บทที่ 430
อย่างไรก็ตามเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขาจะเร็วกว่าจ้านหูได้อย่างไร ? ด้วยเพียงเสี่ยววินาทีเท่านั้น ค้อนของจ้านหูก็ได้ฟาดเข้าที่ตัวอย่างแรง ทำให้หลูฟาดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดขณะที่ล้มลงบนพื้น ก่อนร่างจะกระตุกและนิ่งไป
หลังจากที่สังหารหลูฟาน ก็ไม่มีใครสามารถหยุดจ้านหูได้อีก เขาฟาดอาวุธลงไปยังพวกทหารเปิงที่ขวางทางจนเละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องยิงหินยักษ์กว่าหนึ่งโหลก็ได้ถูกเขาทำลายไปแล้ว ส่วนทหารที่เหลืออยู่ก็ต่างกลัวกันมากจนร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน ไม่กล้าที่จะต่อสู้ต่อ และพากันวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนกในท้ายที่สุด
เมื่อเห็นโอกาสดีงาม ถังหยินก็ไม่รอช้า เร่งพากลุ่มของตนขึ้นฝั่งของแม่น้ำในทันที และเมื่อพวกเฟิงขึ้นฝั่งกันได้หมดแล้ว พวกเขาก็พลันกลายเป็นดั่งสัตว์ดุร้ายหลุดออกจากกรงขัง พากันส่งเสียงตะโกนดังไปทั่วท้องฟ้า ก่อนจะพากันพุ่งทะยานเข้าไปพร้อมกับอาวุธในมือ
แค่เพียงหยวนยู่คนเดียวก็ยากที่จะรับมืออยู่แล้ว มาตอนนี้กลับมีพวกทหารเฟิงมาเสริมอีก !
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทหารเปิงที่เหลือสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อต้านอย่างสิ้นเชิง พวกเขาพากันหันหลังกลับหนีตายและทิ้งอาวุธลง ไม่ก็ยอมจำนนแทบจะในทันที !!
ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียว เพราะมีแค่พวกเฟิงเท่านั้นที่ทำการล่าสังหารศัตรูไปตลอดทาง ส่วนพวกเปิงก็เอาแต่หนี ไม่มีความคิดที่จะตอบโต้แม้แต่น้อย !!!
หลังจากที่ถังหยินขึ้นฝั่ง เขาก็เดินเข้าไปในป่าพร้อมกับหยวนอู่ เฉิงจินและคนอื่น ๆ
…ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป มักมีศพนอนตายเกลื่อนพื้น และส่วนใหญ่ศพที่ว่าก็มักเป็นของศพของเปิง ซึ่งยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ พวกเขาก็พบกับซากศพมาขึ้นเท่านั้น ….นี่หยวนยู่คร่าชีวิตพวกเปิงไปมากเท่าใดกันแน่ ?!!
คำถามที่ว่านี้คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ตอบได้….
เมื่อเห็นถังหยินเข้ามา หยวนยู่ที่เกราะปราณถูกย้อมด้วยเลือดก็พลันก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ข้าจัดการตามที่ท่านขอเอาไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ !”
“ทำได้ดีมาก !” ถังหยินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวซ้ำอีกครั้งว่า “ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก”
เมื่อสิ้นคำพูดนั้น หยวนยู่พลันปลดเกราะปราณออก หากแต่หมอกที่ควรเป็นสีขาวกลับเปลี่ยนสีไป มันกลายเป็นหมอกเลือดสีแดงสดที่ค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ แทนเสียอย่างงั้น !!
ถังหยินมองไปรอบ ๆ สนามรบและถามว่า “จับแม่ทัพฝ่ายศัตรูมาได้บ้างหรือไม่ ?”
หยวนยู่ได้แต่กะพริบตาและหายใจเข้าลึก ๆ เพราะเขามัวแต่ฆ่าคนจนลืมมองหาแม่ทัพศัตรูไปเสียสนิท ดังนั้นชายเลือดร้อนจึงได้แต่เงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนเป็นจ้านหูที่เดินขึ้นมาจากด้านหลังของหยวนยู่และกล่าวกับถังหยินว่า “เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น พวกมันก็ชิงหนีไปก่อนแล้วขอรับ”
แบบนี้นี่เอง ! ไม่น่าแปลกใจเลย หยวนยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นหันกลับมาและมองไปที่จ้านหูด้วยท่าทีขอบคุณ
ถังหยินยักไหล่และยิ้มเยาะขณะที่เขาพูดเบา ๆ “แล้วใครเป็นคนสั่งให้ทำเช่นนั้น ?”
“เป็นจ้านอู่ฉางขอรับ !” จ้านหูเพิ่งซักถามคนที่ยอมจำนนมา ทำให้มาตอนนี้เขาก็จึงรู้แล้วว่าใครคือผู้บัญชาการหลักของกองทัพนี้
“เป็นเขาจริง ๆ ด้วย” ถังหยินพยักหน้า ก่อนจะหันไปพูดกับเฉิงจินว่า “ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้กองทัพทั้งหมดข้ามแม่น้ำมา เราจะตั้งค่ายกันที่ฝั่งนี้ !!”
“ขอรับนายท่าน !” เฉิงจินรับคำสั่ง ขณะที่เขาหันหลังกลับและจากไป
เมื่อเรื่องข้ามฝั่งจบลง ถังหยินจึงหันถามจ้านหู “เครื่องขว้างหินของกองทัพเปิงเล่า ?”
จ้านหูตอบว่า “มีทั้งหมด 25 เครื่องอยู่ที่ด้านข้างของค่ายศัตรู ในระหว่างการต่อสู้ข้าทำลายไป 15 ตอนนี้จึงเหลือเพียง 10 เครื่องเท่านั้น”
ที่แท้ก็เป็นจ้านหูที่เข้าขัดขวางเครื่องยิงหินพวกนั้นนี่เอง ! ถังหยินยิ้มและกล่าวชม “ทำได้ดีมาก”
หยวนยู่เป็นผู้นำการลอบโจมตี เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญและทำดีที่สุด แต่จ้านหูเองก็ถูกยกย่องในตอนท้ายเช่นกัน !
ในการต่อสู้ครั้งนี้ การบาดเจ็บล้มตายในกองทัพเฟิงไม่มากนัก มีเพียงประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น อย่างไรก็ตามจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในกองทัพเปิงนั้นเกินกว่าที่จะนับได้ อย่างน้อยคงมากถึงเจ็ดแปดพันเลยทีเดียว ดังนั้นจำนวนของทหารที่ติดตามจ้านอู่ฉางออกจากสมรภูมิจึงมีน้อยกว่า 2 พันคน !!
…ต่อไปเป้าหมายของถังหยินคือการยึดพื้นที่ขยายออกไป ทว่าแพไม้ 500 แพจะสามารถขนส่งคนได้เพียง 1 หมื่นคนต่อรอบเท่านั้น และเมื่อเพิ่มอาหารกับเสบียงเข้าไปด้วย ต่อให้จะทำการขนส่งอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาสองหรือสามวัน ดังนั้นแล้วถังหยินจึงใช้เวลาว่างในช่วงนี้พักผ่อนและพักฟื้นร่างกายขณะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองจางหยู
เนื่องจากการสู้รบที่ริมฝั่ง เชลยของกองทัพเปิงที่ถูกจับได้จึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่น… มันก็ทำให้พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ของจานหยูได้ง่ายขึ้น !!
เชลยที่มีฐานะสูงสุดของพวกเปิงที่จับมาได้เป็นถึงรองแม่ทัพชื่อเสี่ยวซิน บุคคลผู้นี้ไม่ได้มีทักษะหรือความรู้ที่แท้จริง เขาเพียงแต่นั่งในตำแหน่งรองแม่ทัพเพราะสนิทกับเสี่ยวชางก็เท่านั้น …นี่นับเป็นความโชคร้ายโดยแท้
คืนนั้นถังหยินได้ให้เฉิงจินพาอีกฝ่ายเข้ามาในกระโจมของตน เพื่อที่ชายหนุ่มจะได้ตรวจสอบสถานการณ์ภายในเมืองจางหยูเป็นการส่วนตัว
เสี่ยวซินดูเหมือนจะอยู่ในวัยสามสิบต้น ๆ ร่างกายของเขาไม่สูงนัก ผิวของเขามีสีเข้มและก็ถือว่าดูดีใช้ได้ ทว่าตอนนี้เขาถูกมัดด้วยเชือกแน่นหนา ก่อนจะถูกเฉิงจินลากตัวเข้ามา
เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายขาดรุ่งริ่งและมีรอยเลือดติดอยู่ ถังหยินก็รู้ในทันทีว่าเสี่ยวซินโดนทหารของตนเล่นงานมาอย่างแน่นอน
เขายิ้มและถามว่า “เสี่ยวซินใช่หรือไม่ ?”
มือทั้งสองข้างของเสี่ยวซินถูกมัดไว้ด้านหลัง และถึงเขาจะไม่มีแรงเหลือมากนัก ทว่าเสี่ยวซินก็ยังคงพยายามดิ้นรนอยู่บนพื้นเพื่อลุกขึ้นยืน ก่อนเป็นเฉิงจินที่เดินเข้าไปและคว้าจับเข้าที่คอพร้อมตะโกนว่า “ลุกขึ้น !”
…ในขณะที่พูดเฉิงจินก็ทำการยกเสี่ยวซินขึ้น จากนั้นจึงเตะเข้าไปที่ข้อพับ บังคับให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกันพื้น
ตรงหน้าของเสี่ยวซินในเวลานี้เป็นชายคนหนึ่งที่นอนราบอยู่บนพื้น คนผู้นี้มีอายุเพียง 20 ต้น ๆ เท่านั้น อีกทั้งใบหน้าก็ขาวราวกับหยกดั่งคุณชายเจ้าสำอางที่ไม่เคยทำงานหนักหรือต้องแสงแดดเป็นเวลานาน
และที่ด้านหลังชายผู้นั้น ก็มีแม่ทัพสองคนที่มีรูปร่างคล้ายกัน จนราวกับว่าพวกเขาสองคนทำจากแม่พิมพ์เดียวกัน อย่างไรก็ตามทั้งสองคนนี้ต่างก็กำลังถือหอกยาวไว้ในมือและมีสีหน้าเศร้าหมอง พวกเขายืนอยู่ที่นั่นโดยปราศจากความโกรธและความตั้งใจในการฆ่า
หลังจากที่เสี่ยวซินสังเกตโดยรอบ เขาก็พลันแอบสูดหายใจเข้าและคิดว่าตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ธรรมดาเลย เขากลืนน้ำลายและพยักหน้าซ้ำ ๆ ขณะที่ตอบว่า “คนที่ต่ำต้อยคนนี้คือเสี่ยวซิน แล้วท่านล่ะ ?”
“ถังหยิน !” ชายหนุ่มตอบอย่างยิ้มแย้ม
“อ๊ะ… ?” ร่างกายของเสี่ยวซินสั่นสะท้าน ร่างที่คุกเข่าของเขาพลันกลายเป็นปวกเปียกจนเกือบล้มลงกับพื้น ด้วยชายหนุ่มคนนี้คือถังหยินคนดังคนนั้น ! เขาต้องการอะไร ? มันอาจจะเป็น… ?
เสี่ยวซินตัวสั่นเทา ปากของเขาเปิดออกและมีน้ำตาไหลออกมาขณะที่เขาพูดด้วยเสียงที่สำลัก “ข้าแค่ทำตามคำสั่ง มันไม่มีทางอื่น ที่ข้าไปซุ่มโจมตีชายฝั่งทางเหนือมันเป็นคำสั่งของจ้านอู่ฉางทั้งหมด ! ดังนั้นได้โปรดเมตตาชีวิตข้าด้วย !?”
เมื่อมองไปที่เสี่ยวซินที่เอาแต่อ้อนวอนขอความเมตตาจนน้ำมูกน้ำตาไหล ถังหยินก็แอบหัวเราะในใจ เพราะที่แท้ชายคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่กลัวความตาย !
ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลันชูถ้วยน้ำชาขึ้นจิบแล้วพูดว่า “เสี่ยวซิน เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะฆ่าเจ้าเสียหน่อย แต่แน่นอนว่าเจ้าจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง !”
“ไม่ว่าท่านต้องการให้ทำอะไร ข้าก็ยอมทั้งนั้น !” เมื่อเสี่ยวซินได้ยินว่าเขายังมีโอกาสรอด จิตใจของเขาก็พลันสั่นไหวและรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ใช่ !” ถังหยินตอบด้วยความพึงพอใจและโบกมือให้เฉิงจินพลางพูดว่า “ปล่อยเขา”
“ขอรับ !” เฉิงจินเดินไปข้างหน้าและปลดเชือกที่ผูกรอบตัวของเสี่ยวซินออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ในที่สุดแขนของเสี่ยวซินก็ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา จนอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะเหยียดแขนที่ชาสองสามครั้ง จากนั้นจึงกลับมาคุกเข่าลงบนพื้น
“เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเสี่ยวชาง ?” ถังหยินถามอย่างไม่เป็นทางการ
เสี่ยวซินรีบพูดว่า “ข้าและเสี่ยวชางมาจากตระกูลเดียวกัน ตามความอาวุโสแล้ว เขาถือเป็นลุงของข้า”
“งั้นหรือ เอาละ สิ่งที่ข้าต้องการจะรู้ก็คือในจางหยูมีกำลังทหารอยู่กี่นาย มีการป้องกันเป็นอย่างไร และคลังอยู่ที่ไหน ?” ถังหยินถามอย่างรวดเร็ว
จริงอยู่ที่เสี่ยวซินเป็นคนที่ชั่วร้ายก็จริง แต่เขาก็กลัวความตายมากเหมือนกัน
เขาพูดตะกุกตะกัก “เดิมทีชาวเมืองจางหยูได้รับการคุ้มกันโดยกำลังทหารราว 3 หมื่นนาย ดังนั้นนอกเหนือจาก 1 หมื่นคนที่เฝ้าชายแดนทางเหนือของแม่น้ำแล้ว จึงยังมีอีกอย่างน้อย 2 หมื่นคนในบทที่ 430เมือง ! นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาจะมีการเสริมกำลังและการป้องกันเข้าไปอีก เพราะจานหยูนั้นถือเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งผลิตข้าวแหล่งสำคัญ จึงมีคลังเก็บเสบียงมากมายจนแทบล้น ส่งผลให้ต่อให้มีกำลังทหารเพิ่มเป็นแสน มันก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดที่จะยื้อและต้านทานพวกท่าน !!”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสี่ยวซินก็พลันหันมองปฏิกิริยาของถังหยิน และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นครั้งคราว เสี่ยวซินก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดต่อ “การป้องกันของจางหยูเดิมแข็งแกร่ง และเมื่อมีจานอู่ตี้เข้ามาดูแลอีก ข้าก็เชื่อว่ามันคงจะต้องยากนักที่จะตีแตก !!”