บทที่ 211 เดินหน้าเต็มกำลัง ลงมือทำให้เต็มที่!
การผ่าตัดเสร็จสิ้น!
ผู้ป่วยถูกเข็นออกไปจากห้องผ่าตัด จางจิ้นเฟิงถอนหายออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจในสุด ส่วนจางเยียนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก็รู้สึกว่าจิตใจที่ร้อนรนได้สงบลงอย่างแท้จริง!
ในที่สุดก็ผ่าตัดสำเร็จแล้ว เธอแจ้งข่าวที่น่าพึงพอใจให้กับครอบครัวผู้ป่วยได้แล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จางเยียนก็มองเฉินชางด้วยสีหน้าใคร่รู้ เธอไม่เคยเห็นเฉินชางมาก่อน แต่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เพราะเฉินชางโดนซ่งเฉียงฝ่ายกิจการแพทย์แจ้งจดหมายตักเตือนสองฉบับอย่างโจ้งแจ้งในกลุ่มวีแชทในครั้งนั้น
ดูเหมือนว่าเฉินชางจะแตกต่างจากภาพที่คิดไว้ในหัวค่อนข้างมากทีเดียว!
เดิมทีจางเยียนคิดว่าที่ซ่งเฉียงเป็นฝ่ายยื่นเรื่องลาออกเองเพราะเจอกับคนมีอำนาจเข้า มาในวันนี้ได้เห็นเฉินชางที่มีบุคลิกลักษะท่าทางเช่นนี้ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เหมือนความลับที่คนในแผนกเล่าต่อๆ กันมา ที่บอกว่าเฉินชางมีคนมีอำนาจหนุนหลัง
จางเยียนกลับรู้สึกว่าเฉินชางเป็นคนดีมากเลยทีเดียว…
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บวกกับฝีมือการผ่าตัดของเฉินชางในครั้งนี้แล้ว จางเยียนอดรู้สึกให้เกียรติเป็นพิเศษไม่ได้
จางจิ้นเฟิง หญิงสูงวัยรูปร่างอ้วนท้วนอายุใกล้จะหกสิบแล้ว เดินตรงเข้ามาหาเฉินชางช้าๆ ด้วยสีหน้าปีติยินดี เธอพินิจนิจพิเคราะห์เฉินชาง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส “หมอเฉิน ลำบากคุณแล้ว! รบกวนคุณแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเข้ามาช่วย จะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายกับแผนกสูตินรีเวชของเราแน่”
เฉินชางหัวเราะ “หัวหน้าจางเกรงใจกันเกินไปแล้วครับ แต่ละแผนกต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งและกันเป็นปกติอยู่แล้วครับ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมควรทำเท่านั้นเอง…”
เมื่อจางจิ้นเฟิงเห็นว่าเฉินชางดูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเปิดเผยจริงใจ เธอก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความชอบใจอย่างกลั้นไม่อยู่
สายตาที่มองเฉินชางเปี่ยมไปด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ เกิดความรู้สึกดีต่อเฉินชางขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้
[ติ๊ง! ค่าความรู้สึกดีของจางจิ้นเฟิง +10]
จางจิ้นเฟิงหันไปหาเว่ยจื้อ เธอยื่นมือออกไป “หัวหน้าเว่ย อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ขอบคุณมากจริงๆ”
เว่ยจื้อส่ายหน้า หลังจากที่ถอดหน้ากาอนามัยออกแล้ว เขาก็ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “พูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลกันเลยนะครับเนี่ย นี่เป็นเรื่องช่วยชีวิตคน จะบ่นเหนื่อยได้ไงกันครับ นี่เป็นงานของพวกเรา!…”
“…และจะว่าไปแล้วถ้าวันนี้ผมไม่มา ผมก็คงไม่ได้เห็นเคสผ่าตัดที่ยอดเยี่ยมแบบนี้”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เว่ยจื้อก็หันไปพินิจพิเคราะห์เฉินชาง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สติปัญญาเฉียบแหลม ลักษณะดูเป็นคนเปิดเผยจริงใจ จากนั้นเขาก็อดกล่าวออกมาจากใจไม่ได้ว่า “เด็กรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำมีความสามารถโดดเด่น คนรุ่นใหม่เก่งกว่าคนรุ่นเก่า!…
…พ่อหนุ่ม คุณเก่งมาก การผ่าตัดเคสนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมมาก วันข้างหน้าเราคงต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ผมชื่อเว่ยจื้อ หัวหน้าแผนกศัลยกรรมทรวงอกโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลครับ”
เว่ยจื้อยื่นมือไปหาเฉินชาง เมื่อเฉินชางเห็นเช่นนั้น เขาก็รีบจับมือตามมารยาททันที
“สวัสดีครับหัวหน้าเว่ย ผมชื่อเฉินชาง คุณเป็นบุคคลมีชื่อเสียงที่น่ายกย่อง ในงานประชุมศัลยแพทย์ประจำปี ผมจะเห็นคุณบนเวทีทุกครั้ง ดีใจมากที่ได้รู้จักครับ”
เฉินชางกล่าวตามความรู้สึกจริง
การที่เว่ยจื้อกล่าวชมเฉินชางเช่นนี้ ไม่ได้แสดงว่าระดับความสามารถของเขาธรรมดา ปัจจุบันการปลูกถ่ายหัวใจและปอดในมณฑลตงหยางต้องดำเนินการผ่าตัดปลูกถ่ายที่แผนกศัลยกรรมทรวงอกโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล
“ถ้ามีเวลาก็มาที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลนะครับ วัยหนุ่มต้องรู้จักพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดให้มาก ต่อไปต้องการอะไร ติดต่อผมได้เลยนะพ่อหนุ่ม ผมเชื่อมั่นในตัวคุณ!”
เฉินชางพยักหน้า จากนั้นเฉินชางก็เป็นฝ่ายให้ช่องทางติดต่อกับเว่ยจื้อก่อนเลย
เฉินชางไม่เคยรังเกียจที่จะได้รู้จักกับเพื่อนหรือผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอีกคน บุคคลเหล่านี้จะช่วยคุณได้มากในอนาคตข้างหน้า
เว่ยจื้อไม่ได้อยู่ต่อนานนัก หลังจากที่พูดคุยทักทายกับหลี่เป่าซานพอหอมปากหอมคอแล้วก็รีบกลับทันที
พวกเขามีตารางงานที่แน่นมาก เพราะโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำของมณฑลตงหยาง ดังนั้นหน้าที่รับชอบที่ต้องแบกรับจึงสูงมาก อีกทั้งหัวหน้าแต่ละแผนกมีหน้าที่ดูความเรียบร้อยของแผนก และรักษาชีวิตของคนไข้ทุกคนที่เข้ามารับการรักษาในแผนกให้ดี
เหมือนนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาที่ต้องปกป้องครอบครัว ปกป้องประเทศ ความรับผิดชอบที่สำคัญและใหญ่ยิ่ง!
ถ้ากล่าวว่าหัวหน้าเหล่านี้ล้วนเป็นนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาที่กำลังต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ เฉินชางก็เป็นนายทหารบุกตะลุยโจมตีข้าศึกที่ได้แสดงฝีมือที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นภายในอาณาจักรแห่งนี้
หลังจากที่มีผู้คนจำนวนมากเล่าขานถึงฝีมือรบอันล้ำเลิศนี้ออกไป ก็ทำให้เขาเริ่มกลายเป็นที่รู้จัก
จางจิ้นเฟิงมองเฉินชางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนตาหยี ยิ่งมองก็ยิ่งชอบจนอดถามไม่ได้ว่า “เสี่ยวเฉิน คุณมีคู่หรือยัง”
เฉินชางยังไม่ทันตอบ หลี่เป่าซานก็ตอบคำถามนี้แทนเฉินชางเลย
“แหม…เสี่ยวเฉินทุ่มเทกับหน้าที่การงานมาก ภาระหน้าที่ล้นมือจนไม่มีเวลาหาแฟนแล้ว เอ่อ เรื่องนี้…หัวหน้าจางครับ แผนกสูตินรีเวชมีแต่ผู้หญิง คุณต้องหาหญิงสาวดีๆ ให้เสี่ยวเฉินสักคนนะครับ!”
จางจิ้นเฟิงหัวเราะออกมาทันที “แผนกสูตินรีเวชมีผู้หญิงเยอะก็จริง หมอผู้หญิงเยอะ ผู้ป่วยผู้หญิงเยอะยิ่งกว่า แต่เวลามาที่แผนกสูตินรีเวชก็มาหาหมอรักษาอาการเจ็บป่วยกันทั้งนั้น คุณคิดให้ถี่ถ้วนสิ ถ้าไม่ได้มาหาหมอเพราะอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ก็มาเพราะภาวะมีบุตรยาก คุณว่าผู้หญิงสองกลุ่มนี้ ฉันจะแนะนำกลุ่มไหนให้เสี่ยวเฉินได้?…”
…จะว่าไปแล้วหมอผู้หญิงแผนกสูตนรีเวชของเรา…เป็นผู้หญิงถึกทั้งนั้น แต่ละคนทำงานเหนื่อยกว่าแผนกฉุกเฉินของพวกคุณมาก! ถ้าเสี่ยวเฉินคบหากับคนในแผนกสูตินรีของเรา ทั้งคู่ก็คงได้เจอหน้ากันแค่ในห้องผ่าตัด กลับบ้านก็ไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันแล้ว!”
จางจิ้นเฟิงเป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมอายุใกล้จะหกสิบ เธอดูอ่อนโยนอัธยาศัยดี เวลาที่หัวเราะให้รู้สึกเหมือคุณป้าข้างบ้าน เวลาพุดคุยก็มีอารมณ์ขันมากทีเดียว
“ถ้าฉันแนะนำหมอในแผนกสูตินรีเวชให้เสี่ยวเฉิน อีกหน่อยคนอื่นก็จะหาว่าฉันใจร้าย!”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้เข้า ทุกคนต่างก็ส่งเสียงหัวเราะฮาออกมาทันใด ใครจะไปรู้ว่าหญิงสูงวัยร่างท้วมตรงหน้าคนนี้จะเป็นหนึ่งในหมอสองท่านของโรงพยาบาลอันดับสองที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ
จางจิ้นเฟิงหันตัวกลับมาพร้อมพูดขึ้นกะทันหันว่า “แต่ฉันมีหลานสาวคนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่ศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ งานไม่เหนื่อย เวลางานก็ว่างๆ สบายๆ หน้าตาใช้ได้ อยากนัดเจอกันสักหน่อยมั้ยล่ะ”
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน เขาไม่มีกระจิตกระใจจะคิดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ ทั้งยังไม่มีเวลาให้กับเรื่องนี้ด้วย
หลังจากที่เสร็จงานในวันนี้แล้ว ยังต้องไปรับน้องชายที่กำลังจะเปิดเทอม แล้วพรุ่งนี้ก็เตรียมตัวไปร่วมพิธีเปิดภาคเรียน เขาจะมีเวลามากพอจะคบหาใครที่ไหนกัน
จะว่าไปแล้ว ตอนนี้เขาต้องแบ่งเวลาสำหรับคิดกลยุทธ์พิชิตค่าความรู้สึกดีจากดอกเตอร์เมิ่งก่อน เพราะเธอเป็นคลังทักษะของตน ถ้าตนคิดอยากจะเรียนรู้ทักษะต่างๆ ให้มากขึ้นก็ต้องทำให้ค่าความรู้สึกดีของเธอสูงขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้าหาก…
ถ้าหากตนมีแฟน แล้วอาจารย์เมิ่งเกิดหึงหวงขึ้นมาจะทำไง
ค่าความรู้สึกดีไม่ได้ได้มาง่ายๆ เฉินชางยังคงตัดสินใจที่จะทะนุถนอมสิ่งนี้ไว้ให้ดีๆ
เฉินชางหัวเราะพร้อมกับหาเหตุผลหนึ่งข้อมาปฏิเสธจางจิ้นเฟิง
ซึ่งทำให้คนอื่นต่างก็หัวเราะออกมา
…
…
หลังจากที่ออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว เฉินชางกับหลี่เป่าซานก็เดินไปด้วยกัน
หลี่เป่าซานดูเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน ช่วงสองสามวันนี้คุณยุ่งหรือเปล่าครับ”
เฉินชางชะงักงัน “มีอะไรหรือครับหัวหน้า”
หลี่เป่าซานซานหัวเราะ “ไม่มีอะไรหรอกครับ นี่ใกล้จะถึงช่วงรับสมัครบุคลากรที่จัดขึ้นโดยหน่วยงานของมณฑลอีกแล้วไม่ใช่หรือครับ ในปีหน้าแผนกฉุกเฉินของเราจะต้องเติบโตมากยิ่งขึ้น กำลังคนจะต้องไม่พอแน่ แต่ปีนี้ผมตำแหน่งที่ผมประกาศรับไปคือ แพทย์วุฒิปริญญาเอกหนึ่งคนกับรองหัวหน้าอีกหนึ่งคน ดังนั้นในปีนี้คงยื่นคำร้องรับสมัครตำแหน่งอื่นเพิ่มไม่ทันแน่…
…แต่ยังไงเราก็จำเป็นต้องรับสมัครบุคลากรเพิ่มอีกหนึ่งล็อต ตอนนี้นักศึกษาระดับปริญญาตรีจำเป็นต้องเข้ามาฝึกอบรมที่โรงพยาบาล คนที่ยอมเป็นพนักงานชั่วคราวมีไม่มาก ดังนั้นผมก็เลยขอโควตาพนักงานสัญญาจ้างเพิ่มอีกสามคน…
…เราจะดำเนินการเรื่องรับสมัครบุคลากรหนึ่งล็อตก่อนถึงช่วงรับสมัครบุคลากรที่จัดขึ้นโดยหน่วยงานของมณฑล ผมเสนอแจ้งเรื่องนี้กับทางโรงพยาบาลแล้ว คาดว่าน่าจะตั้งโต๊ะรับสมัครบุคลากรในวันเสาร์นี้ จัดแค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าคุณมีเวลาก็แบ่งเวลาสักครึ่งวันมาดูว่ามีใครที่ดูเหมาะสมบ้าง เพราะถึงยังไง บุคลากรล็อตนี้ที่รับเข้ามาอาจต้องเป็นผู้ช่วยคุณ คุณต้องพยายามหาคนที่เข้าตาคุณ…”
หลี่เป่าซานนิ่งขรึมอยู่สามวินาที แล้วกล่าวต่อว่า “เดิมทีผมยังคิดจะให้คุณติดตามเหล่าเฉินต่อ แล้วเรื่องผู้ช่วยค่อยว่ากันอีกที แต่ผมพิจารณาดูแล้วว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้…”
“…เราจำเป็นต้องปรับโครงสร้างแผนกสักหน่อย ดูจากปัจจุบัน แผนปรับโครงสร้างแผนกหลักๆ ของผมมีสามด้าน ด้านหนึ่งคือด้านศัลยกรรมทั่วไป ให้ปิ่งเซิงเป็นผู้รับผิดชอบ อีกด้านคือด้านศัลยกรรมมือ ให้อันเยี่ยนจวินเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนอีกหนึ่งด้านคือด้านศัลยกรรมทรวงอก ตอนนี้เรารอรองหัวหน้าแพทย์ที่เราเปิดรับสมัครมาก่อน เขาจะเป็นรับผิดชอบในด้านศัลยกรรมทรวงอก
…ด้วยวิธีเช่นนี้ คนที่จะเป็นแกนหลักของแผนกเราก็จะมีหัวหน้าอัน เฉินปิ่งเซิง หวังเชียน คุณ ฉินเยว่ หวังหย่ง แล้วก็รองหัวหน้าแพทย์แพทย์วุฒิปริญญาเอกที่เพิ่งมาใหม่ แต่ก็ยังขาดบุคลากรสำรองอีกจำนวนหนึ่ง…
…แรกเริ่มเดิมทีผมมองว่าถึงยังไงวุฒิของคุณก็คือวุฒิปริญญาตรี ค่อนข้างจะห่างชั้นจากหวังเชียนกับฉินเยว่อยู่สักหน่อย แต่ดูตอนนี้แล้ว คุณเหนือชั้นกว่าสองคนนั้นมาก”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลี่เป่าซานก็มองเฉินชาง เขาหัวเราะออกมาพร้อมเอ่ยว่า “บอกตามตรงนะเสี่ยวเฉิน ผมประเมินค่าคุณต่ำไป จริงๆ นะครับ คุณเป็นคนที่ศักยภาพในการเรียนรู้สูงมาก มีอนาคตไกล…”
“…ถึงขั้นที่ในตอนนี้ ผมรู้สึกว่าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองคงรั้งคุณไว้ไม่ได้”
เมื่อเฉินชางได้ฟังเช่นนี้ เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หลี่เป่าซานมองเฉินชาง เขาพูดระหว่างที่เดินไปด้วย “แน่นอนว่าผมก็ไม่ได้คิดจะรั้งคุณเอาไว้ คุณควรจะได้ออกไปหาความก้าวหน้า การพัฒนาด้านการแพทย์ของมณฑลตงหยางของเราค่อนข้างล้าหลังมาแต่ไหนแต่ไร เคสผ่าตัดใหญ่หลายเคสที่ดำเนินการที่โรงพยาบาลของเราไม่ได้…”
“…ตอนที่ผมเห็นฝีมือผ่าตัดของคุณ ผมคิดว่าถ้าผมอายุเท่าคุณ มีพรสวรรค์อย่างคุณ ผมจะไม่อยู่อยู่โรงพยาบาลเล็กๆ แบบนี้แน่นอน”
เฉินชางพยักหน้ารับฟัง เขาเดินตามหลังหลี่เป่าซานไป แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร พูดพูดโต้แย้งกันไปมาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก
หลี่เป่าซานหยุดเดินกะทันหัน แล้วหันมามองเฉินชาง “ฉะนั้น! ผมคิดๆ ดูแล้ว ผมจะเปิดโอกาสให้คุณได้แสดงความสามารถ!…”
“…โรงพยาบาลอันดับสองของเราเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กจริงๆ การพัฒนาก็ค่อนข้างช้า แต่สิ่งที่แผนกฉุกเฉินของเราได้เหนือกว่าโรงพยาบาลอื่น คือเราเปิดโอกาสให้คุณแสดงความสามารถ ดังนั้นวันข้างหน้าขอแค่คุณมีไอเดียอะไรอยู่ในใจ ขอให้กล้าที่จะลงมือทำ ผมจะไม่ให้คุณเป็นผู้ช่วยพวกนั้นแล้ว รอรับพนักงานสัญญาจ้างเข้ามาแล้ว ผมจะให้คุณเลือกมาเป็นผู้ช่วยสักสองสามคน…”
คำพูดของหลี่ป่าซานทำเอาเฉินชางถึงกับมึนงงไปหมด
“หัวหน้าครับ คุณหมายความว่า?”
หลี่เป่าซานหัวเราะเฮฮาออกมา “ความหมายของผมคือ เดินหน้าเต็มกำลัง ลงมือทำให้เต็มที่ เกิดอะไรขึ้น ผมรับผิดชอบเอง”