ตอนที่ 2199 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (40)
“ชูเทียน เนี่ยนเฟิง กลับไปพร้อมอาจารย์นะ” อวิ๋นลั่วเฟิงบอกหลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นครู่
“เจ้าค่ะ” อวิ๋นชูเทียนรับคำแต่โดยดี เสียงของเธอนุ่มนวลและน่ารัก
อวิ๋นเนี่ยนเฟิงไม่อยากไป แต่หลังจากเห็นสีหน้าแน่วแน่ของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้ว เขาจึงยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ “ท่านแม่ ข้ารอท่านกลับมานะ”
หลังจากส่งตัวอวิ๋นเนี่ยนเฟิงและอวิ๋นชูเทียนให้ฟู่หรูแล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงและอวิ๋นเซียวก็มองหน้ากันก่อนจะหันไปหาหนานกงอวิ๋นอี้ “ไปกันเถอะ อ้อ แล้วก็ช่วยขอร้องท่านปู่ของเจ้าให้มาที่นี่ แล้วก็แจ้งกับท่านด้วยล่ะว่ามีของดีจะให้ดู”
เมื่อพูดจบ นางก็ทอดสายตามองไกลออกไปก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
ไม่ไกลจากจุดนั้นนัก ชายหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดราวกับจะสังเกตเห็นสายตาที่มองมาของอวิ๋นลั่วเฟิง เขารีบหลุบศีรษะหลบเข้าไป เหงื่อกาฬไหลจนเต็มแผ่นหลัง ก่อนที่จะฟันกัดแน่นและกดเบอร์โทรศัพท์
“เหม่ยเสวี่ย คราวนี้เธอทำฉันซวยใหญ่แล้ว!”
น้ำเสียงประหลาดใจดังมาจากปลายสายว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “นี่เธออยู่ที่คฤหาสน์รึเปล่า ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้แหละ!”
“เอ่อคือ…” จ้าวเหม่ยเสวี่ยละล้าละลัง “มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะค่ะ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ ถ้าเกิดมีคนเห็นคุณเข้าล่ะ”
“อย่ามาพูดมากเลยน่า ฉันไปหาเธอตอนกลางวันแบบนี้มาตั้งกี่ครั้งแล้ว ตาแก่หนานกงนั่นก็ป่วย หนานกงชวนก็งานยุ่ง ลูกเลี้ยงของเธอก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อน หลานเอ๋อร์เองก็ไม่อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน เธอยังจะกังวลอะไรอีก”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น จ้าวเหม่ยเสวี่ยก็ลังเลอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะกัดฟันตอบไปว่า “โอเคค่ะ คุณจะมาก็ได้ แต่อย่าให้พวกนักข่าวเห็นล่ะ”
“ฉันรู้หรอกน่า” เมื่อพูดจบเขาก็วางสายและหันไปบอกคนขับให้เตรียมรถ ก่อนจะเดินออกไปสมทบ
ที่คฤหาสน์เงียบสงัด
เพื่อที่จะลักลอบมีสัมพันธ์ผิดศีลธรรมกับชายผู้นี้ จ้าวเหม่ยเสวี่ยจึงไม่ได้จ้างทั้งพี่เลี้ยงและแม่บ้าน หนำซ้ำยังบอกหนานกงหลานด้วยว่าไม่ต้องกลับมาบ้าน
ในตอนนี้จ้าวเหม่ยเสวี่ยกำลังนั่งอยู่บนโซฟาสไตล์ยุโรป เปลือกตากระตุกไม่หยุดด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น
แล้วอยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงคนไขกุญแจประจูเข้ามา เธอลุกขึ้นหันไปมอง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายคนนั้น เธอส่งยิ้มและเดินนวยนาดเข้าไปหาเขา
“มาแล้วเหรอคะ วันนี้เป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงได้ดูอารมณ์เสียนักล่ะ”
ชายผู้นั้นหน้าตาไม่สู้ดี “ทำไมเธอถึงขอให้ฉันช่วยจัดการผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นลั่วเฟิงล่ะ นี่เธอเจตนาที่จะทำแบบนั้นใช่รึเปล่า”
“อะไรกันคะ” จ้าวเหม่ยเสวี่ยช้อนดวงตางามของเธอขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ แววตาเต็มไปด้วยความพิศวง “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“เธอรู้รึเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นผลักรถให้กระเด็นได้ด้วยมือเปล่า แถมผู้ชายที่อยู่ด้วยยังเตะรถซะจนแหลกเป็นชิ้นๆ”
เขากัดฟันแน่น ใบหน้าซีดเผือดด้วยโทสะ พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อกรสำหรับคนอย่างนั้นเลยสักนิด!
ตูม!
จ้าวเหม่ยเสวี่ยรู้สึกเหมือนศีรษะจะระเบิด ใบหน้าของเธอซีดเผือดปราศจากสีเลือด แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มออกมา “คุณได้เห็นชัดๆ เลยหรือคะ”
ผลักรถออกไปด้วยหมัดเนี่ยเหรอ นั่นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำกันได้หรือไง
“ก็ใช่น่ะสิ!” ชายหนุ่มทำเสียงชิงชัง เขาคว้าคอของจ้าวเหม่ยเสวี่ยเอาไว้ “นี่เธอจะบอกว่าฉันตาบอดรึไง เธอจะมองเรื่องแบบนี้ผิดไปได้ยังไง จ้าวเหม่ยเสวี่ย นี่เธอไปหาเรื่องศัตรูประเภทไหนกันแน่เนี่ย ฉันไม่สนหรอกนะถ้าเธอจะรนหาที่ตาย แต่ทำไมต้องลากฉันเข้าไปซวยด้วย”
นี่ถ้าเขาไม่ทันได้ระวังตัวมากพอละก็ เขารู้ดีว่าอะไรกำลังรอเขาอยู่!
ตอนที่ 2200 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (41)
“ฉัน…”
จ้าวเหม่ยเสวี่ยแทบจะหายใจไม่ออก ใบหน้าเธอเริ่มคล้ำม่วง และพยายามจะระดมฟาดมือและเท้าใส่ชายตรงหน้าด้วยดวงตาหวาดกลัว
ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อย…
จ้าวเหม่ยเสวี่ยหายใจได้อีกครั้ง…เธอล้มโครมลงบนพื้น ท่าทางของเธอดูหวาดกลัว ตวัดสายตาหันมามองชายที่ยืนอยู่ต่อหน้า
“ฉันไม่รู้จริงๆ …”
“หืม!” ชายผู้นั้นพ่นลมออกทางจมูก “ฉันช่วยเธอจัดการกับหนานกงอวิ๋นอี้ให้ได้ แต่ฉันจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีก หลังจากที่ฉันทำสำเร็จ เธอจะต้องเอาเงินมาให้ฉัน แล้วฉันจะรีบไปจากหวาเซี่ยทันที!”
“ตกลง!” จ้าวเหม่ยเสวี่ยกัดฟันตอบ “ฉันให้สัญญา”
ตราบใดที่กำจัดหนานกงอวิ๋นอี้ให้หายไปได้ เท่าไหร่เธอก็เธอยินดีจ่าย
ชายผู้นั้นเหลือบมองจ้าวเหม่ยเสวี่ยที่กำลังหอบหายใจตัวโยน แววแห่งตัณหาผุดวาบขึ้นมาในดวงตาเขาก่อนจะย่างสามขุมเข้ามา เขาฉุดเธอให้ลุกขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะกลับไปมือเปล่า เธอต้องนอนกับฉัน!”
“ตอนนี้เลยน่ะเหรอ” จ้าวเหม่ยเสวี่ยนิ่งไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ก็ได้”
เธอจะต้องหาทางโน้มน้าวเขาให้ทำงานพวกนี้ให้เธอ
“เอาละ…เราจะเข้าไปในห้องกันมั้ยคะ”
“ผู้หญิงนี่เรื่องมากจริง!” น้ำเสียงของเขาหมดความอดทน แต่ก็ยังยอมทำตามคำขอร้องของเธอ
“มาเถอะ เร็วเข้า ฉันจะได้รีบไปซะที”
จ้าวเหม่ยเสวี่ยยิ้มอ่อนหวาน จัดแจงผมเผ้าให้เข้าที่และเดินขึ้นไปยังชั้นสอง
บนเตียงนอนหรูหราแบบยุโรป ชายหนุ่มขยับไปมาอยู่บนร่างงาม หญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างเหงื่อแตกชุ่ม ผวาหอบจนตัวโยน
เมื่อนึกถึงเวลา จ้าวเหม่ยเสวี่ยก็รีบเตือนอย่างเป็นกังวล “เร็วเข้าเถอะ หลานเอ๋อร์กำลังจะกลับมาแล้ว”
เขาปล่อยจ้าวเหม่ยเสวี่ยเมื่อได้ระบายความใคร่สมใจแล้ว ท่าทีของเขาดูจะยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเก่า “หลานเอ๋อร์เป็นลูกสาวฉัน ต่อให้เธอมาเห็นฉันเข้าแล้วยังไงล่ะ หนานกงชวนหน้าโง่ เลี้ยงลูกให้ฉันมาเป็นสิบปีโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ปัญญาอ่อนสิ้นดี ฉันละแปลกใจเหลือเกินที่หนานกงกรุ๊ปยังไม่พังพินาศเพราะฝีมือการบริหารของเขา!”
จ้าวเหม่ยเสวี่ยกัดริมฝีปากและหันมองชายผู้นั้น “ฉันช่วยให้คุณได้สมใจแล้ว ตอนนี้คุณก็ไปได้แล้ว”
คราวนี้ชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร แต่เดินไปที่ประตูและเปิดออกเสียงดัง
จ้าวเหม่ยเสวี่ยเดินตามเขาออกไปเพื่อที่จะได้พบว่ามีคนจำนวนมากกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู
หญิงสาวกรีดร้องด้วยความกลัว “กรี๊ด!”
ที่ประตูห้อง ปู่หนานกงกำลังยืนจ้องมองจ้าวเหม่ยเสวี่ยที่ยืนร่างเปลือยเปล่าด้วยความโกรธจัด ใบหน้าของเขาคุกรุ่น ดวงตาลุกโชนด้วยไฟโทสะ
“คุณพ่อ”
จ้าวเหม่ยเสวี่ยรีบลนลานสวมเสื้อผ้าและพร่ำพูดว่า “คุณพ่อคะ หนูอธิบายเรื่องนี้ได้นะคะ”
“อธิบายเรอะ” ปู่หนานกงพ่นลมพรืด ใบหน้าโกรธเกรี้ยว “ไม่ต้องเปลืองน้ำลายหรอก! อวิ๋นอี้ โทรหาพ่อแกซะ บอกให้มันกลับมาดูนังเมียตัวดีของมัน แล้วก็โทรเรียกหนานกงหลานให้มาที่นี่ด้วย! พวกเราหน้าโง่เหลือเกินที่เลี้ยงลูกของคนอื่นกันอยู่!”
จ้าวเหม่ยเสวี่ยทรุดฮวบลงบนพื้น ถ้าเธอถูกจับได้แค่เรื่องลักลอบคบชู้ หนานกงหลานก็ยังคงจะพอได้อยู่ในตระกูลหนานกงแห่งนี้ต่อ และเธอก็ยังมีโอกาสที่จะได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลหนานกง แต่ตอนนี้…
นี่คุณปู่หนานกองได้ยินบทสนทนาในห้องของพวกเธองั้นรึ เขายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว
จ้าวเหม่ยเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าซีดเซียวราวกับศพ เธอนึกโกรธผู้ชายที่กำลังยืนหน้าเสียอยู่ข้างเธอ ถ้าเขาไม่มาหาเธอที่นี่ เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น