คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 150 โลหิตตานมาร

“เจ้ามีขวดหรือไม่?” บุรุษเผ่ามารพลันเอ่ยถาม

“ทำไมหรือ?”

“ข้ารับปากเจ้าไว้ว่าจะให้โลหิตตานมารหนึ่งหยดแก่เจ้า ข้าเป็นคนรักษาสัญญามาตลอด เจ้าหาขวดใบหนึ่งมาบรรจุ”

เห็นใบหน้าเย็นชาของเขา จินเฟยเหยารู้สึกว่าคนผู้นี้มีความซื่อสัตย์จริงๆ จึงยิ้มหวานหยิบขวดใบหนึ่งยื่นส่งให้ทันที

บุรุษเผ่ามารไม่ได้รับขวด ทว่าเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ถ้าเจ้ายังทำเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วต้องมีสักวันที่ถูกคนสับเนื้อบดกระดูกจนกลายเป็นเศษซาก”

“เพราะเหตุใด ข้าทำอะไรหรือ?” จินเฟยเหยาใช้สองมือประคองขวด เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

บุรุษเผ่ามารมองขวดสูงครึ่งตัวคนใบนั้นด้วยสายตาชืดชา หลุบตาลงเอ่ยเสียงเย็นชา “เปลี่ยนเป็นขวดเล็ก ข้าบอกแล้ว แค่หยดเดียว!”

“งกจริงๆ” จินเฟยเหยาเก็บขวด บ่นพึมพำแล้วหยิบขวดเล็กๆ สีขาวน้ำนมสูงเท่านิ้วมือออกมาใหม่แล้วโยนไปให้

รับขวดเล็กๆ มา บุรุษเผ่ามารอ้าปาก มุกสีดำเป็นประกายลอยออกมาร่วงลงเหนือปากขวดทันที บนมุกค่อยๆ มีหยดเลือดสีแดงโลหิตไหลซึมออกมาหนึ่งหยด หยดเลือดร่วงลงไปในขวด ปากขวดถูกเขาปิดผนึกทันที แล้วโยนคืนให้จินเฟยเหยา

จากนั้นตานมารเม็ดนั้นก็กลับคืนเข้าปาก บุรุษเผ่ามารหมุนกายเตรียมจากไป เห็นเขาแสดงท่าทางว่าจะจากไป จินเฟยเหยารีบตะโกน “ผู้อาวุโส รอเดี๋ยว!”

บุรุษเผ่ามารหันหน้ามา เอ่ยอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก ก็ได้ ขอเพียงเจ้าสามารถมาหาข้าถึงภูเขาวั่นซั่นในโลกเผ่ามารได้ ถึงตอนนั้นแจ้งชื่อของข้า หลง ขอเพียงเจ้ามีชีวิตเดินเข้ามาได้ ข้าจะให้พื้นที่มิติแก่เจ้า”

“หา?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน จากนั้นเอ่ยอย่างระมัดระวังยิ่ง “ผู้อาวุโส ที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ถ้าข้าไม่ไปหาท่านคงไม่ไว้หน้าท่านเกินไป ที่ข้าอยากพูดคือผู้อาวุโสคิดจะเปลือยกายกลับไปหรือ?”

เท้าเปล่าของหลงเหยียบอยู่บนผิวทะเล บนร่างไม่มีสิ่งใดปกปิด สีหน้าไร้อารมณ์ มองนางด้วยจิตใจเปิดกว้าง ไม่เอ่ยสักคำ หางของเขาไม่รู้เก็บไว้ที่ใดแล้วเห็นเพียงเส้นผมยาวสีดำสนิทยาวระไปจนถึงเท้า

“ถ้าผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ข้ามีชุดบุรุษอยู่ ท่านนำไปสวมก่อนเถอะ” จินเฟยเหยาถูกเขาจ้องมองจนขนลุก รีบหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุน

ตั้งแต่กางเกงชั้นในจนถึงเสื้อนอก แม้แต่รองเท้าล้วนมีครบครัน พอดีเป็นชุดของไป๋เจี่ยนจู่ที่ถูกนางลอกคราบในตอนนั้น เพียงแต่หลายแห่งถูกฟันขาดเป็นรู และเคยถูกซ่อมแซมด้วยวิธีที่ย่ำแย่อย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ได้ใช้วัสดุสีขาวแบบเดียวกันซ่อมแซม สิ่งที่ใช้คือหนังสัตว์

รูที่ถูกซ่อมแซมใหม่เหล่านี้อยู่บนเสื้อผ้าสีขาวแลดูน่าเกลียดเป็นพิเศษ เหมือนมีมูลสุนัขร่วงลงบนพื้นหิมะสีขาวบริสุทธิ์หลายกอง

เห็นหลงไม่ยอมรับเสื้อผ้าชุดนี้ บนใบหน้าก็เย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็ง จินเฟยเหยารู้สึกเสียใจภายหลัง รู้แต่แรกคงไม่เรียกให้เขาหยุด ให้เขาเปลือยกายกลับไปก็ดีแล้ว เดิมทีนางคิดจะประจบประแจง วันหน้าตอนไปเอาพื้นที่มิติจะได้ของดีๆ หน่อย เป็นพื้นที่มิติที่เร่งการเจริญเติบโตของพืชวิญญาณได้จะดีที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะประจบไม่ถูกที่ แต่ตนเองมีเพียงเสื้อผ้าบุรุษชุดนี้ เนื่องจากขายไม่ออกจึงเก็บไว้มาตลอด คงนำชุดสตรีให้เขาไม่ได้

เห็นรูปร่างของเขา อย่าว่าแต่ชุดของตนเอง แม้แต่ชุดของไป๋เจี่ยนจู๋ก็อาจจะเล็กไป ไม่รู้ว่าคนเผ่ามารที่ชื่อหลงคนนี้จะมีโทสะจนยกมือฟาดตนเองให้ตายหรือไม่

ในขณะที่จินเฟยเหยาจิตใจไม่สงบ ก็ได้ยินหลงเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก สิ่งของเช่นนีเอาไว้ให้สัตว์ภูติของเจ้าปูรังเถอะ”

จากนั้นเห็นปราณสีดำปรากฏขึ้นรอบกายของเขา หลังจากแนบติดบนร่างก็กลายเป็นชุดเกราะสีดำน่าเกรงขาม อย่าว่าแต่เปลือยกายเลย ปกคลุมหมดจนเหลือแต่ใบหน้า

“ชุดเกราะของผู้อาวุโสชุดนี้น่าเกรงขามจริงๆ ท่าทางความหวังดีของข้าคงเสียเปล่า หึหึหึ” จินเฟยเหยาเย้ยหยันตนเอง

หลงมองนางอย่างเย็นชา จากนั้นสายลมคลั่งก็พัดมา เขาพุ่งวูบขึ้นกลางอากาศ หายไปในพริบตา

“จริงๆ เลย ถือว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองสูงส่ง ไม่มีอะไรก็แผ่พลังกดดันวุ่นวาย” เพียงพริบตาก็ไม่เห็นเงาแล้ว ในที่สุดจินเฟยเหยาก็หลุดพ้นจากการจิตใจไม่สงบ

เมื่อแน่ใจว่าเทพแห่งโรคระบาดองค์นี้ไม่กลับมาแล้ว จินเฟยเหยาจึงไม่คิดเรื่องนี้อีก ไปจัดการมังกรเกล็ดดำที่ได้มาเปล่าๆ ตัวนี้ก่อน จากนั้นกลับเรือศิลาทะเลจัดการสิ่งของ รอจนกลับเมืองวั่นเซียนสุ่ย ค่อยไปจัดการเจ้าเยวี่ยปู้ชิงที่น่าชัง

นางจัดการมังกรเกล็ดนิลอยู่ที่นี่อย่างดีอกดีใจ ส่วนภูเขาหลิงชางที่อยู่ห่างออกไปหมื่นหลี่ ภายในตำหนักเซียนหลิน หินผลึกสีดำขนาดไม่เล็กชิ้นหนึ่งพลันปริแตกเป็นเสี่ยงๆ

“แย่แล้ว ผลึกกักมารแตก”

“ผู้อาวุโส รีบไปดูเร็ว ผลึกกักมารแตกเป็นเสี่ยงๆ”

“ทำอย่างไรดี!”

การปริแตกของหินผลึกสีดำ สะท้านสะเทือนผู้บำเพ็ญเซียนในตำหนักเซียนหลิน

ชายชราร่างผอมบางหนวดเคราขาวผู้หนึ่งกุมไม้เท้า ยืนอยู่เบื้องหน้าเศษหินผลึกกักมารโดยไร้เสียง เขายืนอยู่นาน ด้านหลังล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เอะอะ

“เงียบ!” เสียงอันทรงพลังของชายชราพลันดังขึ้นภายในตำหนักเซียนหลิน ทุกคนค่อยๆ หยุดวิพากษ์วิจารณ์ และมองไปทางชายชรา

“หลงหนีไปแล้ว” ชายชราถอนใจยาว เอ่ยอย่างจนใจ

“ซือจุน[1] ด้วยกำลังของเขาเพียงคนเดียวเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีออกจากผลึกกักมารเองได้ ต้องมีเผ่ามารปะปนเข้าไปในโลกวิญญาณเป่ยเฉินช่วยให้เขาหนีออกมาแน่นอน” มีตาเฒ่าคนหนึ่งดูแล้วอายุมากกว่าชายชราหลายส่วนเดินออกมาเอ่ยวาจา

“ซือจุน ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่การกระทำของเผ่ามาร” มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาอีก เสนอความคิดเห็นที่แตกต่าง “ทางเข้าของโลกเผ่ามารที่เชื่อมมาสู่โลกวิญญาณเป่ยเฉินถูกผนึกไว้หมดแต่แรก ขอเพียงมีกลิ่นอายของคนเผ่ามารผ่านชายแดนก็จะถูกตรวจสอบได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏตัวขึ้นในน่านน้ำซึ่งมารเฒ่าหลงถูกกักขังอยู่อย่างเปิดเผยแบบนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้พวกเศษเดนที่ฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้ายซึ่งมีความเกี่ยวพันกับเผ่ามารเป็นคนทำ”

“ซือจุน ข้าคิดว่าไม่ถูก ต้องเป็นเผ่ามารแน่นอน”

“มีผู้บำเพ็ญเซียนคนใดปล่อยเขาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ น่านน้ำทางด้านที่มารเฒ่าหลงอยู่ไม่เคยปลอดภัยมาก่อน ปกติมักพาตัวผู้บำเพ็ญเซียนเข้าไปแลกเปลี่ยนยา ไม่แน่ว่าพละกำลังของเขาฟื้นฟูแล้ว ดังนั้นจึงโจมตีทำลายผลึกกักมารหนีออกมาเอง”

“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่น่ะ มีเพียงไฟนรกโลกมารจึงสามารถโจมตีทำลายผลึกกักมารได้ ถึงแม้ตัวมารเฒ่าหลงจะเป็นเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ ทว่าผลึกกักมารไม่แตก เขาก็ใช้ไฟนรกโลกมารไม่ได้ จะใช้ไฟนรกเผาทำลายผลึกกักมารก่อนได้อย่างไร?”

“ต้องมีคนเป็นเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญแน่ ดังนั้นจึงปล่อยเขาออกมาได้”

ภายในตำหนักเซียนหลินถกเถียงกันวุ่นวาย แต่ละคนล้วนมีความเห็นไม่เหมือนกัน จึงพูดกันไปต่างๆ นานา

“เงียบ เงียบ!” ชายชราใช้ไม้เท้ากระแทกพื้นหลายครั้ง จึงทำให้คนรอบด้านหยุดโต้เถียงกัน

“ไม่ว่าใครจะเป็นคนปล่อยเขาไป ตอนนี้หลงต้องกลับถึงโลกเผ่ามารแล้วแน่ เผ่ามารจะไม่แตกฉานซ่านเซ็นอีกต่อไป พวกเจ้ารีบส่งข่าวให้แต่ละสำนักเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของเผ่ามารอย่างเข้มงวด อีกทั้งให้พวกเขาสังเกตว่าภายในอาณาเขตของตนมีร่องรอยของเผ่ามารหรือไม่ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงและมีกลิ่นอายเย็นเยียบ ยิ่งต้องระวัง”

“ขอรับ” ในที่นั้นมีศิษย์จำนวนไม่น้อยวิ่งออกมานอกตำหนักไปส่งข่าวให้สำนักใหญ่น้อยในโลกวิญญาณเป่ยเฉินทราบ อย่างไรเสียสำนักทั้งหมดในโลกวิญญาณเป่ยเฉินรวมกันอย่างน้อยก็มีนับหมื่นสำนัก ถ่ายทอดเสียงไปให้ทุกสำนักถือเป็นปริมาณงานมหาศาล

“พวกเจ้าส่งคนกลุ่มหนึ่งไปตรวจสอบน่านน้ำแถบนั้นทันที ถ้าพบผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้เปลวเพลิงสีสันประหลาดก็จับตัวกลับมาทั้งหมด” ชายชราครุ่นคิด สั่งกำชับอีก เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้แล้ว เขาถอนหายใจยาวได้แต่กระทำเรื่องวัวหายล้อมคอก

ส่วนจินเฟยเหยาที่จัดการมังกรเกล็ดนิลเสร็จ ก็กลับถึงบนเรือศิลาทะเลอย่างอารมณ์ดี บนเรือนอกจากมีแผงขายสินค้าเล็กๆ ของตึกซ่างเซียน ยังมีคนรับซื้อสินค้าโดยเฉพาะ ถึงแม้ราคาจะถูกกว่าในเมืองวั่นเซียนสุ่ย แต่ดีตรงปล่อยของได้เร็ว บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสามารถขายวัตถุดิบในมือให้แก่ตึกซ่างเซียนบนแผงด้านหลัง จากนั้นก็เดินมาถึงแผงเล็กๆ ด้านหน้า นำศิลาวิญญาณที่ได้มาซื้อยาและของใช้ต่างๆ จากบนแผงของตึกซ่างเซียนอีก

ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ทำเงินให้ตึกซ่างเซียนได้ก้อนโต

จินเฟยเหยาไม่ขาดแคลนยาชั่วคราว ส่วนยาระดับต่ำก็สามารถใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างซื้อได้ จึงไม่คิดจะนำสิ่งของที่ล่ามาได้แลกเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลางในราคาถูก นางคิดจะรอหลังกลับถึงเมืองวั่นเซียนสุ่ย ค่อยนำสิ่งของไปแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลาง แบบนี้จะทำเงินได้มากกว่าหน่อย

แต่นางก็ไม่ได้อยู่ว่าง นางไม่ออกทะเลชั่วคราวทว่าดื่มสุราเดินเตร็ดเตร่บนเรือทั้งวัน กำลังแอบสอบถามเรื่องโลหิตตานมาร คิดไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะไม่ได้เป็นความลับอย่างที่จินเฟยเหยาคิด แม้แต่ผู้รับใช้ที่ขายสุราก็รู้

จินเฟยเหยาฉวยโอกาสตอนที่มีผู้บำเพ็ญเซียนไม่มาก ให้รางวัลผู้รับใช้หลายร้อยศิลาวิญญาณชั้นล่าง เขาจึงยืนอยู่หน้าโต๊ะพูดคุยกับจินเฟยเหยา “ผู้อาวุโสท่านนี้ ท่านต้องฝึกบำเพ็ญอย่างยากลำบากมาตลอดแน่จึงไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก โลหิตตานมารเป็นของดี ได้ยินว่าเพียงหนึ่งหยดก็สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเลื่อนเป็นขั้นสร้างฐานได้ทันที ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานถ้ากินโลหิตตานมารหนึ่งหยดก็ถือว่าเท้าเหยียบย่างเข้าสู่การเจี๋ยตันก้าวหนึ่งแล้ว”

“ร้ายกาจขนาดนี้ เช่นนั้นการฝึกบำเพ็ญของทุกคนจะไม่ง่ายดายยิ่งขึ้นหรือ” จินเฟยเหยาจุปาก หากรู้แต่แรกว่าดีขนาดนี้ตอนนั้นทำหน้าหนาขอเพิ่มอีกหยดไปแล้ว

ผู้รับใช้ได้ฟังคำพูดของจินเฟยเหยา ก็เอ่ยอย่างจนใจ “ผู้อาวุโส…โลหิตตานมารได้มาจากในตานมาร ต้องเป็นเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่ขึ้นไปจึงสามารถฝึกบำเพ็ญจนมีตานมารได้ อีกทั้งก่อนตายพวกเขาชอบระเบิดตานมาร มีโอกาสน้อยมากที่จะได้โลหิตตานมาร ตานมารหนึ่งเม็ดอย่างมากมีโลหิตตานมารหลายร้อยหยด ขอเพียงปรากฏ คงถูกบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงแย่งชิงจนเกลี้ยง ไหนเลยจะถึงรอบคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเรา”

“ผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงจะแย่งชิงสิ่งนี้ไปทำไม? ทำได้แค่เจี๋ยตันมิใช่หรือ ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

ยามนี้ผู้รับใช้จึงลดเสียงเบาลงเอ่ยว่า “พวกเขาเอาไปหลอมยา ได้ยินว่ามียาบางอย่างที่สามารถทะลวงคอขวดได้ ถ้าใส่โลหิตตานมารจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาให้สูงขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีส่วนของพวกเราเป็นธรรมดา ถ้าข้าได้โลหิตตานมารมาจะรีบกินให้หมดทันที”

ยามนี้พอดีมีผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ผู้รับใช้รีบจบการสนทนาแล้วไปรับใช้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้น ส่วนจินเฟยเหยากลับดีใจเป็นล้นพ้น สั่งอาหารเพิ่มอีกหลายจาน

………………………………………..

[1] ซือจุน เป็นการเรียกอาจารย์อย่างเคารพ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset