Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 461 : แฮงแมนผู้จริงใจและเป็นมิตร

ราชันเร้นลับ 461 : แฮงแมนผู้จริงใจและเป็นมิตร

ไม่เหมือนกับสมัยอดีต เดอร์ริคมิใช่เด็กหนุ่มซุ่มซ่ามปากพล่อยอีกแล้ว ก่อนจะเปิดเผยข้อมูลสำคัญ มันมักหันไปขอความเห็นชอบจากเดอะฟูลก่อนเสมอ

เมื่อได้รับอนุญาต เด็กหนุ่มเสก ‘ภาพฉาย’ ของฉากเหตุการณ์จากความทรงจำออกมาให้ทุกคนได้รับชม เลือกเฉพาะภาพสำคัญซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อจัสติส แฮงแมน เดอะเวิร์ล และเมจิกเชี่ยน เป็นการฉายภาพนิ่งแบบไม่ปะติดปะต่อ โดยเดอร์ริคคอยอธิบายตามเป็นระยะ

ซากกำแพงเก่าของอาคารบ้านเรือน พื้นทางเดินผุพัง เสาหินสีขาวสลับฟ้า จิตรกรรมฝาผนังแสดงถึงความเสียสละของพระผู้สร้างเสื่อมทราม เห็ดส่องแสงเย้ายวน เทวรูปห้อยหัวพลางลืมตาจ้องมองผู้บุกรุก และแจ็คผมเหลือง เด็กชายผู้เอาแต่ขดตัวหลบหลังแท่นบูชาตลอดเวลา

เหตุการณ์ทั้งหมดปรากฏสู่สายตาสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคนโดยไม่ถูกบิดเบือน เป็นการมองเห็นจริงของเดอร์ริค ณ ขณะนั้น

ท่ามกลางโลกอันแสนอึมครึมราวกับจะเกิดอันตรายในทุกก้าวเดิน เหตุการณ์บีบหัวใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหนแล้วหนแล้ว ทั้งหมดทำให้เลือดลมออเดรย์พลันสูบฉีดเต้นแรง เธอกำลังตื่นเต้นมากกว่าใคร และตั้งใจฟังคำอธิบายของเดอะซันโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่น

นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองเงินพิสุทธิ์…น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านิยายเรื่องใดในความทรงจำของเราทั้งหมด! สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์จริงบนโลก เปี่ยมด้วยเสน่ห์ของศาสตร์เร้นลับ ความไม่แน่นอน และกลิ่นอายความสยองขวัญ… จริงอยู่ สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี…

ออเดรย์ปล่อยความคิดล่องลอย ภายในใจต้องการกลายเป็นผู้วิเศษระดับครึ่งเทพประเดี๋ยวนี้ เพื่อจะได้ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนอันมืดมิดและมีเพียงพายุสายฟ้า

ไคลน์นั่งมองด้วยอารมณ์ซับซ้อน

ก่อนจะถอนหายใจยาว

มันมิได้ถอนหายใจเพราะสงสารชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง เมื่อตระหนักว่าเดอะซันขาดประสบการณ์และไม่ฉลาดหลักแหลมสักเท่าไร ฉากเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวภายในวิหารของพระผู้สร้างแท้จริง สมควรถูกฉายออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์สยองขวัญถึงจะถูก! นั่นจะต้องตื่นตาตื่นใจเหนือคำบรรยายแน่!

แต่ถ้าทำแบบนั้นคงใช้เวลานานเกินไป หากทุกคนนั่งดูหนังจนจบ พลังวิญญาณของเราคงได้เหือดแห้งกันพอดี และเหนือสิ่งอื่นใด ชุมนุมทาโรต์ควรใช้เวลาอย่างพอเหมาะ เพราะยิ่งถูกถอดจิตนาน ร่างเนื้อบนโลกภายนอกก็ยิ่งเสี่ยงอันตราย…

ไคลน์เริ่มรู้สึกโชคดี เมื่อเดอะซันน้อยไม่คิดฉายออกมาในรูปแบบภาพยนตร์

หลังจากนั่งดู ‘สไลด์ภาพ’ จนจบ อัลเจอร์ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกให้เดอะซันทำการฉายบางภาพซ้ำ เนื่องจากมันคิดว่าอาจเป็นกุญแจสำคัญของการทำลายวังวนกระแสเวลา

เพียงไม่นาน ภาพจำนวนมากได้ถูกฉายลงบนผิวโต๊ะทองแดงยาวในแนวราบ หนึ่งในนั้นคือภาพจิตรกรรมฝาผนังขณะพระผู้สร้างแท้จริงกำลังต่อกรกับ ‘หกเทพมาร’ และรับแบกบาปของมนุษย์ไว้ตามลำพัง

“เทพมารเหล่านี้มีใครบ้าง” อัลเจอร์เริ่มก้มหน้าพิจารณาเทพตนหนึ่ง ศีรษะคล้ายปลาหมึก รอบกายรายล้อมด้วยสายฟ้า ใต้ฝ่าเท้ามีคลื่นสีดำพยุงตัว ด้านหลังสวมผ้าคลุมขนนกและถือหอกสามง่าม แฮงแมนพยายามหาจุดเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเหล่านี้

เดอร์ริคส่ายหน้า

“ผมไม่ทราบ…นึกว่าพวกคุณจะทราบเสียอีก”

ด้านออเดรย์และฟอร์สก็หันมาจ้องภาพฉายจิตรกรรมฝาผนังบนผิวโต๊ะพร้อมกัน แต่พวกเธอก็ไม่มีข้อมูลใดจะช่วยเสริม

เดิมที ทั้งสองสันนิษฐานว่าอาจเป็นเหล่าเทพบรรพกาล แต่คิดไปได้สักพักก็ต้องปัดตก เพราะถ้าเป็นเทพบรรพกาลจริง เดอะซันไม่มีทางไม่ทราบความหมาย และเทพบรรพกาลก็ยังมีถึงแปดตน มิใช่หก แถมยังเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทมังกร เอลฟ์ ฟินิกซ์ หรือหมาป่าอสูร

ผู้เข้าข่ายว่าจะเป็นเทพบรรพกาลเพียงตนเดียวในจิตรกรรมฝาผนังคือ เผ่าคนยักษ์สวมเกราะชำรุด เจ้าของขนาดร่างกายใหญ่โต

นี่มัน… เมื่อเดอะฟูลตั้งใจเพ่งมองบ้าง ตาดำของมันพลันหดเกร็งจนเล็กเท่าหัวเข็มหมุด

ในตอนแรก เพื่อรักษามาดนิ่ง ไคลน์จึงมองเพียงผ่านๆ แต่หลังจากสังเกตอย่างละเอียด มันเริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง

รูปลักษณ์เหล่านี้คล้ายกับ ‘หกเทวรูป’ ภายในอาคารใต้ดินโบราณของราชวงศ์ทูดอร์ ซึ่งเรากับชารอนบังเอิญพบเข้า จุดแตกต่างเดียวก็คือ เทวรูปเหล่านั้นมีโฉมหน้าคล้ายมนุษย์ แต่ภาพในจิตรกรรมฝาผนังกลับจงใจทำให้ดูเหมือน ‘ร่างมาร’ …

ลำพังการมองธรรมดายังรู้สึกพะอืดพะอม โดยเฉพาะพระแม่ธรณี เทพวายุสลาตัน และสุริยันเจิดจรัส พวกเขาไม่เพียงถูกวาดให้ชั่วร้ายกว่าเดิม แต่ถึงขั้นจำแลงกายให้เป็นรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาด…

อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่แปลกใจมากนักกับเรื่องดังกล่าว เพราะในฐานะเทพมารนอกรีต พระผู้สร้างแท้จริงย่อมต้องการให้สาวกของตนเข้าใจว่า เทพทั้งหกเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้าย

ถึงกระนั้น เรายังไม่ควรด่วนตัดสินว่าภาพเหล่านี้ ‘ไม่ใช่ของจริง’ เพราะแต่เดิม เราเคยเข้าใจผิดว่า ‘เทพ’ ไม่มีรูปโฉม สาวกจึงต้องสวดภาวนาต่อตราศักดิ์สิทธิ์แทน แต่การค้นพบอาคารใต้ดินจากยุคสมัยที่สี่ ทำให้ความเข้าใจของเราเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร และเริ่มศรัทธาในตัวเทพน้อยลง…

เทพคงมีเหตุผลบางอย่างให้ไม่เผยใบหน้าของตน หรือบางที นี่อาจเป็นการซ่อนแผนกุศโลบายอันแยบยลไว้ในนั้น…

ไคลน์ค่อนข้างโล่งใจเมื่อเห็นว่าจัสติสมัวแต่สนใจภาพฉาย จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปรกติทางอารมณ์ของเดอะฟูลเมื่อครู่

เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของมันโดยตรง เดอร์ริคจึงไม่คิดปิดบังข้อมูลอันมากมายในความทรงจำ มันต้องการระดมสมองทุกคนเพื่อช่วยกันหาทางออกจากวังวนไม่รู้จบสิ้น

ไคลน์เองก็อยากช่วย แต่การนั่งอธิบายเทวรูปของหกเทพอย่างละเอียดนั้นไม่เข้ากับมาดของเดอะฟูล จึงวางแผนให้เดอะเวิร์ลเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้กับทุกคนแทน

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องการให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า เดอะเวิร์ลคือบุคคลเดียวกับนักสืบเชอร์ล็อกบนโลกแห่งความจริง

แล้วเราควรเริ่มจากตรงไหนดี…ถ้าเป็นเดอะฟูลคงต้องตอบด้วยมาดเคร่งขรึมว่า :

“รัตติกาล สุริยัน วายุสลาตัน ปัญญา ธรณี และยักษา”

จากนั้นก็นิ่งเงียบ ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม ปล่อยให้ตีความกันเอาเอง…

ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะให้เดอะเวิร์ลเปล่งเสียงแหบพร่า

“ผมเคยเห็นเทวรูปคล้ายคลึงภาพเหล่านี้”

เมื่อตระหนักว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมายังตน มันบังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าวเสริม

“ผมบังเอิญพบเข้าขณะสำรวจซากปรักหักพังใต้ดินจากยุคสมัยที่สี่”

ออเดรย์พลันเกิดความสนใจ แต่เธอยังคงรักษากิริยาสง่างาม

“มิสเตอร์เวิร์ล รูปปั้นในความทรงจำคุณมีหน้าตาเป็นเช่นไรหรือ ช่วงแสดงให้พวกเราเห็นได้ไหม? หรือถ้าต้องการเปลี่ยน ก็ลองพูดออกมา…”

“ไม่จำเป็น เรื่องนี้ช่วยขจัดความคาใจของผมได้ไม่น้อยเช่นกัน” เดอะเวิร์ลยิ้ม

จากนั้น มันแสร้งทำเป็นขออนุญาตเดอะฟูลและตอบรับเองเสร็จสรรพ ก่อนจะฉายภาพเทวรูปของเทพทั้งหกคู่กับตราศักดิ์สิทธิ์

ภาพแรกเป็นรูปปั้นของสตรีเลอโฉม รายละเอียดบนใบหน้าไม่คมชัด มือขวากำลังรองศีรษะในท่านอน ร่างกายทอดยาวไปตามแนวแท่นยกสูง สวมเดรสนักบวชสีดำราบเรียบแต่หลายชั้น ไม่หรูหราหรือโดดเด่นเกินพอดี ใต้ศีรษะมีวัตถุทรงกลมกำลังส่องแสงนวล

ชุดคลุมสะท้อนกับแสงตะเกียงจนเกิดประกายระยิบระยับ ราวกับเนื้อผ้าถูกประดับประดาด้วยอัญมณีเม็ดเล็กจำนวนมาก

เหนือศีรษะมีตราศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทุกคนบนทวีปเหนือต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี :

ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาล

รูปปั้นสตรีผู้นี้ละม้ายคล้ายกับ ‘เทพมาร’ ตรงมุมซ้ายบนของจิตรกรรมฝาผนัง เพียงแต่มีใบหน้าเหมือนมนุษย์มากกว่า และปราศจากดวงตาน่าขยะแขยงรอบตัว

ไอ้พวกนอกรีต! พวกแกกล้าดูหมิ่นพระองค์ท่านได้ยังไง! ออเดรย์พลันเดือดดาล แต่เธอพยายามระงับโทสะเอาไว้

ในฐานะเทพมารนอกรีตชื่อดัง พระผู้สร้างแท้จริงคงพยายามทำให้สาวกของมันดูแคลนพระองค์ท่าน… แต่ทำไมถึงมีเทวรูปของเทพธิดาอยู่ในซากปรักหักพังใต้ดินได้…?

ไม่ใช่ว่าเทพจารีตจะต้องปราศจากร่างจริงหรอกหรือ? ควรจะมีเพียงตราศักดิ์สิทธิ์ให้สาวกได้กราบไหว้บูชา…

ออเดรย์ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสับสน

อัลเจอร์เริ่มกระจ่างขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว… เทพมารในจิตรกรรมฝาผนังคือหกเทพจารีตในปัจจุบันนี่เอง และในอดีต พวกท่านก็เคยมีรูปโฉมของมนุษย์มาก่อน…”

เข้าใจแล้วว่าทำไมโบสถ์ถึงต้องการค้นหาดินแดนเทพทอดทิ้งให้พบ…ดินแดนดังกล่าวคงมีทางเข้าซ่อนอยู่สักแห่งในทะเลโซเนีย แต่ถูกอำพรางไว้ด้วยวิธีพิเศษ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเหล่าครึ่งเทพไปได้…

อัลเจอร์สรุปความคิด

เดอะซันพลันประหลาดใจ

“มิสเตอร์แฮงแมน ทั้งหมดนี่คือเทพจารีตตามคำบอกเล่าของพวกคุณใช่ไหม? เทพธิดารัตติกาล เทพวายุสลาตัน…”

“ถูกต้อง” แฮงแมนยืนยันหนักแน่น

“แล้วพวกท่านกระทำสิ่งใดลงไปบ้างในเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ? เกี่ยวข้องกับดินแดนเทพทอดทิ้งของพวกเราอย่างไร?” เดอร์ริครีบซักไซ้อย่างลืมตัว

น่าเสียดาย ไม่มีใครตอบคำถามมันได้

จากนั้น ฟอร์สยกมือขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเธอเจือความสับสนชัดเจน

“ทำไมถึงไม่มีเทพจักรกลไอน้ำ”

นั่นคือองค์ศาสดาของเธอ

จากพระคัมภีร์ของทวีปเหนือ เจ็ดเทพจารีตล้วนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันเสมอ!

“มีข่าวลือว่า เทพจักรกลไอน้ำ หรือชื่อเดิมคือเทพช่างฝีมือ เพิ่งเริ่มปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในช่วงยุคสมัยที่สี่เท่านั้น นับว่าช้ากว่าใครทั้งหมด และหากประเมินจากหลักฐานเหล่านี้ โอกาสเป็นจริงตามนั้นมีค่อนข้างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเพิ่งจะปรากฏตัวในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ ไม่ใช่ช่วงต้นหรือกลาง…”

แฮงแมนอธิบายกึ่งคาดเดา

ท่ามกลางหัวข้อสนทนาเช่นนี้ มันยินดีเปิดเผยข้อมูลสำคัญโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน

แบบนี้นี่เอง… เมื่อตระหนักว่าตนขาดข้อมูลของศาสนาตัวเอง เนื่องจากแทบไม่เคยอ่านพระคัมภีร์เลยสักครั้ง ฟอร์สเกิดความรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอไม่ต้องการให้ใครมองว่าตนนับถือศาสนาแบบขอไปที

เดอร์ริคไม่ถามซ้ำซาก เพียงกลับเข้าประเด็นความกังวลของตน

“ภาพนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญ?”

“บางทีล่ะนะ ขอแนะนำให้คุณลองหาวิธีทำลายมันดู แต่อย่าได้… เอ่อ อย่าได้ทำต่อหน้าประมุขของเมืองพิสุทธิ์เป็นอันขาด”

ใจจริง แฮงแมนต้องการพูดว่า ‘อย่าได้วิงวอนถึงพระนามเต็มของพวกท่านเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น พวกท่านอาจลงมาสำแดงฤทธิ์เดชบนดินแดนเทพทอดทิ้ง’ แต่เมื่อลองไตร่ตรองอีกครั้ง มันลืมเสียสนิทว่าเดอะซันไม่เคยทราบพระนามเต็มของหกเทพจารีต

“ขอบคุณมาก มิสเตอร์แฮงแมน คุณช่างจริงใจและเป็นมิตรเหมือนกับทุกที และขอบคุณพวกคุณเช่นกัน มิสจัสติส มิสเมจิกเชี่ยน มิสเตอร์เวิร์ล ทุกคนมีจิตใจดีงามมาก”

เดอร์ริคกล่าวจากก้นบึ้ง

เป็นมิตร…? จริงใจ…?

แฮงแมนอึ้งจนหมดคำพูด

นับตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครอธิบายอุปนิสัยของมันด้วยสองคำนี้มาก่อน

หลังจากปล่อยให้สมาชิกแลกเปลี่ยนข้อมูลกันสักพัก ไคลน์พลันฉุกคิดบางสิ่งได้

ย้อนกลับไปในการสำรวจซากวิหารพระผู้สร้างต้นกำเนิดคราวก่อน เมืองเงินพิสุทธิ์ได้พบข้อความตรงมุมจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งแปลความหมายออกมาได้ว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ แต่ในคราวนั้น ชายหนุ่มมิได้สนใจชื่อดังกล่าวมากนัก

คงมองข้ามไม่ได้แล้ว… จากคำบอกเล่าของวิญญาณมารใต้ดิน องค์กรกุหลาบไถ่บาปถูกก่อตั้งและขับเคลื่อนโดยตระกูลเทวทูตปีกหัก เราจึงประเมินเอาเองว่า พวกมันอาจมีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าสภานักสิทธิ์สนธยา… บางที ‘วังวนกระแสเวลา’ ในคราวนี้อาจเป็นฝีมือพวกมันเช่นกัน…

คิดได้เช่นนี้ เดอะฟูลบนเก้าอี้หัวโต๊ะเริ่มขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง มือข้างหนึ่งเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวเป็นจังหวะ

ออเดรย์รีบหันมาจ้องด้วยดวงตาเปล่งปลั่ง เธอกำลังรอให้ท่านช่วยบอกใบ้แนวทางการสืบสวน

แฮงแมน เดอะซัน เมจิกเชี่ยน หรือแม้กระทั่งเดอะเวิร์ล ทุกคนกำลังแสดงสีหน้าคาดหวัง

ท่ามกลางม่านหมอกเทาหนาทึบ ไคลน์หัวเราะ ‘หึ’ ในลำคออย่างน่าเกรงขาม

“กุหลาบไถ่บาป”

กุหลาบไถ่บาป? ท่านหมายถึงอะไร…

หรือนี่คือกุญแจสำหรับหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลา? จริงสิ มุมหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนังมีคำว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ ถูกเขียนเอาไว้!

เดอร์ริคเริ่มขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด คล้ายกับกำลังเข้าถึงแก่นสำคัญของบางสิ่ง

ด้านอัลเจอร์ ออเดรย์ และฟอร์สต่างก็จดจำคำว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ จนขึ้นใจ แต่ก็ยังไม่กระจ่างว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังหมายถึงสิ่งใด

“ท่านเดอะฟูล กุหลาบไถ่บาปหมายความว่าอย่างไรหรือคะ” ออเดรย์อดใจไม่ไหว เธอชิงถามเป็นคนแรก

แต่ในคราวนี้ ไคลน์เอาแต่นิ่งเงียบโดยไม่ยอมบอกใบ้เพิ่มเติม เพียง ‘หึ’ หนึ่งครั้งในลำคอประหนึ่งกำลังมอบบททดสอบ

หลักการของมันไม่ซับซ้อน องค์กรกุหลาบไถ่บาปมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับพระผู้สร้างแท้จริง ฉะนั้น ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง กุหลาบไถ่บาปต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารของพระผู้สร้างแท้จริงแน่นอนอยู่แล้ว

คำตอบคลุมเครือเช่นนี้ ยังไงก็ไม่มีวันผิด!

ส่วนกุญแจสำคัญคือสิ่งใด จะใช่ชื่อของกุหลาบไถ่บาปหรือไม่ ไคลน์ไม่จำเป็นต้องกังวลให้ปวดหัว เพราะมันเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายตีความเอาเองตามใจชอบ

แต่ถ้าเดอะซันหรือคนอื่นตีความผิดไป

นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเดอะฟูลสักหน่อย

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset