ตอนที่ 443 สามคนเก่งในครอบครัวเดียวกัน มันน่าเหลือเชื่อ
เวินเฟิงเหมียนที่อยู่ในทีวีตามองกล้อง
ภาพคมชัด
สามารถเห็นได้แม้กระทั่งรอยแผลเป็นจางๆ ที่อยู่มุมขวาบนหน้าผากของเขา
จี้อี้หางดวงตาเบิกโพลง มือสั่น แท่นฝนหมึกกลิ้งตกลงไปบนพื้น
เสียงดัง “ตุบ” แตกหักออกเป็นสองส่วน
เขากลับเหมือนไม่ได้ยิน เอาแต่จ้องโทรทัศน์ มีสีหน้าเหลือเชื่อเหมือนกัน
การสัมภาษณ์นี้เป็นถ่ายทอดสดตามเวลาจริง ยังคงดำเนินต่อไป
นักข่าวของสถานีโทรทัศน์กลางถาม เวินเฟิงเหมียนก็ตอบ ถามมาตอบไป
ไม่มีข้อความขึ้นบนหน้าจอโทรทัศน์ ต้องอาศัยนักข่าวอธิบาย
คุณนายปากสั่นฟันกระทบกัน พูดเสียงเพี้ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากเชื่อ
“เขา…นี่เขาเลี้ยงลูกจนสอบได้อันดับหนึ่งถึงสองคนเลยเหรอ แถมยังเป็นที่หนึ่งของประเทศทั้งสองคนด้วย”
พวกเขาเคยได้ยินชื่ออิ๋งจื่อจิน
โดยเฉพาะเมื่อเดือนก่อน เรียกได้ว่าได้ยินไม่ขาดสาย
รอบชิงชนะเลิศไอเอสซี ตระกูลจี้ในฐานะที่เป็นตระกูลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ย่อมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ต่อมาเกิดเหตุระเบิดในยุโรป อิ๋งจื่อจินถูกฝัง อีกทั้งยังได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก พวกเขาก็รู้สึกว่าน่าเสียดาย แต่ไม่นานก็ลืมเรื่องนี้
มีแค่อัจฉริยะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะมีประโยชน์
จี้อี้หางก็รู้ดีว่า ข้อสอบรวมครั้งนี้ยากขนาดไหน
แน่นอนว่าความยากที่ว่านี้สำหรับนักเรียนโดยรวม
แต่สำหรับกลุ่มหัวกะทิ ต่อให้ความยากของข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อพวกเขา
แต่อันดับหนึ่งที่ได้เจ็ดร้อยห้าสิบคะแนนมีน้อยมากจริงๆ
ตระกูลจี้ก็เคยมีคนที่ได้อันดับหนึ่งหลายคน แต่ครั้งที่ได้มากสุดก็แค่เจ็ดร้อยสามสิบห้าคะแนน
ถึงแม้จะห่างแค่สิบห้าคะแนน แต่ความแตกต่างก็ถือว่าคนละระดับเลยทีเดียว
“ใช่เขา” จี้อี้หางพึมพำ “เขายังไม่ตายจริงๆ”
ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว เขายังคงจำได้ชัดเจน
อุบัติเหตุทางห้องทดลองในปีนั้น นักวิจัยของโซนใจกลางตายไปทั้งหมดสิบแปดคน
ควันพิษเดธเข้าร่างกายเต็มสูบ แทบไม่มีโอกาสรอด
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ของประเทศจีนยังไม่ก้าวหน้า
ถึงแม้นักวิจัยของโซนใจกลางจะใส่ชุดป้องกันที่ดีที่สุดแต่ก็เอาควันพิษเดธไม่อยู่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความผิดพลาดทางการทดลองทำให้เกิดกัมมันตรังสีอย่างรุนแรง
แม้แต่พวกนักวิจัยกับผู้ช่วยที่อยู่รอบนอกต่างก็ทยอยตายไปทีละคนในช่วงหลายปีมานี้
จี้อี้หางนึกไม่ถึงว่าเวินเฟิงเหมียนจะมีชีวิตรอดมาได้
เวินเฟิงเหมียน นักวิจัยอันดับหนึ่ง
ขั้นตอนที่สำคัญทั้งหมดก็มีแค่เขาคนเดียวที่ทำ
คนอื่นแทนเขาไม่ได้
เวินเฟิงเหมียนที่อยู่ในทีวียิ้มเล็กน้อย ดูสะอาดสะอ้าน และใจเย็น ชั่วขณะนั้นจี้อี้หางนึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
อายุแค่สิบหกปี แต่กลับเก่งนำคนวัยเดียวกันไปมาก หรือแม้กระทั่งเก่งนำพวกศาสตราจารย์
ในวัยที่คนอื่นยังเล่นสนุกอยู่ เวินเฟิงเหมียนได้กลายเป็นนักวิจัยอันดับหนึ่งของโซนทดลองที่เป็นความลับ
ความสำเร็จนี้อย่าว่าแต่ตระกูลจี้เลย ต่อให้เป็นตระกูลทั่วโลกทั้งหมดที่เกี่ยวกับการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ก็ยังได้แต่มองอยู่ห่างๆ
“จองตั๋วเครื่องบินไปฮู่เฉิง” จี้อี้หางตัดสินใจทันที
“เขายังไม่ตาย แต่กลับไม่กลับมา ต้องให้เขากลับมา”
จากบทสัมภาษณ์นี้เขาได้รู้ว่า น้องชายของเขาคนนี้ยังได้เปลี่ยนแซ่ด้วย
จากนั้นก็ปกปิดชื่อนามสกุล อาศัยอยู่ที่อำเภอยากแค้นแห่งหนึ่งมายี่สิบกว่าปี
แซ่จี้มันทำให้เขารู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ
ถึงแม้ตระกูลจี้จะไม่ใช่ตระกูลนักธุรกิจ แต่เงินก็พอใช้
เมื่อก่อนการกินการอยู่ข้าวของเครื่องใช้ของเวินเฟิงเหมียนล้วนเป็นของที่ดีที่สุด เขาทนใช้ชีวิตลำบากขนาดนั้นได้ยังไง
จี้อี้หางจินตนาการไม่ออก
“ช่วงนี้ยังไม่ได้ค่ะ” คุณนายจี้ส่ายหน้า
“โปรเจ็กต์ของทางห้องทดลองกำลังถึงช่วงสำคัญ คุณเองก็เพิ่งว่างช่วงสองวันนี้ ใช้เวลากับเสี่ยวหลีให้มากหน่อย”
จี้หลีเป็นลูกสาวคนเล็กของทั้งสองคน และก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้
เมืองตี้ตูไม่ได้ใช้ข้อสอบรวม แต่ข้อสอบง่ายกว่าข้อสอบรวมในครั้งนี้
ผลคะแนนของจี้หลีคือเจ็ดร้อยแปด อยู่ในอันดับที่แปดสิบเก้า
จี้อี้หางตั้งใจลาหยุดกลับมาเพื่อดูคะแนนพร้อมกับจี้หลี
พอถูกเตือนแบบนี้จี้อี้หางถึงนึกออก
เขาเงียบไปชั่วครู่ “ผมจะรีบจัดการขั้นตอนก่อนหน้านี้ให้เสร็จโดยเร็ว จากนั้นก็ลาหยุด”
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องรับเวินเฟิงเหมียนกลับมา
…
ความเคลื่อนไหวในเน็ตไม่ได้ส่งผลต่ออิ๋งจื่อจิน
ช่วงหลายวันมานี้ชูกวงมีเดียกำลังขุดวีรกรรมสกปรกโสมมของเทียนสิงมีเดียพร้อมทั้งรวบรวมเป็นเล่ม
“บอสคะ เทียนสิงมีเดียก็ไม่ได้ดีไปว่าซิงเฉินเลยค่ะ” เลขาสาวชี้เอกสารที่หนาสิบเซนติเมตร
“ดูเรื่องที่พวกเขาทำสิคะ ดีๆ ทั้งนั้น”
จุดแข็งเพียงอย่างเดียวที่เทียนสิงมีเดียฉลาดกว่าซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ก็คือ พวกเขารู้จักเลือกใช้คน ใช้กลุ่มดาราระดับล่างสุด
ไม่เหมือนซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ที่กล้าเล่นงานแม้กระทั่งราชาภาพยนตร์อย่างซังเย่าจือ
“อีกสองวันโพสต์หลักฐานลงในเน็ต” อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย
“วันนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
เมื่อครู่อาจารย์ฝ่ายวิชาการยังได้โทรมาหาเธอ บอกว่ามีนักเรียนกับผู้ปกครองจำนวนมากไปสอบถามเขา
วันนี้ชาวเน็ตกำลังเฉลิมฉลอง เธอจะไปทำพวกเขาหมดอารมณ์ไม่ได้ เดี๋ยวเทียนสิงมีเดียจะไปยึดครองคำค้นยอดนิยม
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลงเล็กน้อย มือเคาะโต๊ะเบาๆ
“แต่แผนอื่นๆ เริ่มดำเนินการได้แล้ว เข้าซื้อกิจการเทียนสิงมีเดียด้วยเงินที่น้อยที่สุด”
เดิมทีแผนนี้ได้เริ่มไปก่อนแล้ว แต่เนื่องจากเหตุระเบิดทำให้ถูกพักไว้มาจนถึงตอนนี้
เลขาสาวพูดขึ้น “ฉันเข้าใจค่ะบอส เงินต้องเอาไว้ใช้ยามสำคัญ จะเอาเงินไปผลาญกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน”
อยากซื้อกิจการเทียนสิงมีเดีย เงินที่ใช้จะต้องเกินแสนล้านแน่นอน
แต่ถ้าชื่อเสียงของเทียนสิงมีเดียพังยับเยิน หุ้นก็จะตกตามไปด้วย
พอเป็นแบบนั้นก็จะประหยัดเงินไปได้มาก
ตอนนั้นลั่วเหวินปินก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ถูกเล่นงานกลับแล้ว
มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นในเวลานี้
อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้น “เชิญ”
คนที่เข้ามาคือประธานลู่ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก
“บอสครับ ลั่วเหวินปินบอกว่า ประธานโซนเอเชียแปซิฟิกของไทม์มีเดียอยากเจอบอสครับ”
ไทม์มีเดียเป็นบริษัทบันเทิงอันดับต้นๆ ของโลก ในสังกัดมีแต่ดาราที่โลดแล่นอยู่ในวงการละครและภาพยนตร์ระดับโลก
อีกทั้งยังมีบริษัทบันเทิงในความดูแลอีกหลายประเทศ
ไทม์มีเดียอยากยื่นมือเข้ามาในวงการบันเทิงประเทศจีนมาตลอด เพียงแต่อิทธิพลของชูกวงมีเดียแข็งแกร่งมาก จึงสั่นคลอนรากฐานไม่เคยได้
ไทม์มีเดียร่วมมือกับเทียนสิงมีเดีย ทว่าไม่ได้แค่ต้องการช่วยเทียนสิงมีเดีย พวกเขาก็มีความทะเยอทะยานของตัวเองด้วยเช่นกัน
อิ๋งจื่อจินพูด “ไม่พบ”
“ก็คือไม่พบค่ะ” เลขาสาวก็พูดขึ้น
“บอสของพวกเราใช่คนที่ใครอยากพบก็จะพบได้เหรอคะ”
ที่นี่คือประเทศจีน
ไทม์มีเดียคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อหรือไง
ประธานลู่พยักหน้า “ผมจะไปตอบเดี๋ยวนี้ครับ”
“ฉันก็ขอตัวก่อนด้วย” อิ๋งจื่อจินลุกขึ้น “เรื่องที่เหลือพวกคุณจัดการกันไปนะ”
“ค่ะบอส” เลขาสาวเดินไปส่งเธอ “ขอให้บอสมีความสุขกับแฟนนะคะ”
เท้าของอิ๋งจื่อจินหยุดชะงัก หันไปมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
เลขาสาว “?”
เธอพูดอะไรผิดเหรอ
…
ด้านล่างตึก
รถของฟู่อวิ๋นเซินจอดอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว
อิ๋งจื่อจินเปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่ง
“มาแล้วเหรอบอส” เนี่ยเฉานั่งงีบอยู่เบาะหลัง ตื่นขึ้นมาพอดี
“บอสสุดยอดไปเลย ได้เจ็ดร้อยห้าสิบคะแนน ปู่ผมชมบอสว่าฉลาดใหญ่เลย”
ฟู่อวิ๋นเซินมองทางข้างหน้า เหลือบตาขึ้น “ปากไร้ประโยชน์แล้วใช่ไหม”
เนี่ยเฉาหุบปากทันที
เขาพยายามทำตัวลีบเล็กที่สุด ไม่ทำตัวเป็นกอขอคอระหว่างคู่รัก
ฮือ คนโสดไม่มีสิทธิ์พูด
ฟู่อวิ๋นเซินขับรถไปบ้านตระกูลเนี่ย
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเบาะ รับสายวิดีโอคอล เวินเฟิงเหมียนโทรมา “พ่อคะ”
“เมื่อกี้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์พ่อ พ่อก็เลยให้สัมภาษณ์”
น้ำเสียงของเวินเฟิงเหมียนเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ
“นักข่าวยังถามอีกว่าพ่อเลี้ยงลูกกับอวี้อวี้ยังไง พ่อเลยบอกว่าพวกลูกเป็นเด็กดี ไม่ต้องดูแลอะไรมาก”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก
เธอรู้สาเหตุที่เวินเฟิงเหมียนไม่ชอบปรากฏตัวต่อหน้าคนจำนวนมาก ถ่อมตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากให้คนทางตี้ตูเจอเขา
“เยาเยา ลูกพูดถูก เรื่องบางอย่างต้องจัดการให้จบ พ่อจะหนีไปเรื่อยๆ ไม่ได้” เวินเฟิงเหมียนเงียบไปชั่วขณะ ยิ้มพลางพูดต่อ
“เดี๋ยวไว้ทำเรื่องต่างๆ ให้เสร็จก่อน พ่อจะไปตี้ตูกับลูกด้วย”
สายตาของอิ๋งจื่อจินจับจ้อง “พ่อคะ”
“ยังคงพูดเหมือนเดิม” เวินเฟิงเหมียนพูด
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อภูมิใจในตัวลูกเสมอ ลูกเป็นลูกสาวของพ่อ และจะเป็นตลอดไป”
อิ๋งจื่อจินเงียบไป ไม่ตอบ
แต่หัวใจของเธอกำลังอ่อนไหว
ไอคิวของเวินเฟิงเหมียนสูงจนน่าประหลาด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางมีลูกชายอัจฉริยะอย่างเวินทิงหลาน
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ เวินเฟิงเหมียนก็ไม่มีทางไม่สังเกตเห็น
แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ถูก
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ล้วนเป็นเธอทั้งนั้น เพียงแต่เมื่อสิบกว่าปีแรกเธอยังไม่ตื่นมาอย่างสิ้นเชิง จิตรู้สำนึกกว่าครึ่งยังคงหลับใหล และไม่มีความทรงจำ
“อวิ๋นเซินเป็นเด็กดี มีเขาดูแลลูกพ่อก็วางใจ” เวินเฟิงเหมียนไอ
“เอาล่ะ แค่นี้แล้วกัน พ่อจะรอลูกอยู่ที่บ้านนะ”
วิดีโอคอลจบลง
อิ๋งจื่อจินยังคงมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสายตาเหม่อลอย
มือของฟู่อวิ๋นเซินวางอยู่บนพวงมาลัยรถ หันหน้ามาเล็กน้อย พูดคล้ายไม่ได้ตั้งใจ น้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่ชายได้ยินคุณลุงชมพี่ชายด้วย”
อิ๋งจื่อจินดึงความคิดกลับมา เหล่มองเขา “ฟังผิดแล้ว”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “พี่ชายหูดีมาก เธอใส่หูฟังพี่ชายก็ยังได้ยิน”
อิ๋งจื่อจินหาว “แอบฟังฉันคุยโทรศัพท์ คุณไม่มีแฟนอีกต่อไป”
“…”
คำขู่นี้อานุภาพแรงกล้า
จังหวะที่ติดไฟแดง ฟู่อวิ๋นเซินก็หันมาหยิกแก้มอิ๋งจื่อจินพลางหัวเราะเบาๆ
“แฟนสาว เมื่อไรจะให้โบนัสเยอะๆ ล่ะ”
น้ำเสียงของอิ๋งจื่อจินยังคงราบเรียบ “ขอดูการทำตัวก่อน”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินเหลือบขึ้น
ตำแหน่งแฟนของเขาเหมือนยังไปไม่สุด
“เยาเยา พี่ชายซื้อตุ๊กตาหมูมาให้ตัวนึง” มือข้างหนึ่งของฟู่อวิ๋นเซินหยิบตุ๊กตาหมู
“คล้ายเบบี๋หมูของพวกเราเลยใช่ไหม”
อิ๋งจื่อจินมองหมูสีชมพูที่ถูกเขายัดมาให้กอด “…”
ตูตูโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ฟู่อวิ๋นเซินมองมันแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ใช่ไหมล่ะ หน้าเหมือนแกเลย”
ตูตูที่คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียวในโลก “…”
…
อีกด้านหนึ่ง
บ้านตระกูลหยวน
วันนี้พ่อหยวนได้หยุดช่วงบ่าย เขาแวะซื้อหนังสือพิมพ์มาฉบับหนึ่งระหว่างทางกลับบ้าน
ลูกหลานรุ่นเดียวกับหยวนจยาเฉิงไม่มีใครสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่พ่อหยวนเคยชินกับการดูคนที่ได้อันดับหนึ่งของทุกปีไปแล้ว
ปีก่อนๆ หนังสือพิมพ์ตี้ตูรายวันจะลงแค่คนที่ได้อันดับหนึ่งสองสามของตี้ตู
แต่ปีนี้มีพื้นที่ให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ
เพราะเธอคู่ควร
ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำผลงานในรอบชิงชนะเลิศไอเอสซีได้ดีเท่าเธอ
พ่อหยวนไม่ได้ดูการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศไอเอสซี รู้แค่ว่าทางยุโรปเกิดเหตุระเบิด
แต่ไหนแต่ไรมายุโรปก็ไม่ค่อยสงบอยู่แล้ว แม้เรื่องแบบนี้จะพบไม่บ่อย แต่ก็เคยได้ยินข่าวแนวเดียวกันทุกปี
พ่อหยวนจึงไม่ได้ติดตามเท่าไร
เขาถือหนังสือพิมพ์แล้วตั้งใจอ่าน
เวลาห้าโมงเมิ่งหรูก็กลับมา
วันนี้เธอออกไปช็อปปิ้งกับพวกคุณนายไฮโซของตี้ตู และก็ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้ตระกูลเนี่ยจะจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนระดับการศึกษาที่ถนนตะวันออก
ปีนี้ตระกูลเนี่ยมีเด็กรุ่นหลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ก็พอดี เธอจะใช้โอกาสนี้ไปสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลเนี่ย
เมิ่งหรูถามไปหลายรอบก็ยังไม่ได้คำตอบว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนเกิดอะไรขึ้นที่ยุโรป ครั้นแล้วเธอจึงไม่ได้ถอนหมั้น
“คุณดูสิ อันดับหนึ่งของฮู่เฉิงปีนี้แซ่เดียวกับอิ๋งเย่ว์เซวียนด้วยนะ” พ่อหยวนถือหนังสือพิมพ์
“จะเป็นญาติสายรองหรือเปล่า คะแนนเต็มเลยนะ เก่งมากจริงๆ”
พ่อหยวนไม่เคยเจออิ๋งจื่อจิน
เขารู้ว่าตระกูลอิ๋งมีลูกเลี้ยงที่ถูกไล่ออกไป เมิ่งหรูก็พูดถึงหลายครั้ง แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นอิ๋งจื่อจิน
ความจริงเรื่องคุณหนูตัวจริงตัวปลอมก็ไม่ได้ลือมาถึงตี้ตู
ส่วนแซ่อิ๋งก็พบเจอได้น้อยมาก
อิ๋งเป็นแซ่ที่เก่าแก่มาก ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน ‘แปดแซ่โบราณ’ เป็นแซ่ของผู้ครองแคว้นฉินกับแคว้นจ้าวในสมัยสงครามชุนชิว
เมื่อราชวงศ์ฉินล่มสลาย ตระกูลอิ๋งก็เสื่อมถอย
เพื่อเลี่ยงภัยร้ายต่างๆ คนในตระกูลส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนแซ่ บ้างก็เปลี่ยนเป็นแซ่จ้าว บ้างก็เป็นแซ่เสิ่น
เมิ่งหรูแอบสงสัย “แซ่เดียวกันเหรอคะ ชื่ออะไร”
คนวัยเดียวกันแถมยังแซ่เดียวกับอิ๋งเย่ว์เซวียนที่เธอเคยเจอก็มีแค่อิ๋งจื่อจินแล้ว
เมิ่งหรูถอดผ้าคลุมบ่าที่คลุมอยู่บนชุดกี่เพ้าไปแขวนไว้บนราว จากนั้นก็เดินมาดูหนังสือพิมพ์
เธอเห็นชื่อ ‘อิ๋งจื่อจิน’ ในพาดหัวข่าวตั้งแต่แวบแรก