เมื่อออกจากอาคารหมายเลข 47 บนถนนเขาดำ ไคลน์สำรวจสถานการณ์เบื้องต้นของวินเทอร์ โดยปลอมตัวเป็นตำรวจและไล่สอบปากคำเพื่อนบ้านอย่างแนบเนียน
ผลลัพธ์เป็นไปอย่างราบรื่น
“เกาะไซมีมอยู่สุดขอบของหมู่เกาะรอสต์ หากเดินทางจากบายัม ต้องใช้เวลานานสี่ถึงห้าชั่วโมงด้วยเรือโดยสาร และมีเพียงสองเที่ยวต่อวัน คือเก้าและสิบโมงเช้าเท่านั้น ซึ่งวันนี้เลยเวลามาแล้ว… พ่อและแม่ของวินเทอร์จากโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีญาติสนิท สายสัมพันธ์เดียวคือหญิงสาวนามว่าเรนนี่ ซึ่งวินเทอร์ไม่มีโอกาสได้บอกรักหล่อน องค์ประกอบค่อนข้างเหมาะกับผู้ไร้หน้ามือใหม่อย่างเรา สำหรับใช้เติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของคนตาย… แต่การจะให้สารภาพรักต่อหน้าใครสักคนนี่มันออกจะ… น่าอายชะมัด… แล้วจะทำอย่างไรถ้าอีกฝ่ายตอบตกลงขึ้นมา? ควรเอาตัวรอดด้วยคำพูดแบบไหนดี…”
ไคลน์พยายามใช้ความคิด
มันกำลังเค้นสมองนึกถึงบทของนิยายจากโลกเก่า รวมถึงบทละครทีวีชื่อดังในอดีตหลายเรื่อง เพื่อหาทางออกในอุดมคติให้กับความซับซ้อนยุ่งเหยิงคราวนี้
เพียงไม่นาน มันเริ่มได้ข้อสรุป ห้วงอารมณ์กลับมาสงบนิ่ง พลางมุ่งความสนใจไปยัง ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้เพียงผู้เดียว
“ถ้ามิสเมจิกเชี่ยนส่งเครื่องรับโทรเลขถึงมือเราทันเวลาก็คงดี…” ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบาพลางเดินขึ้นรถม้าเช่า
…
เบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
ฟอร์สแกะเปิดจดหมายซึ่งซิลถือติดมือกลับเข้ามาในบ้าน
เป็นจดหมายจากอาวีลล์ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังประจำกรุงเบ็คลันด์ ภายในจดหมาย อีกฝ่ายมีความสุขมากกับการได้แบ่งปันความน่าตื่นเต้นของเทคโนโลยีการรับส่งคลื่นวิทยุแสนซับซ้อนให้มิสวอลล์
ฟอร์สอ่านข้ามช่วงต้นและกึ่งกลางไป โดยมุ่งประเด็นไปยังส่วนท้ายกระดาษ
“มีน่าสนใจอยู่สามรุ่น แหล่งซื้อขายถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจน โดยราคาเครื่องสูงสุดมีมูลค่าสิบสองปอนด์”
ฟอร์พลันถอนหายใจยาว เมื่อตระหนักว่าการแลกเปลี่ยนในคราวนี้มิได้เกี่ยวพันกับเงินก้อนใหญ่
หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่า ศักดิ์ศรีของตนฟื้นฟูกลับคืนมาเล็กน้อย
คงเป็นเพราะเธอได้ฟังตัวเลขจำนวนมหาศาล หลักหลายร้อยหลายพันปอนด์ จากการแลกเปลี่ยนภายในชุมนุมทาโรต์บ่อยครั้งเกินไป เงินจำนวนเพียงสิบกว่าปอนด์จึงแทบไม่อยู่ในสายตา
มิสเตอร์เวิร์ลมีช่องทางในการหาทรัพยากร แถมยังค่อนข้างเงินหนา เราอาจได้ซื้อขายกับเขาในอนาคต… ถ้าอย่างนั้น… ขายราคาทุนก็แล้วกัน อาจบวกเพิ่มในค่าเดินทางและค่าวัตถุดิบพิธีกรรมไปอีกเล็กน้อย…
ฟอร์สได้ข้อสรุป พลางมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
กรุงเบ็คลันด์ยังคงมืดสลัวเช่นเคย ท้องฟ้ามีฝนโปรยปรายเล็กน้อย แต่หมอกควันไม่หนาทึบเท่าเมื่อก่อน
“ถ้าถุงกระเพาะของผู้กลืนวิญญาณส่งมาถึงมือเร็วๆ ก็คงดี…” ฟอร์สออกท่าทางกระวนกระวาย เธอคงอยากถีบตัวเองให้พ้นจากลำดับ 9 เต็มทีแล้ว
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคเตรียมถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณเรียบร้อย รวมไปถึงวัตถุดิบวิเศษตามความต้องการของมิสเตอร์แฮงแมนอีกสองสามชนิด แต่ชายหนุ่มยังไม่ใจร้อนสังเวยถึงเดอะฟูลทันที
มันอดทนรออย่างใจเย็น รอให้ประมุขของเมืองนำทีมออกไปสำรวจ หรือไม่ก็ประกอบพิธีกรรมสำคัญสักชนิดเสียก่อน
“ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว… ห้ามประมาทเด็ดขาด!” เดอร์ริคย้ำเตือนกับตัวเองหนักแน่น พลางเปิดอ่าน ‘จดหมายเหตุวังราชาคนยักษ์ ฉบับบันทึกด้วยมือโดยศิลาดำ’
มันเคยอ่านเนื้อหาบางส่วนไปแล้ว และสามารถจินตนาการถึงภาพลักษณ์ของวังราชาคนยักษ์จากสมัยบรรพกาล
หากคำอธิบายไม่ผิดพลาด
นี่คือวังแห่งทวยเทพ!
คล้ายกับห้วงมิติในบริเวณดังกล่าวถูกแช่แข็งกระแสเวลาให้หยุดนิ่งในช่วงเวลาพลบค่ำ บรรยากาศท่วมท้นด้วยความตระการตา ตึกรามบ้านช่องบางแห่งสูงเสียดก้อนเมฆ
หากมนุษย์ย่างกรายเข้าไป พวกมันจะมีขนาดกระจ้อยร่อยจนดูด้อยค่าไปโดยปริยาย ห้วงอารมณ์จะเกิดความศรัทธาต่อผู้เป็นเจ้าของทัศนียภาพอันสมบูรณ์แบบแห่งนี้จากก้นบึ้งหัวใจ
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตฮิลสตัน
บ้านตระกูลเวย์แมนดี้
หลังจากฟังคำอธิบายจบ เอ็มลิน·ไวท์หวีผมจัดแต่งทรง พลางจงใจซักถามเข้าประเด็น
“ท่านบารอน ข้าไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเคยได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน แต่จำได้รางๆ ว่า สมัยอดีตกาล เคยมีเมืองชื่อ ‘เงินพิสุทธิ์’ ดำรงอยู่ในช่วงต้นยุคสมัยที่สอง… เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
อีกอยู่ในฝ่ายในสภาพหวีผมเรียบร้อย สวมเชิ้ตผ้าฝ้ายสีแดงสด มือข้างหนึ่งถือกล้องยาสูบ สีหน้ากำลังเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นของสภาพอากาศ
“ไม่น่าใช่… หรืออย่างน้อย ในความทรงจำของข้าก็ไม่มีเมืองชื่อเงินพิสุทธิ์ในช่วงก่อนยุคมหาภัยพิบัติ”
โดยไม่ปล่อยให้เอ็มลินแสดงความยินดีปรีดาจนเลยเถิด เวย์แมนดี้เสริม
“แต่มีอาณาจักรชื่อเงินพิสุทธิ์อยู่ เคยถูกปกครองโดยราชาคนยักษ์ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอาณานิคมในภายหลัง”
อาณาจักรเงินพิสุทธิ์?
เอ็มลิน·ไวท์เค้นสมองคิด
“ท่านบารอน แล้วมีคำอธิบายเฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ไหม? เกี่ยวกับอาณาจักรเงินพิสุทธิ์บรรพกาลนั่น”
เวย์แมนดี้เงยหน้ามอง พลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะกล่าว
“อาณาจักรเงินพิสุทธิ์มีสถานะพิเศษภายในวังราชาคนยักษ์ พวกมันมิได้รับใช้ราชาอย่างเออร์เมียร์โดยตรง ความศรัทธาดังกล่าวจะถูกมอบให้กับราชินีแห่งวังราชาคนยักษ์… โอมีเบล่า”
…
‘เมืองแห่งการให้’ บายัม เขตท่าเรือ
ถนนมะนาวเปรี้ยว โรงแรมวายุคราม
ไคลน์ยืนตรงหัวมุมถนน ปลดจี้บุษราคัมจากข้อมือซ้าย และทำนายเพื่อยืนยันว่าการกลับเข้าไปจะไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นกับตน
เมื่อเบาใจ ชายหนุ่มกลับไปยังโรงแรมอย่างไม่รีบร้อน เดินขึ้นชั้นสามและเปิดประตูห้องพักสุดหรูเข้าไป
ไคลน์มีอันต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็น ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส เอาแต่นอนซังกะตายบนเก้าอี้เอนหลังพลางจิบเหล้า
หลังจากยืนครุ่นคิด ไคลน์ตัดสินใจซักถามอย่างเย็นชา
“ตอนนี้กี่โมง”
“ตรงนั้นก็มีนาฬิกาแขวนไม่ใช่รึไง” เดนิสพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
มันเงยหน้าและขานเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาบนผนังฝั่งตรงข้าม
“บ่ายสามสี่สิบ…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เดนิสพลันได้สติ จึงรีบพยุงตัวนั่งหลังตรงและหัวเราะแห้งสองหน
“ฉันได้ถามคนรู้จักทุกคนและตระเวนไปยังแหล่งข่าวทุกแห่งจนทั่วแล้ว! การออกไปข้างนอกนานไม่ใช่เรื่องดีนัก มันเพิ่มความเสี่ยงในการถูกพบตัว และนั่นจะทำให้แผนการล่าของนายล้มเหลว!”
ไคลน์ดึงเก้าอี้มานั่งและพูดเสียงเยือกเย็น
“เจออะไรมาบ้าง เล่าให้หมด”
“นายคิดว่าฉันทำงานบกพร่อง? จริงอยู่ ฉันอาจเป็นนักผจญภัยกระหายสมบัติ แต่ก็ถือเป็นโจรสลัดมากประสบการณ์คนหนึ่งเหมือนกัน!” เดนิสรู้สึกคล้ายกับตนกำลังถูกดูแคลนสติปัญญา
หลังจากสำรวจสีหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย มันยิ้มแห้ง ก่อนจะอธิบายเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงเช้าและบ่ายอย่างละเอียด เข้าไปหาใครบ้าง บทสนทนาเป็นอย่างไร และฝากฝังสิ่งใด ทุกสิ่งถูกเล่าอย่างฉะฉาน
แต่หลังจากได้ยินเดนิสรำพันว่า โจรสลัดนาม ‘อัลเจอร์’ กัปตันเรือผีสิงลึกลับ ทราบถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายในท่าเรือแบนชี ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วชนกัน
แม้แต่คนในของโบสถ์วายุสลาตันอย่าง ‘แฮงแมน’ ก็ยังไม่ทราบข่าวเมืองท่าแบนชีจนกระทั่งเราบอกผ่านเดอะเวิร์ล แล้วนายอัลเจอร์คนนี้เป็นใคร? ทราบได้อย่างไร?
สมาชิกระดับสูงของโบสถ์วายุสลาตันผู้ปลอมตัวเป็นโจรสลัด? หรือจะเป็นหนึ่งในสมาชิกลัทธิโบราณบนเมืองท่างแบนชี?
หืม… ถ้าจำไม่ผิด มิสเตอร์แฮงแมนใช้ชีวิตอยู่บนทะเลเกือบจะตลอดเวลา… เป็นไปได้…
ไคลน์เพ่งสมาธินึกถึงรูปลักษณ์ของแฮงแมนในหัว
จริงอยู่ หากเป็นบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา มันจะมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าเป็นรายละเอียดโดดเด่นอย่างสีผมหรือเพศ มันไม่มีวันมองพลาดไปแน่!
ชายหนุ่มยกมือขึ้น เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายหยุดเล่าชั่วคราว ตามด้วยการถามเสียงต่ำ
“ผ้าเผ้ายุ่งเหยิง สีน้ำเงินเข้มเหมือนกับสาหร่ายทะเล?”
“นายก็รู้จักด้วยหรือ? กะแล้วเชียว! เจ้านั่นไม่ใช่โจรสลัดธรรมดาจริงด้วย!” เดนิสถอนหายใจ
ไม่ผิดคาด… หึหึ แต่เราก็คิดไม่ถึงว่าจะหาตัวอีกฝ่ายพบด้วยวิธีนี้…
ไคลน์เพียงโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยด้วยบรรยากาศเงียบงัน มิได้ซักถามสิ่งใดเพิ่มเติม
“กลับเข้าเรื่อง”
เดนิสมิได้ใส่ใจเรื่องเดิม มันกลับมาอธิบายขั้นตอนการสืบข่าวของตนจนจบ
“นายต้องเข้าใจก่อนว่า การหาข่าวของโจรสลัดไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อลองทำอย่างสุดฝีมือแล้ว สิ่งเดียวคือการสวดภาวนาและรอคอยให้ทุกสิ่งเป็นใจ โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลาค่อนข้างนาน”
“แต่ฉันมีวิธีลัด ไม่ต้องให้เสียเวลา”
ไคลน์จงใจกล่าวคลุมเครือ
“วิธีอะไร?” เดนิสถามด้วยสีหน้างุนงง
ไคลน์ใช้ปลายนิ้วขยับกรอบแว่น พลางยกยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปาก
“ใช้เหยื่อล่อ”
เหยื่อล่อ? เดนิสประสานสายตากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสับสน
จนกระทั่งเริ่มฉุกคิดบางสิ่ง
นอกจากตัวมัน ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถใช้เป็นเหยื่อล่อได้อีกแล้ว!
ตามหลักการตกปลาทั่วไป นักตกปลาไม่เคยสนใจว่าเหยื่อจะมีสภาพอย่างไรหลังจากถูกปลางับ! มันสนแต่ปลาเท่านั้น!
สรุปโดยสั้น การยอมเป็น ‘เหยื่อ’ เท่ากับส่งตัวเองเข้าไปสู่ประตูนรก!
“ฮะฮะ! วิธีดังกล่าวไม่ได้ผลหรอก เชื่อฉันสิ ยิ่งไปกว่านั้น ญาณวิเศษของฉันกำลังบอกว่า แถวๆ โรงละครแดงต้องมีเบาะแสสำคัญของ ‘เหล็กกล้า’ ซ่อนอยู่แน่! ฉ…ฉันจะรีบออกไปสืบข่าวเดี๋ยวนี้!”
เดนิสรีบสวมโค้ทตัวใหญ่อย่างลนลาน ก่อนจะเดินพ้นประตูห้องพักบานใหญ่
เดิมที ไคลน์มีแผนจะสะกดรอยตามเพื่อดูว่าเดนิสได้พบเบาะแสใดบ้าง แต่กลับได้ยินเสียงวิงวอนจากใครบางคนเสียก่อน
เป็นเสียงผู้ชาย
ชายหนุ่มหยุดยืนครุ่นคิด และตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำ
ราวสิบวินาทีถัดมา ไคลน์ส่งจิตตัวเองขึ้นไปยังวังสายหมอกสีเทา และพบว่าดาวแดงตัวแทน ‘แฮงแมน’ กำลังยุบพองเป็นจังหวะ
นึกแล้วเชียว… มันเอนหลังพิงเก้าอี้พลางถ่ายวิญญาณเข้าไปในดาวแดง
เสียงของแฮงแมนดังอย่างแจ่มชัด
“ถึงท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ขณะผมได้รับมอบหมายให้สืบสวนกุญแจเทพมรณาของพลเรือโทธารน้ำแข็ง ระหว่างทางได้พบกับ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสเข้าโดยไม่ตั้งใจในบ่อนพนันเหรียญทอง และทราบว่าชายคนนั้นคือหนึ่งในพยานรู้เห็นเหตุการณ์บนเท่าเรือแบนชี โดยภายหลังยังได้ทราบว่า ชายคนนั้นเตรียมวางแผนแก้แค้น ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ร่วมกับตัวตนทรงพลังสักคนหนึ่ง ผมสงสัยว่า ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสกำลังทำงานร่วมกับข้าหนึ่งในรับใช้ของท่าน จึงตัดสินใจส่งข้อความวิงวอนในครั้งนี้ หากนั่นเป็นความจริง และเขาต้องการความช่วยเหลือ ผมสามารถมอบความช่วยเหลือได้ตามสถานการณ์”
มิสเตอร์แฮงแมนคาดเดาตัวตนแท้จริงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกแล้วสินะ… ในตอนแรก เขาอาจแค่สงสัย แต่มั่นใจหลังจากได้ถามหยั่งเชิงเดนิส… นั่นสินะ ถ้ามีความช่วยเหลือจากบุคคลในท้องถิ่น การล่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้คงราบรื่นกว่าเดิมมาก…
เว้นเสียแต่ว่า แฮงแมนจะพบวิธีจัดการกับเดอะฟูลโดยตรง ไม่อย่างนั้น เขาไม่มีวันหักหลังหรือวางกับดักข้ารับใช้เดอะฟูลแน่นอน… ถ้าประเมินจากท่าทีตอบสนอง ชายคนนั้นยังมิได้เคลือบแคลงในตัวเดอะฟูล… ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เราไม่เคยทิ้งช่องโหว่ให้สืบสาว…
ไคลน์สรุปความคิด
หลังจากทำนายยืนยัน ชายหนุ่มสร้างหมอกเทียมขึ้นมาปกคลุมรอบ ‘เดอะเวิร์ล’ ตัวปลอม และแสร้งทำเป็นสวดวิงวอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถึงมิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ผมต้องการความช่วยเหลือจากเขา”
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ไคลน์ส่งภาพและเสียงเข้าไปในดวงดาวสีแดงเข้มตัวแทนมิสเตอร์แฮงแมนทันที
……………………