ตอนที่ 489 ตระกูลจี้ช่วงใจกล้าบ้าบิ่น
เขาเองก็คำนวณเวลาไว้แล้ว ถึงได้ขึ้นมาที่ห้องชั้นบนเพื่อรอเวลานี้ ไม่กล้านอน
ความสนใจของนายใหญ่ตระกูลจี้ยังคงอยู่ที่งานประมูล พอได้ยินคำพูดนี้ก็แค่โบกมือ ไม่สนใจ “ไปเถอะ”
เมื่อได้รับอนุญาต จี้อี้หยวนถึงลุกขึ้น เดินไปที่ประตู
เขาเปิดประตู ยังไม่ทันได้ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจก็ถูกสามร่างถาโถมเข้าใส่
ร่างกายของจี้อี้หยวนสู้จอมยุทธได้ที่ไหน อวบอ้วนมาตลอด ถูกกดทับล้มลงไปบนพื้นแบบนี้ก็ร้องโอดครวญ
ตอนที่เห็นจี้เทียนฮ่าวกับหัวหน้าคนคุ้มกันทั้งสองอยู่ในสภาพเลือดท่วม สายตาของนายใหญ่ตระกูลจี้ก็เย็นชาลง โมโหผิดปกติ “ใครกล้าบังอาจทำกับตระกูลจี้”
หญิงสาวแหวกม่านแล้วเดินเข้าไป ตรงเอวมีกระบี่เหน็บอยู่ ไม่ต่างจากจอมยุทธโบราณ
สีหน้าของเธอเย็นชา “ตระกูลจี้ ช่างกล้าเสียจริง”
พอนายใหญ่กับนายหญิงตระกูลจี้ รวมถึงพวกคนคุ้มกันมองมา สีหน้าก็เปลี่ยนในชั่วพริบตา
เย่ว์ฝูอี!
“คุณหนูฝูอี!” นายใหญ่ตระกูลจี้ลุกพรวด ตัวสั่นเล็กน้อย ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“คุณหนูฝูอี นี่หมายความว่ายังไงครับ พะ…พวกเขาไปล่วงเกินคุณตรงไหน ผมจะขอโทษแทน”
จี้เทียนฮ่าวไม่ใช่ลูกชายของนายใหญ่ตระกูลจี้ เป็นหลานชายของเขา
ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี มีวรยุทธสิบห้าปี ถือว่าโดดเด่นในตระกูลจี้แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจี้เทียนฮ่าวจะร้องขออะไร…เขาก็จะให้
“ไม่ถึงกับล่วงเกิน” เย่ว์ฝูอีกวาดตามอง
“แต่ดึกๆ ดื่นๆ คิดจะไปลักพาตัวชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกฉันเจอเข้า”
นายใหญ่ตระกูลจี้สมองตื้อไปหมด “ลักพาตัวชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เหรอครับ คุณหนูฝูอี ตระกูลจี้จะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง”
“ยังจะกล้าปากแข็ง” เย่ว์ฝูอีพูดเสียงแข็ง “งั้นฉันตาบอดหรือไง เหตุเกิดในเขตบ้านพักของตระกูลจี้ในตี้ตู ลูกหลานตระกูลนี้ยังพูดอีกว่าจะนั่งเสวยสุขที่นั่น”
นายใหญ่ตระกูลจี้ถึงได้เอะใจ เขาพูด “คุณหนูฝูอีหมายถึงสายตระกูลที่แยกออกไปของพวกเราเหรอครับ นั่นมันคนในครอบครัว จะเรียกลักพาตัวได้ยังไง อีกทั้ง…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกเย่ว์ฝูอีบีบคอ
พวกคนคุ้มกันไม่กล้าเข้าไป
เดิมทีพวกเขาก็วรยุทธด้อยกว่าเย่ว์ฝูอี
สไตล์การพูดคุยแบบยุคโบราณแบบนี้ จี้อี้หยวนฟังแล้วมึน
เขาหมอบอยู่บนพื้น ที่มากกว่าคือความหวาดกลัว
ด้วยสถานะของจี้อี้หยวน เขาย่อมไม่คู่ควรที่จะได้รู้การแบ่งอิทธิพลในโลกจอมยุทธ
เขาไม่เคยได้ยินชื่อเย่ว์ฝูอี
แต่ดูจากท่าทางของนายใหญ่ตระกูลจี้ ต่อให้จี้อี้หยวนโง่กว่านี้ก็รู้ได้ว่าซวยแล้ว
นายใหญ่ตระกูลจี้นึกไม่ถึงว่าจี้เทียนฮ่าวแค่ไปฉุดผู้หญิงตามปกติ แถมยังเป็นคนในครอบครัวตัวเอง จะบังเอิญเจอเย่ว์ฝูอีได้
ใครไม่รู้บ้างว่าเย่ว์ฝูอีเกลียดเรื่องแบบนี้เข้าไส้
ขนาดพวกหื่นกามในตระกูลหลิน เย่ว์ฝูอียังกล้ากำจัด แล้วนับประสาอะไรกับตระกูลจี้
ทำไมบังเอิญได้ขนาดนี้
นายใหญ่ตระกูลจี้เหงื่อแตก “เข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้วจริงๆ ครับคุณหนูฝูอี เทียนฮ่าวก็แค่ปากดีไปแบบนั้น คนที่เขาไปหาเป็นคนในตระกูลจี้ ไม่มีการลักพาตัวอย่างที่บอกแน่นอนครับ”
“ลูกหลานกล้าทำตัวเหิมเกริมแบบนี้เพราะผู้ใหญ่ให้ท้าย” มือข้างหนึ่งของเย่ว์ฝูอียกตัวนายใหญ่ตระกูลจี้ขึ้น “ฉันจัดการนายใหญ่อย่างคุณ ผู้นำตระกูลกับพวกผู้อาวุโสของพวกคุณก็ไม่มีทางเอาเรื่องฉัน”
ต่อให้เป็นตระกูลหลิน ตำแหน่งนายใหญ่ก็เปลี่ยนได้เรื่อยๆ ขอแค่มีตัวเลือก
ความสามารถที่แท้จริงของตระกูลหนึ่งวัดจากพวกผู้นำตระกูลที่อยู่เบื้องหลัง
อายุขัยโดยเฉลี่ยของจอมยุทธคือสามร้อยปี วรยุทธของพวกเขาแต่ละคนล้วนเกินหนึ่งร้อยปีขึ้นไป
ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของตระกูล พวกผู้นำตระกูลก็ไม่มีทางออกมา
ถึงแม้ตระกูลจี้จะเป็นแค่ตระกูลขนาดกลาง แต่ก็เก่งกว่าตระกูลที่เคยจัดการเก็บมา ความสามารถของผู้นำตระกูลก็สูงกว่า
เย่ว์ฝูอีฝีมืออันดับหนึ่งในคนรุ่นเดียวกัน แต่ถ้ามองภาพรวมทั้งโลกจอมยุทธก็ยังห่างชั้นอีกไกล
เวลาไม่ได้แสดงถึงทุกสิ่ง แต่ก็เป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง
นายใหญ่ตระกูลจี้ยังไม่ทันได้พูดก็ถูกเย่ว์ฝูอีโยนลงจากชั้นสอง
อยู่ๆ ก็มีของตกจากที่สูง ทำให้แขกที่อยู่ชั้นหนึ่งพากันตกใจ พิธีกรก็ตะลึง
อิ๋งจื่อจินกับหลิงเหมียนซีเพิ่งกลับมาก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้พอดี
หลิงเหมียนซี “ว้าว”
อิ๋งจื่อจินก้มหน้ามองนายใหญ่ตระกูลจี้ที่หล่นมาตรงหน้าเวทีประมูล แขนขาบิดเบี้ยว สีหน้าเจ็บปวด
เธอเลิกคิ้ว “วิชามือแยกเอ็นแบ่งกระดูกเหรอ”
มือแยกเอ็นแบ่งกระดูกเดิมทีเป็นวิชาที่มีมาแต่โบราณ ในวิชาป้องกันตัวของยุคปัจจุบันก็มี
นี่เป็นวิทยายุทธขั้นพื้นฐานที่สุดของจอมยุทธ ก็แค่หลังจากใช้กำลังภายในด้วยจะยิ่งทำให้เจ็บหนัก
นายใหญ่ตระกูลจี้อายุเกินครึ่งร้อย แม้จะถือว่ายังหนุ่มสำหรับจอมยุทธ
แต่เย่ว์ฝูอีลงมือโหด นายใหญ่ตระกูลจี้ก็ถือว่าหมดทางเยียวยาแล้ว
หลิงเหมียนซีก็ไม่สนความเป็นความตายของนายใหญ่ตระกูลจี้ เธอสงสัย หันไปถาม
“อิ๋งอิ๋งทำไมเธอแปลงโฉมล่ะ แถมยังเป็นผู้ชายด้วยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินตอบ “ยุ่งยาก”
เธอไม่ได้กังวลเรื่องตัวเอง แต่กังวลถึงคนรอบข้าง
แปลงโฉมก็จะลงมือสะดวกหน่อยในโลกจอมยุทธ
หลิงเหมียนซีมีสีหน้าหนักใจ “ยุ่งยากจริงแหละ”
ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่เธอไม่มีทางไปต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับใคร ก็เพราะในโลกจอมยุทธตระกูลหลิงไม่ได้เก่งเท่าตระกูลหลิน เซี่ย และเย่ว์
ถ้าไปเจอสามตระกูลนี้ ตระกูลหลิงก็ปกป้องเธอไม่ได้ เธอก็เลยเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่หาความยุ่งยากมาให้ตระกูลหลิง
อย่างคนพวกรุ่นผู้นำตระกูลของตระกูลเซี่ยสามารถลงมือกำจัดอัจฉริยะของบางตระกูลได้
พอฆ่าทิ้ง ตระกูลพวกนั้นก็เอาเรื่องไม่ได้ เพราะสู้ตระกูลเซี่ยไม่ไหว
นี่เป็นเรื่องที่จนปัญญา เดิมทีโลกจอมยุทธก็สำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด
เกิดความเงียบขึ้นภายในงานประมูล
“รบกวนทุกท่านแล้ว” เท้าของเย่ว์ฝูอีกระโดดจากชั้นสองลงมาแตะพื้นชั้นหนึ่ง
“เชิญทุกท่านประมูลต่อได้”
พูดจบเธอก็กอดกระบี่ออกจากภัตตาคาร
บรรดาแขกเหรื่อใช้เวลาถึงห้านาทีเต็มๆ กว่าจะดึงสติกลับมาได้ เริ่มตื่นเต้น
“คุณหนูฝูอี!”
“คุณหนูฝูอี เทพธิดาของฉัน”
“เทพธิดาของนายไม่ใช่คุณชิงจยาเหรอ เปลี่ยนแล้วเหรอ”
“ไม่ๆ คุณชิงจยาก็ยังเก่งที่สุดเหมือนเดิม”
เสียงดังขนาดนี้ พวกตระกูลที่อยู่ชั้นบนย่อมได้ยิน
“เย่ว์ฝูอีมาร่วมงานประมูลด้วยเหรอ” ผู้อาวุโสสามอึ้ง สีหน้าระแวง
สถานะของเย่ว์ฝูอีในตระกูลเย่ว์ก็เหมือนกับหลินชิงจยาในตระกูลหลิน
พรสวรรค์ของเธอสูงเกินไป คนที่อยากฆ่าเธอมีเยอะมาก
หลินชิงจยาที่อยู่ข้างๆ ได้ยางอกกระดูกมากำลังศึกษา
ยางอกกระดูกเม็ดนี้เป็นของเมื่อร้อยกว่าปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด แข็งเหมือนหิน อยากแยกองค์ประกอบออกมาวิเคราะห์ไม่ใช่เรื่องง่าย
หลินชิงจยาหมุนยางอกกระดูกในมือ สักพักสายตาของเธอก็เหม่อลอย
ผู้อาวุโสสามสังเกตเห็นแล้ว ขมวดคิ้ว ถามด้วยความเป็นห่วง
“ชิงจยา วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมชอบนั่งเหม่อ”
“อ๋อ…เปล่าค่ะ” หลินชิงจยาละสายตากลับมา ยิ้มพลางพูด “ขอโทษค่ะ ช่วงนี้เหนื่อยไปหน่อย ขออภัยผู้อาวุโสสามค่ะ”
“เหนื่อยก็พักผ่อนมากๆ” ผู้อาวุโสสามพยักหน้า พูดปลอบ “ช่วงนี้เธอไปสอนปรุงยาที่โลกแพทย์แผนโบราณบ่อยๆ ก็น่าเหนื่อยอยู่”
หลิงชิงจยาเป็นที่ชื่นชอบของคนหลายวัย เพราะเธอจิตใจดี ไม่มีมาด
เธอเป็นหมอ แต่ไม่เคยเรียกร้องอะไร
ใครก็ตามที่มาขอให้เธอรักษา ถ้าเธอมีเวลาก็จะรักษาให้ และก็เพราะหลินชิงจยาเคยช่วยคนไว้ไม่น้อย ตระกูลหลินก็เลยมีแขกเก่งๆ แวะเวียนมาหาหลายคน จึงข่มตระกูลเซี่ยกับตระกูลเย่ว์ได้ชั่วคราว
หลังๆ ไม่มีของประมูลที่เธออยากได้แล้ว หลินชิงจยายืนขึ้น กำมือคารวะ “งั้นหนูขอตัวไปก่อนนะคะ”
ผู้อาวุโสสามพยักหน้า “เธอดูท่าทางไม่ค่อยดี ให้คนคุ้มกันไปส่งนะ”
หลินชิงจยาพยักหน้า เก็บยางอกกระดูกแล้วเดินออกจากห้อง
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวสายตาของเธอก็ชะงัก หยุดไปหลายวินาที
คนคุ้มกันสงสัย “คุณชิงจยา?”
“มองผิด” หลินชิงจยาละสายตา “ไปเถอะ”
…
ห้องเปลวเทียนโชติช่วง
ฟู่อวิ๋นเซินมารับอิ๋งจื่อจินเข้าไป
“โลกจอมยุทธอากาศค่อนข้างเย็น” เขาหยิบเสื้อคลุม “ระวังไม่สบาย”
อิ๋งจื่อจินปล่อยให้เขาคลุมเสื้อ พูดอย่างเนือย “คำพูดนี้ คุณพูดออกมาเชื่อหรือเปล่า”
ถ้าอุณหภูมิแค่นี้ส่งผลต่อจอมยุทธ์ได้ก็ไม่ต้องฝึกวรยุทธแล้ว
“ชินแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินลูบหัวเธอ ยิ้มพลางพูด “ไม่ว่าเธอจะเก่งแค่ไหน พี่ชายก็ยังคงเอาใจใส่เธอ ใช่ไหมเด็กน้อย”
อิ๋งจื่อจินคิด ทันใดนั้นก็ถามขึ้น “วรยุทธของคุณมีเท่าไร”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “ไม่ได้ทดสอบนานแล้ว ต่ำๆ ก็ร้อยปี”
อิ๋งจื่อจินพิงเก้าอี้ ไม่พูดอะไร
ตอนนี้วรยุทธของเธอต่ำเกินไป สู้เมื่อก่อนไม่ได้
แต่ฟื้นกลับมาได้เท่านี้ในเวลาปีครึ่งก็เร็วมากแล้ว
ฟู่อวิ๋นเซินหันมา เลิกคิ้วขึ้น “เยาเยา สายตาแบบนี้มันยังไง พี่ชายยั่วโมโหแล้วเหรอ”
“ฉันเกลียดคนรวย”
“…”
ได้
อวิ๋นซานพยายามเอามือป้องปากตัวเอง กระซิบถามอวิ๋นอู้
“น้องสาม สอนหน่อยสิ กลั้นหัวเราะได้ยังไง”
เขาเกร็งจนปวดท้องหมดแล้ว
อวิ๋นอู้ตอบหน้าตาย “พี่รอง พี่ให้คุณอิ๋งช่วยตัดเส้นประสาทที่หน้าได้นะ แค่นี้ก็ไม่รู้สึกแล้ว”
อวิ๋นซาน “…”
โหดร้ายเกินไปแล้ว คิดเสียว่าเขาไม่ได้ถามแล้วกัน
ฟู่อวิ๋นเซินแค่ยิ้ม “ยังอยากดูต่อไหม”
อิ๋งจื่อจินส่ายหน้า “ไม่ดูแล้ว ไม่น่าสนใจ”
“อืม งั้นก็ไปเถอะ” ฟู่อวิ๋นเซินเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังออกจากห้องก็ถอดหน้ากาก กลับมาเป็นคุณชายเสเพลเหมือนเดิม
ลักษณะท่าทางดูไม่มีพิษภัย ทำอะไรคนอื่นไม่ได้
ทั้งสองคนลงไปชั้นล่าง
อวิ๋นซานกับอวิ๋นอู้รู้งาน ไม่ได้ตามไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังมาจากชั้นหนึ่ง
มีคนตะโกนด้วยความตกใจ “คุณชิงจยา!”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า ดวงตาหงส์หรี่ลง มองไปทางนั้น
สบตากับหลินชิงจยา