Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 501 : เหยื่อล่อ

ราชันเร้นลับ 501 : เหยื่อล่อ

หลังจากส่งโทรเลขและเก็บกวาดโต๊ะทำงานเรียบร้อย ฉลามขาว·แฮมิลตันเริ่มผ่อนคลายความกังวล จนสมองปลอดโปร่งพอจะทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่

คำถามแรกผุดขึ้นในหัว :

แล้วคนคุมด้านนอกล่ะ?

แฮมิลตันรีบพยุงตัวยืนด้วยแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะเดินไปเปิดแง้มประตูห้อง และได้พบกับลูกน้องหลายคนกำลังยืนสนทนาอย่างหละหลวมพลางยิงมุกตลกเกี่ยวกับโสเภณี

โทสะอันเดือดดาลพลันลุกโชนภายในใจฉลามขาว แต่มันก็รีบสงบสติ และจงใจกระแทกบานประตูให้เกิดเสียงดัง

โครม!

บรรดาลูกน้องด้านนอกต่างสะดุ้งเฮือกพร้อมกับหันมองอย่างพร้อมเพรียง

“บอส…”

“บอส…!”

เมื่อพบต้นตอคนทำเสียงดัง พวกมันรีบยืนตัวตรงและกลับไปประจำตำแหน่งด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

ฉลามขาวถอนหายใจยาวพลางตั้งคำถาม

“มีใครเข้ามาในห้องฉันบ้างไหม”

“มีครับ ลาร์เดโร หมอนั่นเล่าว่าข้างล่างมีความวุ่นวายเกิดขึ้น…” ลูกน้องทำสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินคำถาม “บอสเป็นคนอนุญาตให้เข้าไปเองไม่ใช่หรือ”

เมื่อกล่าวจบ กลุ่มลูกน้องเริ่มฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ทางอื่น จึงรีบถามกลับอย่างเป็นกังวล

“มีของถูกขโมยไปหรือครับ?”

ขณะเดียวกัน สีหน้าแฮมิลตันพลันดำมืด มันส่ายหน้าพร้อมกับส่งเสียงตวาด

“ทำงานไป! ห้ามคุยเล่น!”

ตึง!

แฮมิลตันดึงประตูปิดเสียงดัง ปล่อยให้ลูกน้องด้านนอกมองตากันสักพักพลางเข้าใจว่า หัวหน้าของตนคงกำลังเมา

ภายในห้องทำงาน แฮมิลตันร่างใหญ่กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างกระวนกระวาย

“ลาร์เดโร… พวกมันเห็นเป็นลาร์เดโร… เจ้านั่นมีพลังในการแปลงโฉม?” ในฐานะสายข่าวผู้รับแลกเปลี่ยนสินค้าและคอยรวบรวมข้อมูลให้โจรสลัด ฉลามขาว·แฮมิลตันย่อมเคยได้ยินตำนานอันโด่งดังมาบ้าง

จึงนึกถึงพลังของพลเรือโทวายุ·คีลิงเกอร์ ผู้สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้

มันเริ่มวิเคราะห์อย่างใจเย็น

ไม่สิ… พลังพิเศษของอีกฝ่ายอาจไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงขั้นแปลงโฉม แต่เป็นพลังประเภทภาพลวงตา ชี้นำจิตใจ หรือบงการความคิด

…มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แม้ภายนอกเจ้านั่นจะดูคล้ายสุภาพชน แต่ภายในกลับวิกลจริตและบ้าบิ่นจนน่าเหลือเชื่อ ด้วยลักษณะนิสัยดังกล่าว มันควรฆ่าลูกน้องด้านนอกหรือไม่ก็ทำให้สลบเป็นอย่างน้อย จึงค่อยเดินมาเคาะประตูห้องทำงานเราอย่างเลือดเย็น…

หากมันกังวลว่าจะสร้างความวุ่นวายหรือเป็นการเปิดเผยพลังพิเศษ ก็ยังมีวิธีง่ายกว่านั้นอยู่ นั่นคือการปืนหน้าต่างขึ้นมาหาเราโดยตรงอย่างเงียบเชียบ…

ขัดแย้งอย่างมาก… และเหตุผลรองรับความขัดแย้งดังกล่าวมีเพียงสาเหตุเดียว…

มันกำลังปกปิดบางสิ่ง…

กำลังปกปิดพลังพิเศษ หรือปกปิดอุปนิสัยของตัวเอง? หรือทั้งคู่?

ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ แฮมิลตันเริ่มได้ข้อสรุป

เจ้านั่นอาจเป็นแค่มือใหม่… พฤติกรรมเสียสติเป็นเพียงการแสดง โดยพลังพิเศษเกิดมีแหล่งกำเนิดจากสมบัติวิเศษ!

ต้องเป็นแบบนั้นแน่!

ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายความขัดแย้งได้…

เจ้าไก่อ่อนไม่กล้าเสี่ยงปืนหน้าต่างเนื่องจากยังเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับต่ำ และไม่ใช่เส้นทางชำนาญด้านการปืนป่าย… เพื่อให้ได้เข้ามาในห้องเรา มันลงทุนลดศักดิ์ศรีและยอมเรียกเราว่า ‘บอส’ …

พลังในการตบตาลูกน้องล้วนเกิดจากผลของสมบัติวิเศษ… และมันไม่ได้เสียสติจริง…

มันกล้าทำตัวเหมือนคนบ้าเพราะมีสมบัติวิเศษช่วยสร้างความหวาดกลัวในใจเรา ทั้งหมดมีจุดประสงค์เพื่อหลอกถามข้อมูล…

นั่นยังอธิบายได้ด้วยว่า ทำไมมันถึงเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น…

หลังจากครอบครองสมบัติวิเศษหายากเข้าโดยบังเอิญ มันวางแผนใช้พลังดังกล่าวหลอกถามเรา และหวังล่าค่าหัวโจรสลัดปลายแถวสักคนสองคนติดไม้ติดมือ… แต่เมื่อทราบว่าเราทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของพลเรือเอกโลหิต เฒ่าควินน์ และโอเดล·อสรพิษเหรียญเงิน ผู้มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนของราชินีเงื่อนงำ มันจึงเกิดความหวาดกลัวและรีบถอนตัวกลับทันทีโดยไม่กล้าฆ่าใครแม้แต่คนเดียว!

ยิ่งแฮมิลตันใช้ความคิด มันก็ยิ่งมั่นใจในการวิเคราะห์ของตน

เครื่องรับส่งวิทยุถูกติดตั้งอีกครั้งพร้อมกับการพลิกเปิดสมุดบันทึกข้อมูล ตามด้วยการส่งโทรเลขโดยมีเนื้อหาอ้างอิงจากทฤษฎีใหม่

แฮมิลตันไม่เชื่อว่าตนถูกคุกคามโดยนักล่ามือฉมัง อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มทะเยอทะยานผู้บังเอิญโชคดีได้ครอบครองสมบัติวิเศษหายาก

ฉลามขาวพยายามอธิบายข้อมูลของอีกฝ่ายโดยละเอียด

“ผมทอง ตาฟ้า ไม่บ้าบิ่น ค่อนข้างขี้ขลาด ครอบครองสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการแปลงโฉมหรือไม่ก็สร้างภาพลวงตา แต่เมื่อประเมินจากออร่าความน่าสะพรึงกลัว อย่างหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า เจ้านั่นเป็นแค่มือใหม่ผู้ไม่เจนโลกมากนัก ออร่าสัตว์ประหลาดรอบตัวมันคงเป็นผลจากสมบัติวิเศษเช่นกัน มันพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับฉันอยู่บ้าง และทำตัวไม่เหมือนกับหน้าใหม่ผู้เพิ่งมาเยือนเมืองท่าดาเมียร์เป็นครั้งแรก”

แกร่ก. แกร่ก. แกร่ก…

ฮามิลตันชะงักนิ้วพร้อมกับเอนหลังพิงด้วยสีหน้าพึงพอใจ เก้าอี้ทำงานส่งเสียงตอบสนองเล็กน้อยเมื่อถูกน้ำหนักตัวกดทับ

มุมปากยกโค้งอย่างมีความสุข ราวกับกำลังจินตนาการภาพของชายเสียสติคนเมื่อครู่ถูกจับถ่วงก้นทะเล

“ท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ฉันไม่เคยเห็นไอ้กระจอกแต่มีของดีคนไหนอายุยืน… รอก่อนเถอะ ฉลามหิวกระหายจำนวนมากกำลังจะเริ่มแหวกว่ายเพื่อตามกลิ่นเลือด! เมื่อถึงตอนนั้น ความลับของเราก็จะถูกปิดเป็นความลับต่อไป”

ภายใต้ท้องฟ้าสีดำยามราตรี บรรยากาศรอบเมืองท่าค่อนข้างเงียบสงบ

หลังจากเดินพ้นประตูผับปลาบินและไวน์ ไคลน์ยังคงย่ำเท้าหนีออกมาเป็นระยะทางไกลพลางหักเลี้ยวไปมาอีกหลายซอกซอย ก่อนจะค่อย ๆ ลดความเร็วลงทีละนิดจนกลายเป็นการเดินทอดน่อง

เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตาม เมื่อเดินผ่านมุมมืด ชายหนุ่มแปลงโฉมกลับเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พร้อมกับยัดชายเสื้อกลับเข้าไปในขอบกางเกงขายาว

ไคลน์จัดแต่งจอนสองข้างให้เรียบร้อย ตามด้วยการหยิบแว่นตากรอบทองขึ้นมาสวม มอบบรรยากาศเย็นชาภายใต้มาดสง่างาม

จากนั้น มันอาศัยแสงสว่างจากดวงดาวนำทางกลับไปยังเรือโมราขาว

ขณะเดิน ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเยือกเย็น พลางครุ่นคิดท่ามกลางสายลมเหน็บหนาว

หวังว่าฉลามขาวจะไม่โง่จนมองไม่เห็น ‘ตำหนิ’ ซึ่งเราจงใจทิ้งไว้…

ไคลน์จงใจสร้าง ‘ตัวตน’ ชายผมทองดวงตาสีฟ้า ให้เป็นไอ้หนุ่มหน้าใหม่ผู้อ่อนหัดต่อโลก แต่ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับท่าเรือดาเมียร์และฉลามขาวพอประมาณ และครอบครองสมบัติวิเศษช่วยให้ดูบ้าบิ่นและวิกลจริต

ไคลน์ตระหนักเป็นอย่างดีว่า การตามหาโจรสลัดกลางทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้แต่รัฐบาลกับเจ็ดโบสถ์หลักก็ยังทำไม่ได้ ตัวมันเองก็คงทำได้ไม่ง่ายเช่นกัน ฉะนั้น แผนการของชายหนุ่มจึงเป็น :

ลองหยั่งเชิงสอบสวนฉลามขาว หากได้พิกัดแน่ชัดของโจรสลัด มันก็จะตามไปถล่มให้ราบคาบทันที แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะอาศัยตัวตน ‘นักผจญภัยอ่อนหัดแต่ครอบครองสมบัติวิเศษหายาก’ เพื่อล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับ

เมื่อไคลน์ทราบว่าฉลามขาวสามารถติดต่อกับเฒ่าควินน์ หนึ่งในหน่วยข่าวกรองของพลเรือเอกโลหิต แผนการก็นับว่าลุล่วงทันที

หลังจากนั้นก็ทำเพียงจดจำคลื่นวิทยุและการเข้ารหัสเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวในอนาคต ผนวกกับเอกลักษณ์พิเศษของเดอะฟูลผู้ไม่มีวันถูกทำนายถึง ไคลน์ก็แค่ดักรอเชือด ‘เหล่าฉลามกระหายเลือด’ ทีละคนสองคนอย่างใจเย็น

แต่ปัญหาในตอนนี้คือ เราไม่มีเครื่องมือสำหรับดักฟังความเคลื่อนไหว… ของแบบนี้หาซื้อในทะเลไม่ได้แน่… คงต้องให้เดอะเวิร์ลฝากมิสจัสติสหรือมิสเมจิกเชี่ยนซื้อและส่งมาจากเบ็คลันด์ นี่คือพลัง ‘เดลิเวอรี่’ อันเป็นจุดแข็งของเดอะฟูล!

เมื่อเห็นโมราขาวอยู่ไม่ไกล ไคลน์เร่งฝีเท้าจนกระทั่งพบกับครอบครัวดอนน่าและคลีฟส์กำลังเดินสวนมาจากถนนอีกฝั่ง

คลีฟส์พยักหน้าทักทายตามมารยาท ตามด้วยการถามเสียงทุ้ม

“ผมได้ยินมาว่า มีเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นในผับปลาบินและไวน์”

หูไวเหมือนกันนี่… คงมีเส้นสายในเมืองท่าดาเมียร์พอสมควร…

ไคลน์ยิ้ม

“ก็แค่สั่งสอนพวกหัวหมอไปสองคน”

ได้ยินเช่นนั้น คลีฟส์ขมวดคิ้ว และพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์แตกต่างไปจากทุกที

ย้อนกลับไปขณะได้พบกันบนเรือครั้งแรกคลีฟส์มองว่า ถึงแม้นักผจญภัยหนุ่มผู้นี้จะเย็นชาและค่อนข้างเย่อหยิ่ง แต่ก็ยังเผยรอยยิ้มเป็นครั้งคราวตามโอกาส มีความสุภาพในการใช้สรรพนามคล้ายกับคนในเมืองหลวง และรู้จังหวะจะโคนว่าตอนไหนควรถอย

แต่ในปัจจุบัน คลีฟส์เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมันเริ่มสัมผัสถึงเพลิงแห่งความบ้าบิ่นภายในใจอีกฝ่าย

ทันใดนั้น บิดาของดอนน่าพูดขัดจังหวะ

“มิสเตอร์คลีฟส์ สุภาพบุรุษผู้นี้คือ?”

“เพื่อนร่วมอาชีพครับ เกอร์มัน·สแปร์โรว์”

คลีฟส์แนะนำตัวเรียบง่าย

ไคลน์ยิ้มสุภาพพร้อมกับยื่นมือขวาไปหา

“หากคุณต้องการจ้างใครสักคนและคลีฟส์ไม่ว่าง สามารถนึกถึงผมได้เสมอ”

“ไม่มีปัญหา หวังว่าคุณจะเก่งกาจและมีความเป็นมืออาชีพเหมือนกับเขา!” บิดาของดอนน่าจับมือไคลน์ด้วยท่าทีกระตือรือร้น ตามด้วยการแนะนำตัว “เออร์ดี้·แบรนช์”

ขณะไคลน์ปล่อยมือ สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติเล็กน้อยจากกล่องของขวัญในมือคนรับใช้แบรนช์

ชายหนุ่มแอบเปิดเนตรวิญญาณ และพบว่าภายในกล่องมีเนื้อหมักเกลือหลายชิ้น

ทว่า ผิวรอบนอกของเนื้อกลับกำลังส่องแสงสีขาว ดำ และแดง ลักษณะคล้ายคลึงกับออร่าของโลกวิญญาณ

กลิ่นอายพลังวิญญาณ… แต่ไม่เป็นอันตรายมากนัก… เนื้อพวกนี้แปลกมาก…

ไคลน์ยืนทำหน้าประหลาดใจ

เห็นดังนั้น บิดาของดอนน่าอมยิ้ม

“ความพิเศษของเมืองท่าดาเมียร์คือการมีภูเขาไฟดับมอดอยู่กึ่งกลางเกาะ รอบภูเขามีช่องว่างเล็กน้อยคล้ายโพรงถ้ำ มีลมร้อนตามธรรมชาติพัดผ่านออกมา ส่งผลให้ หากนำเนื้อไปบ่มในบริเวณดังกล่าว จะได้รสชาติสุดกลมกล่อมและเป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การซื้อไปเป็นของฝากให้เพื่อนฝูง มิสเตอร์สแปร์โรว์ ถ้าต้องการซื้อติดไม้ติดมือกลับไป ตอนนี้ก็ยังทันนะครับ”

รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์…

รสชาติของโลกวิญญาณ?

ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์

ตามทฤษฎีของศาสตร์เร้นลับ โลกวิญญาณจะซ้อนทับกับโลกจริงอย่างสมบูรณ์ โดยแยกมิติออกจากกัน ต้องอาศัยพลังพิเศษของบางเส้นทางเพื่อสร้างอุโมงค์สำหรับเดินทางไปมาระหว่างกัน แต่ทฤษฎีดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป พลังของโลกวิญญาณสามารถเอ่อล้นออกมาจนส่งผลกระทบต่อโลกความจริงได้บางส่วน

ตัวอย่างเช่น หากคนตายในน้ำ ก็จะมีโอกาสกลายเป็นพรายน้ำ หรือการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตประเภทซอมบี้และชนิดอื่นซึ่งคล้ายคลึงกัน รวมถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเล็กน้อยภายในบ้านซึ่งเคยมีคนตาย

บางที ในโพรงภูเขาไฟใจกลางเมืองท่าดาเมียร์อาจมีลักษณะเดียวกัน แต่มิได้ร้ายแรงจนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน จุดดังกล่าวช่วยให้เนื้อหมักเกลือมีรสชาติยอดเยี่ยมและเป็นเอกลักษณ์… ประกอบกันคนทั่วไปมิได้รับประทานเข้าไปในปริมาณมาก จึงแทบไม่ส่งผลต่อร่างกาย…

ไคลน์ยิ้มตอบ

“ผมไม่ชอบเนื้อหมักเกลือ”

ขณะเดียวกัน มันก็ได้ข้อสรุปว่า เนื้อหมักเกลือซึ่งบาร์เทนเดอร์ของผับปลาบินและไวน์ยกมาเสิร์ฟตน เป็นเพียงอาหารคุณภาพต่ำและไม่ใช่ของขึ้นชื่อประจำเมืองท่า

ทันใดนั้น เด็กชายแดนตันชี้นิ้วขึ้นไปยังดวงจันทร์ด้านบนท้องฟ้า

“สีแดงสว่างจัง!”

“อื้อ!” ดอนน่าพยักหน้ารับ

สีแดงสว่าง…? ไคลน์แหงนมองและพบว่าดวงจันทร์ยังคงมีสีแดงตามปรกติ

หืม… คงเป็นเพราะเด็กเล็กยังมีจิตบริสุทธิ์ หลังจากกินเนื้อหมักเกลือปนเปื้อนพลังวิญญาณเข้าไป การมองเห็นจึงเหมือนกับขณะใช้เนตรวิญญาณชั่วคราว… ชักน่าสนใจแล้วว่า เด็กทุกคนบนเกาะจะเป็นแบบนี้กันหมดหรือไม่ หึหึ… นี่คงเป็นต้นตนของตำนานปรัมปราทั้งหมดบนเมืองท่าดาเมียร์…

ไคลน์ใคร่ครวญจนเริ่มพบคำตอบ

หลังจากนั้น ทุกคนทยอยเดินขึ้นบันไดไปยังดาดฟ้าเรือ

ไคลน์โบกมืออำลาและเดินตรงไปยังห้องพักชั้นสองของตน

ทันใดนั้น มันสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมทางละอองพลังงานรอบตัว จึงรีบเปิดเนตรวิญญาณตรวจสอบ

และไม่ผิดคาด ชายหนุ่มได้พบกับผู้ส่งสารร่างยักษ์ท่ามกลางกองกระดูกสีขาว

อีกฝ่ายรีบวางจดหมายลงตรงหน้าไคลน์

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset