หากว่ากันตามหลัก เมื่อพ่อบ้านหวังยัดเงินเพื่อแสดงน้ำใจต่อเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่ก็ควรปล่อยให้ผ่านไปได้
แต่ใครจะไปรู้ ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นจะไม่เข้าใจความหมายของพ่อบ้านหวัง เขาจึงพูดขึ้นเสียงขรึม “ควรปล่อยให้ผ่านแล้วก็จริง แต่พวกโจรยังคงหนีกันให้พล่าน นี่รถม้าของเจ้ามีแต่เด็กผู้หญิง มันอันตรายมาก เอาแบบนี้ดีกว่า ข้าจะส่งคนไปคุ้มกันพวกเจ้าที่ข้างหน้า พอออกจากทางในป่าเส้นนี้ไปถึงถนนหลักแล้ว คงไม่มีอันตรายอะไรแล้วล่ะ”
พ่อบ้านหวังไม่เต็มใจอย่างยิ่งกับการให้เจ้าหน้าที่มาช่วยดูแล เขาจึงรีบพูดขึ้น “พี่เจ้าหน้าที่ ข้าจะรบกวนพี่อีกได้ยังไงกันล่ะขอรับ ด้านหน้าห่างจากถนนหลักแค่ไม่กี่ลี้ ไม่ถือว่าไกลอะไร พวกข้าไปเองได้อยู่ พวกพี่เจ้าหน้าที่งานยุ่งกันขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นและเหนื่อยเพื่อพวกเราหรอกขอรับ” พูดเสร็จ เขาก็กัดฟันยัดเงินให้เจ้าหน้าที่อีกครั้ง
แต่เจ้าหน้าที่กลับยื่นมือออกมากั้นเงินที่พ่อบ้านหวังส่งให้ “เฮ้! เจ้าพอเถอะ เราไม่เกี่ยงที่จะวิ่งวุ่นหรอก พื้นที่นี้อยู่ในเขตของอำเภอฉือเจีย ท่านขุนนางอำเภอสั่งไว้ว่าห้ามให้พวกโจรมากระทำความผิดในพื้นที่นี้เด็ดขาด เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม ?”
พ่อบ้านหวังเข้าใจได้ในทันที มิน่าล่ะเจ้าหน้าที่ผู้นี้ถึงได้ยืนหยัดอยากส่งคนให้ตามพวกเขาไปจนถึงถนนหลัก เพราะหลังจากไปถึงถนนหลักแล้ว ก็จะไม่อยู่ในเขตของอำเภอฉือเจีย และพวกเขาก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับอำเภอฉือเจียอีกไม่ว่าจะอยู่หรือตายก็ตาม
พ่อบ้านหวังลังเลอยู่สักครู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจและยิ้มให้เจ้าหน้าที่คนนั้น “อ่า… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ระยะทางนี้ก็รบกวนพี่เจ้าหน้าที่ด้วยแล้วกันขอรับ”
เจ้าหน้าที่เห็นพ่อบ้านหวังตกลง เขาก็พูดขึ้นยิ้ม ๆ “ต้องแบบนี้สิ เจ้าสบายใจข้าก็สบายใจด้วย ทุกคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน”
พ่อบ้านหวังยิ้มแห้ง ๆ
……
หลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวออกไป ไม่มีใครเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าหน้าที่ผู้ที่รับเงินจากพ่อบ้านหวังหายไปแทบจะในทันที เขาสั่งเจ้าหน้าที่หนุ่มด้านข้าง “เจ้าไปส่งสัญญาณซะ”
เจ้าหน้าที่หนุ่มไปทำตามคำสั่งทันที
……
เจียงป่าวชิงนั่งอยู่ในรถม้าโดยพิงตัวรถเล็กน้อย เด็กผู้หญิงสองสามคนในรถม้าพูดคุยกันเสียงดังจอแจ
“เฮ้อ ข้าก็ว่าทำไมเส้นทางถึงได้ผิดเพี้ยนไป ที่แท้ก็มีโจรนี่เอง พ่อบ้านหวังคงคำนึงถึงความปลอดภัยของเราเลยเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทาง”
“พวกโจรกลุ่มเลยนะ คงโหดเหี้ยมมาก แบบว่าหวดขวานลงมาทีนึงก็สามารถฟันตายได้ถึงสามคนอะไรแบบนั้น”
“น่ากลัวจริง ๆ! สวรรค์โปรดช่วย เราจะไม่เจอกับพวกโจรกลุ่มที่ว่านั้นใช่ไหมนี่ ?”
เหล่าหญิงสาวตกใจจนตัวสั่นและกอดกันกลม
เจียงป่าวชิงนั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุมที่ไกลจากพวกนางที่สุด เอาเข้าจริงนางแอบรำคาญพวกผู้หญิงคนอื่นอยู่หน่อย ๆ กระดี๊กระด๊ากันจัง มันเกินงาม!
ตอนที่หลายคนกำลังรู้สึกหวาดกลัว มักจะหาเรื่องอะไรเพื่อมาเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
ตอนนี้เจียงป่าวชิงจึงกลายเป็นที่ระบายที่ดีที่สุด
“นี่ ๆ เหมือนข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยเป็นคนปัญญาอ่อนมาก่อน เรื่องนั้นจริงหรือเปล่า ?” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาเสียงเบา
เจียงป่าวชิงเหลือบตามองนางนิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไร แต่หญิงคนนั้นกลับขดตัวราวกับกำลังตกใจอย่างไรอย่างนั้น “ขะ… ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น ก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง”
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงง นี่นางด่าหรือตบยัยผู้หญิงคนนี้ไปแล้วหรือไง ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนว่าจะถูกจะกินหัวแบบนั้นด้วย เป็นอะไรกันนักกันหนา ?
ต่อมามีใครบางคนพูดใส่เจียงป่าวชิงอย่างไม่ยอมจากด้านข้าง “นางก็แค่ถามเจ้าเท่านั้น อีกอย่าง จะจริงหรือไม่เจ้าก็พูดมาสักหน่อยสิ เป็นใบ้เหรอ ? แทนที่จะตอบมาดี ๆ ยังมาขู่ขวัญคนอื่นอีก เหอะ! เจ้ามันก็แค่คนที่คิดว่าตัวเองหน้าตาสวยกว่าคนอื่น จะทำอะไรก็ได้งั้นสิ หึ!”
ตั้งแต่ตอนที่เจียงป่าวชิงยังไม่ขึ้นรถ นางก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกหมายหัวแล้ว แต่นางรู้ว่าเพราะอะไร ไม่ใช่ว่าเพราะ “โอกาสเป็นเมียน้อย” ที่มากกว่าคนอื่นอะไรทำนองนั้นหรอกรึ ?
เจียงป่าวชิงมองคนที่พูดเมื่อสักครู่ด้วยความรู้สึกเบาหวิว ขณะนี้ ฝุ่นลดลงครึ่งหนึ่งแล้วและนางไม่ได้ลุกลี้ลุกลนอะไร ทำเพียงตั้งสติและพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ทำไม ? ข้าอยู่ของข้าดี ๆ พวกเจ้าก็มาหาเรื่อง ข้านั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้พูดอะไรหนิ แต่แล้วยังไง เมื่อก่อนเป็นคนปัญญาอ่อนแล้วมันจะทำไมล่ะ ? ข้าหน้าตาสวยแล้วจะทำไม ? มันเป็นอุปสรรคต่อพวกเจ้ารึเป็นธุระกงการอะไรของพวกเจ้า ?”
ผู้หญิงคนนั้นหน้าแดงก่ำ นางกำลังจะด่ากลับแต่จู่ ๆ รถม้ากลับหยุดลงอย่างกะทันหัน ซ้ำยังโยกอย่างแรง โยกจนเด็กผู้หญิงอายุประมาณเจียงป่าวชิงสองสามคนล้มระเนระนาดไปกองกันอยู่ตรงมุมรถม้า
แต่เจียงป่าวชิงเตรียมตัวไว้ตั้งนานแล้ว นางนั่งอย่างมั่นคงมาโดยตลอด ร่างกายจึงโงนเงนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ล้ม
พวกเด็กผู้หญิงหลายคนล้มจนรู้สึกเวียนศีรษะ พวกนางส่งเสียงโวยวายกันยกใหญ่ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ล้มไปอยู่ตรงล่างสุดพูดไม่ออก นางส่งเสียงแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อยแล้วร้องไห้ทันที
“เจ็บชะมัดเลยให้ตายสิ! เกือบทำให้คนล้มทับกันตายอยู่แล้ว” พวกผู้หญิงเหล่านั้นตำหนิคนบังคับรถม้าและส่งเสียงโอดครวญไปด้วย พวกนางล้มทับกันจนรู้สึกเจ็บระบมไปหมดทั้งตัว
เจียงป่าวชิงเข้าไปช่วยพยุง ในขณะนี้พวกผู้หญิงเหล่านั้นพากันคว้ามือเจียงป่าวชิงเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้นโดยที่ไม่สนใจความไม่ชอบใจและความริษยาที่มีต่อเจียงป่าวชิงอีก
ตอนนี้พ่อบ้านหวังที่อยู่ข้างหน้าก็ลงจากรถม้าเช่นกัน เขามองพวกเจ้าหน้าที่ที่จู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากริมถนนหลักและเข้ามาล้อมรถม้าทั้งสามคันของพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา เห็นดังนั้น ฟันของเขาก็สั่นกระทบกัน แต่เขายังคงพยายามยิ้มและพูดขึ้นด้วยใบหน้าฝืน ๆ “พี่เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย พวกพี่เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าขอรับ ? เราไม่ใช่โจรอะไรนั่นหรอกนะ”
เขาหันกลับไปขอคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่คนที่ติดตามรถม้าของพวกพ่อบ้านหวังมาตลอดทาง
“พี่เจ้าหน้าที่ขอรับ พี่ต้องเป็นพยานให้พวกข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเราทำการตรวจสอบไปแล้วรึ ? พวกเราไม่ได้ซ่อนโจรไว้บนรถม้า เราทุกคนล้วนเป็นผู้ปฏิบัติตามกฎบ้านเมืองนะ”
เจ้าหน้าที่หัวเราะเยาะ “ไม่ได้ซ่อนโจรไว้ แต่พวกเจ้าเป็นสุจริตชนหรือไม่นั้นยังคงพูดยาก”
พ่อบ้านหวังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระทบกันอยู่ในใจ ทว่าเขายังยิ้มสู้ “พี่เจ้าหน้าที่หมายความว่าอะไรหรือ ?”
ตอนนี้เจียงป่าวชิงกำลังลงจากบนรถ เมื่อเห็นพ่อบ้านหวังยังคงแสร้งทำเป็นสับสนกับพวกเจ้าหน้าที่อยู่ตรงนั้น นางก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “พ่อบ้านหวัง ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายกับพวกเจ้าหน้าที่ไปสิว่าพ่อบ้านตั้งใจจะนำพวกผู้หญิงบนรถม้าไปส่งที่ไหน”
พ่อบ้านหวังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเจียงป่าวชิง เขาแสดงท่าทางไม่เข้าใจ “เจ้าคือเด็กผู้หญิงของครอบครัวแซ่เจียงใช่ไหม ? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ารู้อยู่แล้วรึว่าเราจะพาไปส่งที่ไหน ? แน่นอนว่าก็ต้องไปส่งที่บ้านนายท่านของพวกข้าน่ะสิ” พ่อบ้านหวังหันกลับมาอธิบายกับคนที่ท่าทางเหมือนเจ้าหน้าที่หัวหน้าสายตรวจที่เป็นผู้นำ “นายท่านของเราเตรียมเด็กผู้หญิงเหล่านี้เพื่อคัดเลือกเมียน้อย ถ้าไม่เชื่อ พี่เจ้าหน้าที่ก็ไปถามพวกนางบนรถม้าได้เลย”
พ่อบ้านหวังเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร เขาจึงเรียกเสียงดัง “ซิ่วชุ่ย เจ้าลงมาอธิบายให้พี่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ฟังหน่อยสิ”
ผู้หญิงคนหนึ่งลงมาจากในรถม้าของพ่อบ้านหวัง มวยผมของนางยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เสื้อผ้าก็ดูยับเยินอย่างประหลาด นางเห็นว่าทุกคนกำลังมองนาง นางก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าด้วยความตื่นตระหนกแล้วเอ่ยออกมาอย่างขลาดกลัว “พ่อบ้านหวังเรียกข้ามีอะไรรึ ?”
เจียงป่าวชิงจำได้ว่านี่คือหญิงสาวคนที่เป็นฝ่ายจะไปนั่งรถม้าคันเดียวกับพ่อบ้านหวังเมื่อสักครู่
พ่อบ้านหวังพูดเร่ง “เจ้ารีบบอกกับพี่เจ้าหน้าที่เหล่านี้สิว่าเรากำลังจะพาพวกเจ้าไปคัดเลือกเมียน้อยที่บ้านนายท่านของพวกข้าหรือเปล่า”
ซิ่วชุ่ยพยักหน้าอย่างงุนงง “ใช่จ้ะ เรากำลังจะไปคัดเลือกเมียน้อย และท่านยังมอบเงินสามตำลึงให้กับครอบครัวของเราทุกคนอีกด้วย”
พ่อบ้านหวังรู้สึกโล่งใจ เขาหันกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพูดกับหัวหน้าสายตรวจ “พี่เจ้าหน้าที่ได้ยินแล้วใช่ไหม ? พวกข้าเป็นสุจริตชนจริง ๆ และอีกอย่าง พวกเข้าคุยกับทางครอบครัวของพวกนางแล้วด้วย”