หลังจากบทสนทนาเกี่ยวกับตำนานสมบัติอันลึกลับและชวนฝันจบลง พ่อครัวได้ย่างเนื้อติดมันส่วนท้องของเมอร์ล็อกเสร็จพอดี
เมื่อผ่านการย่าง เนื้อท้องได้กลายเป็นสีขาวนุ่มคล้ายปุยหิมะ มีจุดไหม้เกรียมสีดำเล็กน้อยประปรายตามขอบ บางส่วนถูกฉาบไว้ด้วยชั้นเครื่องเทศสีน้ำตาล ช่วยให้ดูชุ่มฉ่ำและน่ากินมากยิ่งขึ้น
การบรรจงทาเครื่องเทศทีละนิดด้วยแปรงทำให้รสชาติซึมเข้าไปในเนื้อจนเข้มข้น แถมยังช่วยให้มีรูปลักษณ์น่ากินเป็นอย่างมาก
“เป็นการย่างปลาในแบบเดซีย์ แตกต่างจากปลาย่างทั่วไป” ไอร์แลนด์ชี้ไปทางภาชนะกระเบื้องเคลือบในมือพ่อครัว
ดอนน่าถือมีดส้อมพลางกล่าวด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“ความจริงแล้ว หนูชอบกินปลาย่างน้ำผึ้งมากกว่า… แต่แบบนี้ก็น่าอร่อยเหมือนกัน!”
ปลาย่างน้ำผึ้ง… ต้องใช้น้ำผึ้งมากขนาดไหนกัน…? ถ้ามีโอกาส เราก็อยากลองชิมบ้างสักครั้ง รสชาติคงอร่อยไม่หยอก…
ไคลน์จินตนาการเรื่อยเปื่อย
เมื่อมีพ่อครัว ทุกคนก็ไม่ต้องเดือดร้อนเดินไปตักหั่นกันเอง เพียงนั่งมองพ่อครัวมืออาชีพแบ่งชิ้นปลาอย่างชำนาญ จัดจาน โรยเครื่องปรุงรสเพิ่มเล็กน้อย และยกมาเสิร์ฟตรงหน้า
ไคลน์พิถีพิถันกับการกินอาหารคุณภาพสูงมาก มันไม่รีบร้อนจิ้มปลาเข้าปากทันที แต่เลือกกลั้วคอด้วยชาดำซึ่งมีรสเปรี้ยวเล็ก ๆ เพื่อล้างช่องปากให้สะอาด
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ใช้ส้อมจิ้มเนื้อท้องเมอร์ล็อกย่างใส่ปากหนึ่งคำ
แทบจะในพริบตา ชายหนุ่มถูกกระตุ้นด้วยรสชาติอันนุ่มละมุนของยี่หร่า โหระพา และเครื่องเทศชนิดอื่น ถือเป็นการเปิดต่อมรับรสได้อย่างดีเยี่ยม
ถัดมา น้ำมันเนื้อปลาได้ผสานเข้ากับเกลือทะเลซึ่งช่วยดึงรสชาติ ตัดด้วยความเปรี้ยวและหวานจากมะนาว รสชาติอันเข้มข้นจากทุกองค์ประกอบได้ระเบิดพร้อมกันภายในช่องปากจนน้ำลายแตกฟอง
ยิ่งได้เคี้ยว แรงต่อต้านจากผิวเนื้อปลาก็ยิ่งถูกทำลายไปทีละชั้น จนกระทั่งไขมันอันอ่อนนุ่มกระทบกับฟันกรามและผสมผสานกลายเป็นรสชาติอันสมบูรณ์แบบติดปลายหวาน
หลังจากกลืนเนื้อเมอร์ล็อกคำสุดท้ายลงคอ ไคลน์นึกทบทวนคำพูดยอดนิยมของนักชิมอาหารสมัยเคยดูรายการทีวีของโลกเก่า และเลือกใช้ถ้อยคำให้สอดคล้องกับรสชาติของเนื้อปลาย่างเมื่อครู่
“รสชาติถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้นอย่างกลมกล่อมและมีเอกลักษณ์ชัดเจน ยอดเยี่ยมมาก!”
“ฮะฮะ! คำพูดของคุณฟังดูเหมือนนักชิมอาหารมืออาชีพเลยนะ!” ไอร์แลนด์ติดตลก
ดอนน่าโบกส้อมพลางพูดเสริม
“คุณลุงน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับการชิมอาหารในภัตตาคารแต่ละแห่งลงหนังสือพิมพ์นะคะ!”
…ทำไมเราถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้!
นี่มันงานในฝันเลยไม่ใช่หรือ กินอาหารได้มากตามต้องการแถมยังร่ำรวยไปพร้อมกัน… แต่ปัญหาคือ ตัวตลกอ้วนกลมคงไม่คล่องแคล่วสักเท่าไรกระมัง… หรือจะใช้เทคนิคกินเข้าไปแล้วแอบคายออกอันโด่งดังจากโลกเก่า?
เสียของฉิบหาย!
ไคลน์เก็บคำแนะนำของดอนน่าไปคิดอย่างเอาจริงเอาจัง
“แด่ค่ำคืนอันงดงาม!”
เมื่ออาหารบนโต๊ะเหลือไม่มาก ไอร์แลนด์นำไวน์เลือดโซเนียขวดใหม่มารินใส่แก้วและกล่าวนำอวยพรด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ไคลน์และคนอื่น ๆ พูดตามอย่างอารมณ์ดี
“แด่ค่ำคืนอันงดงาม”
ทุกคนจัดการของเหลวในแก้ตัวเองจนเกลี้ยงในคราวเดียว ก่อนจะวางแก้วลงพลางจ้องมองลูกเรือทำความสะอาดโต๊ะอาหารและเก็บกวาดบริเวณโดยรอบ
ท่ามกลางสายลมเย็นชุ่มฉ่ำยามค่ำคืน การสนทนายังคงดำเนินต่อไปในหัวข้อตำนานต่าง ๆ ของท้องทะเล โดยส่วนมากมักเป็นเรื่องของนางเงือกซึ่งดอนน่าสนใจเป็นพิเศษ
คลีฟส์เล่าให้เด็กหญิงฟังว่า ในบางตำนาน นางเงือกจะถูกเรียกว่า ‘ไซเรน’ มักใช้เสียงร้องในการดึงดูดมนุษย์เพื่อล่าเหยื่อ หาใช่เพื่อความสุนทรีย์ นอกจากนางเงือกจะพบได้ในทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะการ์กัส พวกหล่อนยังเคยถูกพบได้ในเขตนอกเส้นทางการเดินเรือปรกติ แต่ต้องเข้าไปลึกมาก ซึ่งบริเวณดังกล่าวมักเต็มไปด้วยอันตราย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดมาจากปากโจรสลัดขี้เมา โดยไม่มีใครยอมเล่าว่าพวกมันรอดพ้นมาจากเสียงร้องล่ามนุษย์ของนางเงือกได้อย่างไร ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยังน่าคลางแคลง
แต่เรากลับคิดว่านั่นเป็นไปได้… ไคลน์จดบันทึกใจความสำคัญของบทสนทนา
“ดอนน่า แดนตัน ถึงเวลากลับห้องพักกันแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณหนูต้องตื่นแต่เช้าเพื่อร่วมโต๊ะอาหารพร้อมกับคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง” เซซิลกล่าวพลางแหงนมองดวงจันทร์
“ค่ะ” ดอนน่าลุกยืนอย่างไม่เต็มใจนัก
แดนตันรีบโพล่งถาม
“ผ…ผมจะเป็นนักผจญภัยได้ไหมครับ!”
ห้วงความคิดของเด็กชายยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ของตำนานบนท้องทะเล
คลีฟส์เดินเข้าไปใกล้และตบบ่า
“ก่อนจะถามคำถามนี้ คุณหนูต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ต่ำกว่าห้าปี ผมคิดว่าคุณผู้ชายน่าจะช่วยหาครูฝึกให้ได้นะครับ”
“ตกลงครับ!” ดวงตาแดนตันพลันสุกสว่างขณะพยักหน้ารับอย่างมีชีวิตชีวา
แหงสิ… หลังจากห้าปี แดนตันในวัยหนุ่มคงเลิกอยากเป็นนักผจญภัยสุดอันตรายผู้พร้อมจมก้มทะเลได้ทุกเมื่อ… คลีฟส์แก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ปฏิเสธด้วยท่าทีแข็งกร้าว แต่เลือกให้เวลาช่วยบรรเทาความสนใจของเด็กแทน วิธีนี้จะไม่ทำให้เด็กมีนิสัยต่อต้าน… และเหนือสิ่งอื่นใด การฝึกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้ย่อมไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม…
ไคลน์สอดมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าพลางชมเชยอดีตนักผจญภัยในใจ
ขณะเดินกลับห้องพัก คลีฟส์แอบยื่นธนบัตรห้าปอนด์ให้ไคลน์จำนวนสองใบ
“ส่วนแบ่งของคุณ”
คลีฟส์เพิ่งได้รับเงินจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ค่าศพเมอร์ล็อกมาจากไอร์แลนด์
“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย…” ไคลน์ปฏิเสธ
คลีฟส์จ้องด้วยดวงตาสีฟ้าซีด
“คุณทำให้เซซิลมีอิสระโดยการช่วยดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี”
ดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี? นั่นคืองานหรือ…
ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจกับส่วนแบ่งอันไม่คาดฝัน แต่สุดท้ายก็เลือกรับเงินไว้พร้อมกับวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอก
“ใจกว้างผิดคาด ขอบคุณมาก”
ชายหนุ่มไม่คิดปฏิเสธให้ยืดเยื้อ เนื่องจาก ในสายตาอดีตนักผจญภัยอย่างคลีฟส์ หากไม่ยอมรับเงินสิบปอนด์แต่โดยดี จะหมายความว่าตนต้องการมากกว่านั้น และพร้อมลงมือทำร้ายได้ทุกเมื่อ เพราะในบรรดาผู้ประกาศตัวว่าเป็นนักผจญภัย คลีฟส์ย่อมเคยพบเจอคนเสียสติมานับไม่ถ้วน
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเงินใส่กระเป๋าเสื้อ คลีฟส์เบือนหน้าไปทางอื่น
“นี่เป็นกฎของท้องทะเล”
โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม มันเดินตามเซซิล ดอนน่า และแดนตันเข้าไปในห้องพัก
ถ้างานเล็กน้อยเช่นนี้ทำเงินให้เราได้มากถึงสิบปอนด์ทุกครั้ง เส้นทางการเป็นนักสืบของเราคงโรยด้วยกลีบกุหลาบไปนานแล้ว…
ไคลน์จิกกัดติดตลกพลางแหงนหน้ามองพระจันทร์สีแดงบนท้องฟ้า
แสงของจันทรายามราตรียังคงสว่างไสวและอ่อนโยนดังเช่นทุกที
ตำนานแห่งท้องทะเล… สัตว์ประหลาดนานาชนิด… เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายของนักผจญภัยขึ้นมาบ้างแล้วสิ…
ไคลน์หันหลังกลับและเดินออกไปยังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ปล่อยให้ร่างกายถูกแสงจันทร์สีแดงอาบท่วม พลางเชยชมคลื่นทะเลสาดปะทะกับท้องเรือจนเกิดเสียงซ่า
ความเศร้าและหดหู่จากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เริ่มบรรเทาลงจากตอนแรกเล็กน้อย
มาถึงจุดนี้ ไคลน์นึกอยากร้องเพลง แต่หลังจากพยายามพะงาบปากงับคำ มันกลับตระหนักว่าตนจดจำเนื้อเพลงสมัยใหม่อันสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เลย
คงร้องออกไปว่า ‘โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส’ ไม่ได้สินะ… เส้นทางนักปราชญ์ของจักรพรรดิช่างเหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้เหลือเกิน ไว้มีเวลาว่าง คงต้องหาโอกาสอ่านบทกลอนของรุ่นพี่สักหน่อย จะได้ไม่ทำตัวเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง…
ไคลน์แหงนมองพระจันทร์สีแดงพลางถอนหายใจยาว
“ช่างเป็นค่ำคืนอันงดงาม”
…
หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่พักใหญ่ ทีมสำรวจก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเงินพิสุทธิ์โดยสวัสดิภาพ
แต่หลังจากได้เห็นร่องบนกำแพงเมืองมีวัชพืชเกาะหนาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนออกเดินทาง เดอร์ริคพลันยืนผงะตัวแข็งทื่อ
นานจนรู้สึกเหมือนกับผ่านไปหลายปี…
ยืนเยื้องถัดไปจากเด็กหนุ่ม รูม่านตาของนักล่าปีศาจโคลินพลันหดลีบ มันรีบเลื่อนมือขวาขึ้นมาแตะขมับด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ทางด้านสมาชิกคนอื่นกำลังแสดงสีหน้ายินดีปรีดาเมื่อได้กลับบ้านอีกครั้ง
หลังจากภารกิจสำรวจแสนอันตรายจบลง ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่าการได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยอีกแล้ว
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ดวงตาโคลินเริ่มกลับเป็นปรกติ ก่อนจะชำเลืองไปยังด้านข้างในแนวเฉียงของตน
…
ณ กรุงเบ็คลันด์ บ้านตระกูลไวท์
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินรวบรวมความกล้าเพื่อถามกับพ่อและแม่ด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“หากข้าต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของตระกูลผีดูดเลือด ควรไปปรึกษาใครดี?”
ถ้าเราถามเกี่ยวกับเมืองเงินพิสุทธิ์โดยตรง คงน่าสงสัยเกินไปและได้กลายเป็นเด็กมีปัญหาอีกแน่ เพื่อเก็บภารกิจของท่านบรรพชนไว้เป็นความลับ มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น…
ไม่ต้องกังวล เราหลงใหลประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดเป็นทุนเดิมแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี พฤติกรรมของเรานับว่าสมเหตุสมผล… แผนการดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบ!
เอ็มลินชมเชยตัวเองในใจ
แวมไพร์หนุ่มมีรูปโฉมคล้ายคลึงบิดาในหลายด้าน แถมยังสวมแว่นตากรอบทองเพื่อเสริมบรรยากาศน่าเกรงขาม
ทันใดนั้น สุภาพบุรุษรูปงามผู้มีใบรับรองทางการแพทย์ในสาขาเวชภัณฑ์ วางหนังสือ ‘กายวิภาคศาสตร์’ เล่มหนาลงบนโต๊ะพลางขยับกรอบแว่น
“ไม่มีใครในกรุงเบ็คลันด์เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มากไปกว่าลอร์ดนีบาส”
…ถ้าข้ากล้าไปหาลอร์ดนีบาส คงไม่มัวมาถามพ่อกับแม่ให้เสียเวลา…
เอ็มลินหวนนึกถึงคำพูดของมิสเตอร์ฟูล : ตนคือผู้ถูกเลือกให้แบกรับชะตากรรมของตระกูลภายในเงามืด ห้ามเปิดเผยตัวตนโดยเด็ดขาด และการถูกเข้าใจผิดคือของคู่กัน
เอ็มลินซักไซ้
“นอกจากลอร์ดนีบาส? ท่านมักจำศีลอยู่ในห้องใต้ดินเสมอ ข้าไม่ต้องการรบกวนในเรื่องเล็กน้อย”
บิดาของเอ็มลินตั้งปกชุดนอนตัวหนาพลางทำสีหน้าครุ่นคิด
“เวย์แมนดี้ เขามักคิดว่าตัวเองเป็นนักประวัติศาสตร์มือฉมัง”
เอ็มลินถอนหายใจยาวพลางอมยิ้ม
“ข้าจะไปเยี่ยมเขา”
…
ปู๊น!
เสียงหวูดของโมราขาวดังก้องกังวานขณะแล่นจอดเทียบในเมืองท่าดาเมียร์
ระหว่างนี้จะเป็นช่วงเวลาเติมเสบียงและน้ำสะอาด จากนั้นจึงออกเดินทางอีกครั้งในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้
หลังจากล่าเมอร์ล็อก ไคลน์ใช้ชีวิตค่อนข้างน่าเบื่อตลอดสองวันเต็ม ฉากของท้องทะเลกลายเป็นสิ่งเอียนสายตา ชายหนุ่มจึงอยากแวะเข้าไปในผับประจำเมืองท่าโดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลของนางเงือกเพิ่มเติม
แต่ถ้ามีโอกาสเดินสวนกับโจรสลัดเลวระยำสักคน เราก็ไม่ลังเลจะสอนบทเรียนให้กับมันสักเรื่องสองเรื่อง ยุบพองหิวโหยกำลังว่างหนึ่งตำแหน่งพอดี…
หน้าผากไคลน์เริ่มผุดเหงื่อเม็ดใหญ่ เพราะมันพกพาสมบัติวิเศษติดตัวลงจากโมราขาวในสภาพเต็มอัตราศึก
ระหว่างทาง ชายหนุ่มได้พบกับคลีฟส์ ดอนน่า และคนอื่น โดยคณะเดินทางกำลังมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารหรูประจำเมืองท่าเพื่อลิ้มรสเนื้อหมักเกลือแสนโด่งดังของดาเมียร์
ดอนน่าและแดนตันแอบทักทายคุณลุงนักผจญภัยโดยไม่ให้พ่อกับแม่รู้ตัว พลางชะเง้อมองด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปไหน
ไคลน์ยิ้มตอบ ก่อนจะตั้งปกเสื้อขึ้นและเดินตามป้ายตรงไปยังผับประจำเมืองท่า
ปลาบินและไวน์… ชื่อตรงไปตรงมาดี…
ชายหนุ่มมองไปยังป้ายประกาศแผ่นใหญ่และพบว่ามีกำแพงสำหรับแปะใบค่าหัวโจรสลัดโดยเฉพาะ
สูงสุดคือแปดแสนปอนด์ เป็นของราชาห้าห้วงสมุทร ต่ำสุดประมาณร้อยกว่าปอนด์ เป็นของกัปตันเรือโจรสลัดปลายแถว ใบค่าหัวถูกเรียกตามจำนวนเงินจากมากไปน้อย
แม้แต่ในทะเล เงินก็ยังสำคัญ…
ไคลน์ยืนจ้องกำแพงผืนดังกล่าวอยู่พักใหญ่
ผ่านไปสักพัก มันเบือนหน้าหนีพร้อมกับผลักประตูผับเปิดเข้าไป แต่ต้องก็พบกับบรรยากาศเงียบงันจนผิดคาด ปราศจากเสียงอึกทึกซึ่งควรจะเป็นเอกลักษณ์ของผับ
เกิดอะไรขึ้น?
ไคลน์กวาดสายตามอง และพบกับกัปตันไอร์แลนด์ในโค้ทสีแดงเข้มกำลังนั่งตรงเคาน์เตอร์ รวมถึงยังได้พบชายแปลกหน้าตัวใหญ่กึ่งกลางผับสองคน กำลังหันหน้าเข้าหากัน
……………………