัดหญิงตัวจริง…
ไคลน์ถอนหายใจ
ตามมุมมองของมัน ไม่ว่าจะเป็นพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา พลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า หรือพลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ พวกหล่อนไม่ใช่โจรสลัดหญิงที่แท้จริง เนื่องจากทุกคนล้วนมีองค์กรลับหรือทางการคอยหนุนหลัง ขณะยังเป็นเพียงลำดับต่ำคงไม่ต้องออกทะเลด้วยตัวเอง หรือถ้าต้องออกทะเล ก็จะเป็นการติดตามรับใช้คนใหญ่คนโตอย่างใกล้ชิด นับเป็นเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แทบไม่เคยถูกบรรยากาศของโจรสลัดระดับต่ำหรือกลางหล่อหลอม
ขณะนีน่ากำลังหัวเราะ แคทลียาชี้ไปยังแท่งเหล็กขึ้นสนิมในมืออีกฝ่าย
“นี่คือชิ้นส่วนซากอาคารโลหะ?”
“ใช่แล้ว กัปตัน คุณคงทราบดีว่าฉันไม่มีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับหรือประวัติศาสตร์สักเท่าไร จึงต้องนำชิ้นส่วนกลับขึ้นมาให้คุณศึกษา ของแบบนี้ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการเท่านั้น”
นีน่ายิ้มพลางส่งแท่งโลหะให้อีกฝ่าย
จากนั้น เธอชี้ไปยังคราบโคลนสีดำสนิทในมืออีกข้าง เป็นก้อนโคลนซึ่งยุบตัวจนคล้ายรวงผึ้ง
“ไม่ห่างจากซากอาคารโลหะมากนัก ฉันพบบ่อน้ำหนึ่งแห่ง ขนาดของมันมิได้ใหญ่มโหฬาร หรือถ้านี่เรียกว่ามโหฬาร ฉันคงเคยเห็นปืนใหญ่มโหฬารมาแล้วนับไม่ถ้วน พวกนักผจญภัยนั่นขี้โม้ยิ่งกว่าโจรสลัดอย่างเราเสียอีก! คราบโคลนเหล่านี้เกาะติดอยู่กับขอบบ่อน้ำ ฉันไม่กล้าจินตนาการว่าพวกมันคือคราบของอะไรกันแน่…”
นีน่าใช้นิ้วทะลวงเข้าไปในส่วนที่เป็นรังผึ้งของโคลนและควักคราบดินสีดำออกมา
ในตอนแรก ไคลน์คิดว่านั่นคงเป็นคราบของบางสิ่งคล้ายเขม่าดินปืน แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ มันพบว่าสิ่งนี้อาจเป็น ‘ลวดลาย’ ที่หลงเหลือจากการเน่าเปื่อยของบางสิ่ง เนื่องจากมีบางจุดมีความหนาไม่เท่ากัน อีกทั้ง บริเวณขอบลวดลายก็ยังกระจายตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
นีน่ายื่นโคลนสีดำให้พลเรือเอกดวงดาว ก่อนจะเริ่มอธิบายสิ่งที่เห็นต่อ :
“ปากบ่อคับแคบมาก แม้แต่เด็กจากนาสก็ไม่น่าจะลอดผ่านไปได้ ก้นบ่อมืดมากจนฉันคาดเดาความลึกไม่ถูก มอบความรู้สึกคล้ายกับไม่มีจุดจบ แถมยังส่งเสียงเรียกหาอย่างเชื่องช้า… ใช่แล้ว เชื่องช้า เมื่อฉันพบก้อนหินใกล้กับบ่อ จึงลองโยนลงไปทดสอบ แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดกลับมา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ มันคือบ่อที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล”
แคทลียาใช้ดวงตาสีม่วงเข้มสำรวจผ่านเลนส์ ยืนพิจารณาแท่งเหล็กและโคลนสีดำอย่างถี่ถ้วน
“ในเมื่อปากบ่อแคบจนมนุษย์ผ่านไม่ได้ พวกเรายังไม่ควรรีบร้อนสำรวจตอนนี้ เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งอันตรายที่คาดไม่ถึง ไว้ฉันพบความลับจากเบาะแสสองชิ้นนี้และยืนยันว่าบ่อน้ำไม่เป็นอันตราย พวกเราค่อยกลับมาสำรวจวันหลัง”
“ค่ะ! กัปตัน!” ด้วยร่างกายเปียกชุ่ม นีน่าต้องยืนสั่นเทาใต้ลมหนาวอย่างมิอาจเลี่ยง โจรสลัดหนุ่มกลัดมันรอบตัวต่างเหล่มองตาเป็นมัน
แคทลียาใช้ปลายนิ้วดันส่วนล่างของกรอบแว่น ก่อนจะกล่าวกับนีน่า :
“วันนี้คุณสามารถดื่มไวน์เลือดโซเนียได้อีกหนึ่งขวด หรือจะเป็นชนิดอื่นก็ได้”
“กัปตันจงเจริญ!” นีน่าสรรเสริญอย่างยินดี
บ่อน้ำโบราณบนก้นทะเลที่มนุษย์ไม่สามารถลอดผ่านได้…
ไคลน์ ผู้มิได้คิดจะลงไปสำรวจด้วยตัวเอง สรุปข้อมูลอย่างคร่าวตามสิ่งที่นีน่าเล่า
ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดสุดล้ำลึก
มนุษย์อาจลงไปสำรวจบ่อน้ำไม่ได้ แต่สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นอาจทำได้!
ปลาทะเลส่วนมากมีขนาดไม่ใหญ่นัก พวกมันต้องว่ายผ่านปากบ่อลงไปได้แน่!
ในฐานะเทพสมุทร ขณะถือคทากระดูก ตนสามารถออกคำสั่งกับสัตว์ทะเลได้อย่างอิสระ!
ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ผลการวิจัยของเฮอร์มิทได้ผลลัพธ์ออกมาก่อน ค่อยตัดสินใจว่าควรสั่งให้ปลาลงไปสำรวจในบ่อดีไหม เพราะหากลงมืออย่างบุ่มบ่าม อาจเป็นการสร้างอันตรายโดยไม่จำเป็น… เรื่องแบบนี้ไม่มีทางทำนายยืนยันอันตรายได้ เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ…
แม้จะครุ่นคิดหลายสิ่ง แต่สีหน้าภายนอกของไคลน์ก็มิได้แปรเปลี่ยน
ทันใดนั้น มันบังเอิญเห็นพลเรือเอกดวงดาวแอบจ้องมองตนด้วยสายตาไม่ปรกติ ก่อนที่เธอจะเบือนหน้ากลับโดยพยายามเก็บซ่อนร่องรอย
มองเราทำไม… หรือจะอ่านออกว่าเรากำลังวางแผนอะไรอยู่? ไม่มีทาง แคทลียาไม่ทราบว่าเราครอบครองคทาเทพสมุทร ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการควบคุมสัตว์ทะเล…
ไม่สิ ในทางทฤษฎี เธอทราบว่าชุมนุมทาโรต์มีคทาเทพสมุทร เนื่องจากเคยเห็นมิสเตอร์ฟูลถือคทากระดูกของคาเวทูว่า… แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเดอะเวิร์ล นอกเสียจากเธอจะเชื่อมโยงได้ว่า เดอะเวิร์ลคือมิสเตอร์ฟูล… แต่นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะแม้แต่มิสเตอร์แฮงแมนมากประสบการณ์ก็ยังทำได้แค่อนุมานว่า เดอะเวิร์ลคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… สมาชิกใหม่อย่างเฮอร์มิทจึงไม่น่าจะคาดเดาได้ไกลกว่านั้น…
เราต้องลองเปลี่ยนมุมมองความคิด สมมติให้ตัวเองเป็นพลเรือเอกดวงดาว… เธอคือผู้ที่ถูกมวลความรู้ไล่ล่ามาตลอดชีวิต เคยติดตามรับใช้ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกคนสำคัญของนิกายมอสส์ ผนวกกับประสบการณ์หลายปีในทะเล แคทลียาน่าจะเดาได้ว่า เทพสมุทรมีพลังในการควบคุมสัตว์ทะเล…
หลังจากพบว่ามนุษย์มิอาจลงไปสำรวจในบ่อน้ำลึกลับ เธอจึงหวนนึกถึงคทาที่มิสเตอร์ฟูลครอบครอง และคิดหาโอกาสขอความช่วยเหลือจากผู้นำชุมนุมทาโรต์?
การมองมาทางเราก็เพื่อตรวจสอบท่าทีตอบสนอง และประเมินว่าหลังจากได้รับข้อมูลแบบเดียวกัน เราจะนึกถึงสิ่งที่คล้ายกันหรือไม่…?
แม้สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างหนัก แต่ใบหน้ายังคงถูกฉาบด้วยความเฉยชาตลอดเวลา ไม่เผยอารมณ์ใดให้อีกฝ่ายเห็น
เมื่อนีน่าเดินเข้าไปหยิบไวน์เลือดโซเนียหนึ่งขวดใหญ่ในลัง ไคลน์เลื่อนมือกดหมวกเป็นเชิงขอตัว จากนั้นก็เดินกลับห้องพัก
ขณะหยุดยืนหน้าประตูเขตห้องโดยสาร นิมิตลางสังหรณ์พลันผุดขึ้นในหัว!
ในห้องมืดแห่งหนึ่งบนชั้นสอง หลังหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทและมีผ้าม่านขึงมิดชิด ดวงตามายาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองทุกคนบนเรือ หนึ่งในนั้นคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ใครกัน…
ไคลน์ทำตัวตามธรรมชาติ ไม่ชะงักร่างกายจนผิดวิสัย เพียงเปิดประตูห้องโดยสารประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…
บ่ายสามโมงตรง แสงอาทิตย์กำลังเจิดจ้า แต่อากาศก็มิได้ร้อนเกินไปนัก
ณ สวนแห่งหนึ่งใกล้กลับมหาวิทยาลัยสโตน
มิตเชล·ดิตเตอร์ รองศาสตราจารย์ในวัยสี่สิบตอนต้น สวมทักซิโด้สำหรับร่วมงานเลี้ยง ติดเนกไทหูกระต่ายเรียบร้อย กำลังยืนรอหน้าประตูด้วยอาการประหม่า
เมื่อวานตอนเย็น มันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ผู้ที่มาส่งคือคนรับใช้ตระกูลฮอลล์ ครอบครัวขุนนางอันดับหนึ่งในรัฐเชสเตอร์ตะวันออก
ผู้เขียนจดหมายคือบุตรสาวเอิร์ลคนดังแห่งสภาขุนนาง มิสออเดรย์·ฮอลล์ เจ้าของฉายาอัญมณีเจิดจ้าแห่งกรุงเบ็คลันด์
คุณหนูตระกูลขุนนางสูงศักดิ์เขียนอธิบายโดยมีความว่า ณ ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอบังเอิญได้ยินใครบางคนขนานนามมิตเชล·ดิตเตอร์ว่าเป็นนักสะสมที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากตัวเธอมีความสนใจในด้านนี้อย่างมาก จึงต้องการนัดพบและยลโฉมบรรดาของสะสมเหล่านั้น
มิตเชล·ดิตเตอร์ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ
เพียงไม่นาน รถม้าหรูหราซึ่งติดตราขุนนางน่าเกรงขามได้แล่นมาจอดหน้าประตู
บุรุษรับใช้สองคนที่ถูกมอบหมายงานไว้แล้ว รีบเปิดรั้วเหล็กต้อนรับ และเดินนำทางอ้อมสวนเข้ามาจนถึงหน้าบ้าน
แม่บ้านเดินลงจากรถม้าเป็นคนแรก ตามด้วยองครักษ์และสาวใช้ส่วนตัว
จากนั้น เรียวแขนอันงดงามที่สวมถุงมือผ้าสีขาวโพลนยื่นออกจากตัวรถ
ด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้ ออเดรย์ย่างกรายลงจากรถม้าอย่างมาดสง่างาม เหยียบลงบนพรมหรูหราที่มิตเชลปูเตรียมไว้
มิตเชลพลันผงะไปชั่วขณะ ดวงตาส่องประกายระยิบระยับ คล้ายกับดอกไม้รอบตัวหม่นหมองไปถนัดตา
มันเดินสองสามก้าว ถอดหมวกคำนับอย่างนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับ คุณหนูออเดรย์ การมาเยือนของคุณ ถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของผมอย่างยิ่ง”
ออเดรย์ถอดหมวกส่งให้สาวใช้ ทักทายอีกฝ่ายตามมารยาทชนชั้นสูง จากนั้นก็เดินตามมิตเชลเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องรับแขก จนกระทั่งถึงห้องสะสมบนชั้นหนึ่ง
ถึงตรงนี้ คล้ายกับมิตเชลได้รับความมั่นใจของเจ้าบ้านกลับคืนมา รีบกล่าวแนะนำของสะสมไล่จากซ้ายสุดไปถึงขวาสุด
“นี่คือหมวกเหล็กจากสงครามกุหลาบขาว หลังจากค้นคว้าเป็นเวลานาน ผมสามารถยืนยันได้ว่า มันคือหมวกของสมาชิกตระกูลเซารอน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นตระกูลราชวงศ์ของอินทิส”
หมวกเหล็กทองคำถูกตกแต่งด้วยลวดลายซับซ้อนแต่งดงาม เหนือศีรษะมีโลหะรูปทรงนกกางปีกเชื่อมติดอยู่ กะบังหน้าทำจากโลหะแผ่นเล็กที่เรียงต่อกันเป็นเกล็ดหนาหลายชั้น
“บรรพบุรุษของดิฉันได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งแรกจากสงครามนี้” ออเดรย์ตอบรับอย่างสนใจ
เธอปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวให้ไม่เป็นการกดดันอีกฝ่าย พยายามสวมบทบาทของผู้ชมและผู้ฟังที่ดี
“แม้สงครามจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของโลเอ็น จนพวกเราต้องทุกข์ทรมานนานนับสิบปี แต่สงครามครั้งนั้นก็ช่วยให้พวกเราค้นพบเหล่าวีรบุรุษหาญกล้า” มิตเชลประจบประแจง
สงครามกุหลาบขาวเกิดขึ้นหลัง ‘สงครามสองทศวรรษ’ และก่อน ‘ศึกตระบัดสัตย์’ โดยในศึกหลังสุด อาณาจักรโลเอ็นได้รับชัยชนะเหนืออินทิสและกลับมาผงาดบนทวีปเหนือได้อีกครั้ง
มิตเชลยังคงแนะนำของสะสมอย่างต่อเนื่อง ออเดรย์คอยฟังและโต้ตอบตามความเหมาะสม พลางยิงคำถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นเป็นระยะ
จนกระทั่ง มิตเชลชี้ไปทางสมุดบันทึกปกดำเล่มหนึ่ง
“สมุดบันทึกเล่มนี้เป็นของอัศวินที่ประจำการบนเกาะโซเนียระหว่างสงครามสองทศวรรษ ชื่อของอัศวินเลือนหายไปพร้อมกับเงามืดของประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พิสูจน์การมีตัวตนของเขา ช่วยให้โลกได้รับรู้ว่า โลเอ็นยังมีอัศวินหาญกล้าผู้ยืนหยัดปักหลักปกป้องเกาะโซเนียจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่เพียงสมุดบันทึกจะเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น แต่เนื้อหาด้านในยังมีปริศนาซ่อนอยู่อีกหนึ่งจุด : อัศวินคนดังกล่าวมีลีลาการเขียนผิดไปจากธรรมชาติของภาษา นี่อาจเป็นเบาะแสสำหรับระบุตัวจริงของเขา”
ออเดรย์ตระหนักได้ทันทีว่าสมุดบันทึกเล่มนี้คือเป้าหมายของตน จึงเดินเข้าไปชมในระยะใกล้ แล้วก็ไม่ผิดคาด เธอพบว่าลวดลายบนปกดำ เรียงต่อกันเป็นรูปทรงมังกรเลือนราง
ถ้าพิจารณาจากน้ำเสียงของรองศาสตราจารย์มิตเชล เขาสนใจเนื้อหาด้านในมากกว่าตัวสมุดบันทึก ประหนึ่งว่ามิใช่สิ่งของล้ำค่า แปลว่าเรายังมีโอกาสขอซื้อต่อ…
ออเดรย์ใคร่ครวญอย่างใจเย็น หันไปยิ้มกับมิตเชล·ดิตเตอร์ด้านข้าง
“ลีลาการเขียนแปลกอย่างไรหรือคะ”
“เขาชอบเขียนประโยคสั้น… สั้นเกินไป”
มิตเชลเริ่มเล่าด้วยใบหน้าโอ้อวด
ออเดรย์เป็นผู้ฟังที่ดี จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางผงกหัวรับเป็นจังหวะ ไม่พูดแทรก แสดงสีหน้ากระตือรือร้น มิตเชลเห็นดังนั้นจึงยิ่งพรั่งพรูข้อมูลไม่ขาดปาก
ฟัง ฟัง แล้วก็ฟัง จนออเดรย์เริ่มพบว่า ลีลาการเขียนของอัศวินดังกล่าว คล้ายคลึงกับไวยากรณ์ภาษาหนึ่งที่ตนรู้จัก
หรือว่า… หญิงสาวเบือนหน้าหนีเล็กน้อย เพื่อปกปิดประกายดวงตาที่แตกต่างไปจากเดิม
นั่นคือจุดเด่นของภาษามังกรที่เธอหมั่นศึกษาจนแตกฉาน!
……………………