บ้านเลขที่ 15 ถนนมินส์ ในห้องน้ำ
ไคลน์หยิบกระดาษรูปคนออกจากช่องกระเป๋าลับ สะบัดมันเพื่อเปลี่ยนให้เป็นร่างจำแลงของตน
เพื่อจะตบตาคนอื่น ชายหนุ่มจัดแจงให้ร่างปลอมนั่งบนชักโครกพร้อมกับถือหนังสือพิมพ์ไว้ในมือ จากนั้นก็ซ่อนร่างจริงไว้ในเงามืด เดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา
พฤติกรรมข้างต้นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าการใช้เวทมนตร์ใดๆ ในโลก!
ท่ามกลางพระราชวังโบราณหรูหรา ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พนักสูง ในมือถือผ้าเช็ดหน้ามายาของเจสัน·บีเลียล
วัตถุชิ้นนี้เป็นเพียงภาพฉาย แต่ก็สามารถใช้ในการทำนายได้ระดับหนึ่ง ขอเพียงไคลน์มีปฏิสัมพันธ์กับมันบนโลกจริงก็พอ
หากยังจำกันได้ สมัยยังอยู่ทิงเก็น ไคลน์เคยใช้เทคนิคดังกล่าวกับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันซึ่งถูกบิดเบือน ในขณะนั้น มันยังไม่รู้จักพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองเพื่อนำวัตถุจากโลกจริงขึ้นไปอยู่บนมิติสายหมอกด้วยซ้ำ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้วัตถุจริงทำนายย่อมให้ประสิทธิภาพดีกว่าวัตถุจำลอง เป็นสาเหตุให้ไคลน์พยายามใช้วัตถุจริงมาตลอด แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร มันกำลังถูกคุ้มครองโดยหน่วยพิเศษ ไม่สะดวกให้ประกอบพิธีกรรมโฉ่งฉ่างในห้องน้ำ
หากใครมาเห็นไคลน์กำลังจุดเทียนไขในห้องน้ำตอนกลางวันแสก ๆ คงเลี่ยงการตกเป็นเป้าสงสัยไม่ได้แน่
แต่ถ้าการทำนายด้วยวัตถุจำลองไม่ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ ก็คงต้องยอมเสี่ยงนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบนมิติสายหมอก…
ไคลน์พึมพำพลางเสกกระดาษหนังและปากกาหมึกซึมเพื่อเขียนประโยคทำนาย :
“ตำแหน่งปัจจุบันของเจสัน·บีเลียล”
โดยทั่วไป การพึ่งพาผ้าเช็ดหน้าจากพิธีกรรมมักไม่ค่อยได้ผลลัพธ์ตามต้องการสักเท่าไร โอกาสทราบตำแหน่งปัจจุบันของเจสันจึงเรียกได้ว่าริบหรี่ เป็นเพราะผ้าเช็ดหน้าผืนดังกล่าวไม่ใช่สิ่งของในชีวิตประจำวัน จึงมีจำนวนปฏิสัมพันธ์กับเจสันน้อยเกินไป
ยังไม่รวมถึงโอกาสถูกรบกวนจากบุคคลลึกลับ ตัวอย่างเช่น การเผลอไปทำให้ผู้ปกครองแห่งขุมนรกซึ่งเป็นเป้าหมายของพิธีกรรมของเจสัน เกิดความโกรธเคือง
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่กังวลการถูกแทรกแซงสักเท่าไร เนื่องจาก ผู้ปกครองแห่งขุมนรกคนนั้นคงเป็นเพียงปีศาจลำดับสูง ไม่น่าจะใช่ร่างจุติของด้านมืดแห่งเอกภพ
ห้วงมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้เคยหยุดการแทรกแซงจากทั้งเทพสุริยันเจิดจรัสและพระผู้สร้างแท้จริงมาแล้ว หรือไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำกว่าเล็กน้อยอย่างมิสเตอร์ประตู ก็ไม่เคยมีครั้งใดส่งสัญญาณเตือนถึงอันตรายเกินขอบเขต
ในส่วนของปัญหาเรื่อง ‘ผ้าเช็ดหน้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเจสัน·บีเลียลมากพอ’ ไคลน์เองก็จนปัญหาจะแก้ไข แม้แต่ห้วงมิติเหนือสายหมอกก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก ต้องสวดภาวนาให้ตนมีโชคเท่านั้น
บางที หากมันได้เป็นผู้วิเศษลำดับสูงเมื่อไร ปัญหาดังกล่าวอาจมีวิธีแก้ไขในอนาคต
แต่ถ้าลองไตร่ตรองให้ดี… ในทางทฤษฎี ผ้าเช็ดหน้าของเจสันอาจนำมาใช้ทำนายได้ เนื่องจากขณะกำลังประกอบพิธีกรรม จิตใจ ร่างกาย และสติคนเราจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง ส่งผลให้วัตถุรอบตัวซึมซับ ‘ตัวตน’ เข้าไปอย่างเข้มข้นกว่าปรกติ… ไคลน์ ผู้แตกฉานในศาสตร์เร้นลับพอสมควร พึมพำพลางวิเคราะห์หาโอกาสความสำเร็จ
ถัดมา มันถือกระดาษหนังเขียนประโยคทำนายไว้ในมือข้างหนึ่ง และถือผ้าเช็ดหน้ามายาไว้ในมืออีกข้าง ตามด้วยการเอนหลังพิงเก้าอี้และหลับตาลง
สติถูกเข้าฌานอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากชายหนุ่มขยับพึมพำซ้ำไปมา :
“ตำแหน่งปัจจุบันของเจสัน·บีเลียล”
เมื่อครบเจ็ดหน ไคลน์สะกดจิตตัวเองให้หลับเพื่อย่างกรายเข้าสู่โลกแห่งความฝัน
ท่ามกลางดินแดนสีเทาอันไม่คมชัด ฉากเหตุการณ์กำลังกระจัดกระจายรอบตัวไคลน์ในลักษณะไม่ปะติดปะต่อ
จนกระทั่ง ฉากเหตุการณ์หนึ่งเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนปกคลุมการมองเห็นไคลน์อย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าจิตของตนกำลังดำดิ่งเข้าไปในดินแดนแห่งใหม่
ภายในความฝัน บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างพร่ามัว ตรงหน้าเป็นโต๊ะไม้สีแดงเข้ม ใกล้กันมีร่างของชายคนหนึ่งกำลังยืนมองออกไปนอกมุขหน้าต่าง ด้านนอกเป็นสวนเขียวขจี
ใจกลางส่วนมีเรือนกระจกไว้สำหรับปลูกดอกกุหลาบจำนวนมาก พวกมันกำลังเบ่งบานอย่างน่าอัศจรรย์ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเย็นของเดือนธันวาคม
ภาพใบหน้าของบุคคลในฝันกำลังสะท้อนบนกระจกมุขหน้าต่าง อายุราวสามสิบ ส่วนสูงปานกลาง ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
หือ… เราไม่ได้กำลังทำนายถึงเจสัน·บีเลียลหรอกหรือ… ชายคนนี้เป็นใครกัน? แล้วทำไมเราถึงเกิดความคุ้นเคยอย่างเจือจาง…?
แม้ว่าไคลน์กำลังฉงน แต่มันไม่มัวคิดให้เปลืองสมอง ปล่อยจิตล่องลอยไปตามฉากเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไหลลื่น ลักษณะเดียวกับการปล่อยตัวปล่อยใจท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกวิญญาณ
ขณะชายหนุ่มเกิดคำถาม บุรุษในความฝันเริ่มเดินไปตรงมุมห้อง ณ จุดดังกล่าวมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ หุ้มด้วยหนัง วางอยู่สองใบ
ชายปริศนานั่งยองลงและจัดการเปิดกระเป๋าใบหนึ่งออก ด้านในเต็มไปด้วยปึกธนบัตรจำนวนมากซึ่งถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านบนกองธนบัตรมีแท่งทองวางทับไว้จำนวนหนึ่ง
ตัวเลขบนธนบัตรระบุชัดเจนว่าพวกมันทั้งหมดมีมูลค่าสิบปอนด์ ด้านแท่งทองก็ส่องแสงแวววาวอย่างไม่น้อยหน้า
ชายปริศนาล้วงหยิบบางสิ่งออกจากช่องลับในกระเป๋า สะบัดมัน และคลี่กางออก
สิ่งนั้นคือหนังมนุษย์สีซีดแผ่นบาง!
หนังมนุษย์ทั้งตัว!
บุรุษปริศนารีบถอดเสื้อผ้าออกและสวมหนังมนุษย์ทับ ภายในระยะเวลาเพียงสิบวินาทีแสนสั้น มันกลายร่างเป็นเจสัน·บีเลียล เจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเทา โหนกแก้มใหญ่ และเส้นผมหวีเรียบ!
มาถึงจุดนี้ ฉากความฝันตรงหน้าพลันแตกกระจัดกระจาย จิตไคลน์ถูกส่งกลับห้วงมิติเหนือสายหมอกพร้อมกับลืมตาขึ้น
เข้าใจแล้วว่าทำไมเจสันถึงกล้าลงมืออย่างอุกอาจหลายต่อหลายหน… เพราะในช่วงหลายสิบปีหลัง มันสวมมันหนังมนุษย์และปลอมตัวเป็นคนอื่นมาตลอด! สมกับเป็นปีศาจผู้เยือกเย็นและบ้าบิ่น!
ไคลน์ทำได้เพียงถอนหายใจ
ทั้งไอเซนการ์ด เรา หรือหน่วยพิเศษ ทุกคนต่างมองว่า การทิ้งภาพเหมือนของตัวเองไว้ใจกลางบ้านของเจสัน คือพฤติกรรมตามธรรมชาติและสามารถเข้าใจได้ แม้ว่าสิ่งนั้นอาจกลายเป็นเครื่องทุ่นแรงให้หน่วยพิเศษทำงานได้ง่ายขึ้นในภายหลังก็ตาม…
เพราะโดยทั่วไปแล้ว ทุกคนล้วนทราบดีว่าเจสัน·แพทริคมีรูปพรรณสัณฐานเป็นเช่นไร ทั้งจากปากคำของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงและพนักงานธนาคาร…
ถึงจะไม่มีภาพถ่ายแม้แต่ใบเดียว แต่ด้วยพลังพิเศษสักชนิด หน่วยพิเศษก็ต้องได้เห็นใบหน้าของคนร้ายเข้าสักวัน ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยเทคนิคการสืบสวนดังกล่าว คุณภาพของรูปจะสูงกว่าภาพถ่ายตามปรกติด้วยซ้ำ…
ดังนั้น ทุกคนจึงเข้าใจตรงกันว่า เจสันไม่มีเหตุผลให้ต้องทำลายภาพวาดสีน้ำมันของตัวเองในห้องนั่งเล่นทิ้งก่อนหลบหนี ทั้งหมดเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล…
แต่ใครจะไปคาดคิดว่านั่นคือ ‘ข้อมูลลวง’ ซึ่งถูกตอกลิ่มไว้ในใจทุกคนอย่างแนบเนียน ทำให้ทุกฝ่ายปักใจเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า เจสัน·แพทริคมีดวงตาสีฟ้า โหนกแก้มใหญ่ และเส้นผมหวีเรียบ!
ถึงเหยี่ยวราตรีจะเข้าไปในบ้านเจสันและลงทุนใช้ 1-42 แต่ในทางทฤษฎีทำนาย การเกาะรอยด้วยรูปลักษณ์ปลอมอาจได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ตรงตามความจริง…เหยี่ยวราตรีเจองานยากเสียแล้ว…
ความเจ้าเล่ห์ก็คือ ในการลงมือทั้งสองครั้งของมัน เจสันพยายามปกปิดใบหน้าปลอมอย่างมิดชิด ราวกับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก…
ไคลน์ตระหนักถึงความน่ากลัวอีกฝ่าย
ชายหนุ่มลูบขมับพลางทบทวนรายละเอียดของฉากในนิมิตฝันอีกครั้ง
สวนในบ้านมีเรือนกระจกหรูหรา…ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น กรุงเบ็คลันด์มีบ้านแบบนี้เพียงไม่กี่หลัง…
แต่คำถามคือ เราจะรายงานให้หน่วยพิเศษทราบได้อย่างไร…หากแจ้งกับจิตแห่งจักรกล เจสันจะสัมผัสถึงอันตรายและรีบปลอมตัวเพื่อเผ่นหนีไปไกล…
แจ้งกับเหยี่ยวราตรีซึ่งมี 1-42 โดยตรง? แล้วต้องทำอย่างไรถ้าบังเอิญพบกับคนรู้จัก…เราไม่อยากกลายเป็นซากขี้เถ้าและถูกโปรยลงแม่น้ำทัสซอคสักหน่อย…ยิ่งไปกว่านั้น นักสืบเชอร์ล็อกไม่ควรรีบรายงานข้อมูลสำคัญ วันนี้เพิ่งเริ่มต้นสืบหาเบาะแสคนร้าย คงจะแปลกเกิดไปสักหน่อยหากสามารถสืบสาวได้ลึกขนาดนี้…
คนร้ายพกพาทรัพย์สินราคาแพงติดตัวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเงินสด โลหะมีค่า หรืออัญมณี… มูลค่ารวมคงไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นปอนด์แน่นอน…
สมองไคลน์ขบคิดหนักหน่วง จนกระทั่งจิตใจเริ่มสงบลง ไคลน์ตัดสินใจอดทนรออีกสองวัน ค่อยหาวิธีบอกนิมิตความฝันของตนให้เหยี่ยวราตรีทราบ
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำนายต่อ มันส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง สลายร่างปลอมทิ้ง และกลับมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนชักโครกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…
เวลาล่วงเลยจนถึงช่วงบ่าย ไคลน์โยนเหรียญเพนนีเพื่อสอบถามว่า การออกจากบ้านในตอนนี้เป็นผลดีหรือไม่
และคำตอบก็คือ การออกจากบ้านในช่วงนี้ยังไม่ใช่สิ่งเหมาะสม
“จะเกิดอันตรายถ้าเราออกไป…?” ไคลน์รีบเดินกลับมานั่งในห้องรับแขก
ผ่านไปราวยี่สิบนาที มันได้ยินเสียงกริ่งดังกังวาน และพบว่าผู้มาเยือนคือไอเซนการ์ด
“มิสเตอร์สแตนธอน มีความคืบหน้าหรือ” น้ำเสียงไคลน์ค่อนข้างโล่งใจ
ไอเซนการ์ดชี้เข้าไปในห้องรับแขก
“คุยกันข้างในเถอะ”
“ตกลง” ไคลน์ขยับหลบ
หลังจากทั้งคู่นั่งลงบนโซฟาสองตัวซึ่งหันหน้าเข้าหากัน ไอเซนการ์ดใช้มือถอดหมวกนายพรานพร้อมกับถอนหายใจยาว
“ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มลงมือแล้ว”
เมื่อเห็นไคลน์ยังคงเงียบ ไอเซนการ์ดพยักหน้าและเล่าต่อ
“จากบรรดานักสืบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง มีสองครอบครัวยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่ย้ายหนีไปไหน พวกเขาเชื่อว่าตัวเองจะไม่ได้รับผลกระทบ จึงยังคงใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยตามปรกติ จนกระทั่งช่วงเที่ยงของวันนี้ ทางตำรวจรายงานว่ามีการพบศพพวกเขาภายในสำนักงานของตัวเอง คนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว สันนิษฐานว่าเกิดจากความหวาดกลัวสุดขีด ส่วนอีกคนเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน แต่มีการถ่ายของเสียงออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก พวกเขาดื้อรั้นเกินไป สมกับเป็นสาวกของโบสถ์หัวรุนแรง แต่ข้อดีก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทูตพิพากษายอมหันมาสนใจกับคดีนี้มากขึ้น และยังเชื่อกันว่า ผู้วิเศษลำดับสูงจากทุกโบสถ์และกองทัพ เริ่มหันมาชายตามองผู้ปลดปล่อยแรงกระหายแล้ว เกือบทุกโบสถ์ได้ยกระดับความสำคัญของภัยคุกคามจากผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย ให้กลายเป็นอันดับหนึ่งของช่วงเวลานี้”
“คุณกำลังจะบอกให้ผมช่วยเก็บความลับเรื่องการเป็นสาวกของโบสถ์ปัญญาความรู้ของคุณ ไว้จากทางการใช่ไหม” ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้ากระจ่าง
“เพราะแบบนี้ ผมถึงชอบคุยกับนักสืบด้วยกันเอง อะไรก็ง่ายไปหมด” ไอเซนการ์ดยิ้มรับ
“ตกลง” ไคลน์รับปาก ก่อนจะซักถาม “ทางผมมีเครือข่ายข้อมูลลับแต่ไม่สะดวกจะเปิดเผย ดังนั้น หากผมได้รับข่าวสารสำคัญจากพวกเขา คุณช่วยรายงานกับเหยี่ยวราตรีโดยปิดแหล่งข่าวไว้เป็นความลับได้ไหม”
ในประเด็นว่าทำไมต้องเป็นเหยี่ยวราตรี ไม่ใช่จิตแห่งจักรกล ไคลน์เชื่อว่าด้วยปัญญาของไอเซนการ์ด ตนไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ไอเซนการ์ดพยักหน้ารับเล็กน้อย ตามด้วยประโยคคำถาม
“แต่ถ้าคุณนำข้อมูลมาบอกกับผม จะไม่ถือเป็นการกระตุ้นให้เจสันรู้ตัวหรอกหรือ”
“ได้แต่หวังว่า เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะหาวิธีหลบเลี่ยงพบ… ไม่สิ บางที คุณอาจคิดหาทางออกได้ดีกว่าผม เช่นการใช้แหวนวงนั้นคัดลอกพลังบางอย่าง แทรกแซงไม่ให้เจสันตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้า” ไคลน์ตอบอย่างสุขุม
“ตกลง” ไอเซนการ์ดตอบกระชับ
มันก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะนำไปป์ขึ้นมาสูดกลิ่นยาสูบโดยไม่จุด
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง พฤติกรรมของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายในวันนี้ ถือเป็นการยืนยันทฤษฎีข้อหนึ่งของผมด้วยเช่นกัน ฮะฮะ! คุณเองก็เคยสงสัยในประเด็นนี้มาก่อน”
“หมายถึงเรื่อง เป้าหมายแท้จริงของมันไม่ใช่การแก้แค้นกลุ่มนักสืบ?” ไคลน์เข้าใจความนัยอีกฝ่าย
ไอเซนการ์ดเอนตัวมาด้านหน้าพร้อมกับตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อเจสันใช้พลังของสัตว์เลือดเย็นช่วยให้ความคิดความอ่านสุขุม หมายความว่าทุกการกระทำของมันต้องมีเหตุผลรองรับ จึงไม่มีทางลงมืออย่างเอิกเกริกเพียงเพราะหวังแก้แค้นให้สุนัขแน่ เชอร์ล็อก คุณเองก็น่าจะสังเกตเห็น ตอนนี้หน่วยพิเศษทั้งหมดในเบ็คลันด์กำลังตื่นตัว แม้กระทั่งผู้วิเศษลำดับสูงก็ยังจับตามองผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย… หากเจสันต้องการฆ่าใครสักคน… ผมหมายถึงเป้าหมายแท้จริงของมัน… คงไม่มีช่วงเวลาใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”
ไคลน์ก้มหน้าคิดตาม ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่นเชิงเห็นพ้อง
“สมเหตุสมผล”
…
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นกันสักพัก ไอเซนการ์ดขอตัวไปหาคาสลาน่า ส่วนไคลน์ยังคงโยนเหรียญจนกว่าผลลัพธ์จะอนุญาตให้ออกจากบ้าน
โดยไม่ต้องรอนาน ไม่กี่นาทีถัดมา มันได้รับไฟเขียวให้เดินทางไปยังสโมสรครักซ์
ปัจจุบัน ทั้งไคลน์และไอเซนการ์ดยังมิได้แจ้งความผิดปรกติของเจสันให้หน่วยพิเศษทราบ เพราะกังวลว่าอาจทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหลบหนีไปเสียก่อน
เมื่อถึงสโมสรครักซ์ ไคลน์พบกับศัลยแพทย์คนดังแห่งเบ็คลันด์ อลัน·คริสต์ ณ ห้องรับรองสมาชิก
“ไม่ได้พบกันนาน” ชายหนุ่มยิ้มทักทาย
“ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก” อลันตอบด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่สีหน้าและน้ำเสียงค่อนไปทางเย็นชาเนื่องจากติดเป็นนิสัย “นอกจากนั้น ทางแพทย์ระบุว่าภรรยาของผมกำลังตั้งครรภ์
“ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้ง”
“ขอแสดงความยินดีด้วย! ทารกมีอายุกี่เดือนแล้ว?” ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเอง
อลันก้มหน้านึก
“พวกเราเพิ่งได้รับการยืนยัน ดังนั้น เธอน่าจะเพิ่งตั้งครรภ์ได้ประมาณหนึ่งเดือน”
“ประมาณหนึ่งเดือน…?” ตาดำไคลน์พลันสั่นเทา มันจ้องเข้าไปในแววตาอลันด้วยสีหน้าสุดประหลาดใจ
……………………