เฟิงอวิ๋นเซิงไม่แน่ใจว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทราบร่องรอยของพวกตนสามคนได้อย่างไร
แต่ว่านางลองนึกย้อนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดแล้ว มั่นใจว่ามิใช่ความสะเพร่าของนาง
ก่อนหน้านี้ นางไม่อยากสงสัยอิ่นหลิวหัว
แต่ว่าเมื่อมองเห็นพิธีกรรมโลหิตจิตหวนเวลาแล้ว เฟิงอวิ๋นเซิงก็เกิดความคิดเช่นนี้อย่างช่วยไม่ได้
นางไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร ฉางเจิ้นให้นางพูดถึงหลักฐานว่าผู้อื่นเป็นคนเปิดเผยร่องรอย แต่นางไม่มีอยู่ในมือ
เฟิงอวิ๋นเซิงบอกให้ตัวเองใจเย็น
นางกวาดมองอิ่นหลิวหัวและหงเจียฉี พูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “พิธีโลหิตจิตหวนเวลาสามารถสร้างเรื่องเท็จได้เช่นกัน ข้าขอเชิญให้สำนักตรวจสอบศิษย์น้องอิ่นและท่านหงผู้นี้”
ฉางเจิ้นมีสีหน้าเป็นปกติ จิตใจนิ่งสงบ “นี่ย่อมแน่นอน”
เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ย “พูดอีกอย่าง ถ้าพิธีโลหิตจิตหวนเวลาไม่มีปัญหา ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นอาจเป็นเพราะท่านอาจารย์ถูกคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทำให้เข้าใจผิด จึงเข้าใจข้าผิด”
ฉางเจิ้นเอ่ย “ความเป็นไปได้นี้ก็ถูกต้อง แต่เจ้าพูดแบบนี้ก็มีข้อสงสัยว่าเป็นการเล่นสำนวน”
“เนื่องจากนี้เป็นการสรุปเพียงฝ่ายเดียว ไม่อาจเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเจ้าบริสุทธิ์ได้
“ศิษย์หลานอิ่นกับท่านหง ต่อจากนี้สำนักเราจะตรวจสอบอีกรอบ” ฉานเจิ้นหันไปมองหงเจียฉีและอิ่นหลิวหัว ทั้งสองพยักหน้าเข้าใจ
หงเจียฉีกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “การลงโทษสำหรับการใส่ร้าย ไม่ว่าไปที่ไหนล้วนเหมือนกัน ข้าในเมื่อกล้ามาเขากว่างเฉิงแสดงความจริงใจ ย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว”
ฉางเจิ้นพยักหน้า หันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิงอีกครั้ง “เช่นนั้น ศิษย์หลานเฟิงเจ้ามีหลักฐานอะไรยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองหรือไม่”
“ถึงอย่างไรตามคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้า ตอนที่เรื่องราวในภาพนั้นเกิดขึ้น เจ้ามิได้อยู่ด้วย”
เฟิงอวิ๋นเซิงสูดลมหายใจลึก กล่าวเสียงทุ้ม “ถูกต้อง ข้าสงสัยความจริงของพิธีโลหิตจิตหวนเวลา แต่ตัวข้าไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นเรื่องเท็จ เพราะตอนนั้นข้ามิได้อยู่ด้วย ข้าพลัดหลงกับอาจารย์และศิษย์น้องอิ่น แม้แต่เรื่องที่ท่านอาจารย์ได้เจอ ข้าก็ได้ยินมาจากคนอื่นบอกเล่าถึงได้รู้”
“แต่ข้าได้ตัดขาดจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว ยิ่งไม่อาจสังหารอาจารย์ตัวเอง” เฟิงอวิ๋นเซิงพูดด้วยความแน่วแน่ “หลายปีมานี้ศิษย์เข้าร่วมสำนัก ไม่กล้าบอกว่าเคยทำประโยชน์ให้ แต่ว่าไม่มีทางประสงค์ร้ายต่อท่านอาจารย์ที่มอบชีวิตให้ข้าอีกครั้งแน่นอน”
เฟิงอวิ๋นเซงเงยหน้าสบตากับทุกคนตรงๆ “หากบอกว่าข้าเป็นสายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ยังมีแค่ภาพเหตุการณ์ที่แยกแยะไม่ได้ว่าจริงหรือปลอม ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ ก็อาจจะยังมีหลักฐานอื่นก็ได้”
“ถ้าหากข้าแอบติดต่อกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ คิดติดต่อกับพวกเขา จะต้องมีช่องทางการติดต่อหรือวิธีการกระมัง?”
“หากบอกข้าว่าเผยร่องรอยให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รู้ ดึงดูดคนให้มาสังหารท่านอาจารย์ แล้วข้าทำอย่างไรเล่า?”
ฉางเจิ้นมองเฟิงอวิ๋นเซิง กล่าวอย่างใจเย็น “อีกเดี๋ยวข้าจะตรวสอบสิ่งของและที่อยู่ของศิษย์หลานเฟิง เจ้ายินยอมหรือไม่”
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า “ท่านทำได้ทุกเวลา”
ผู้อาวุโสฉินนั่งนิ่ง เนิ่นนานให้หลังจึงส่งกระแสเสียงให้ฉางเจิ้นและจางคุน ‘ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยอมส่งมาเป็นสายลับหรือ’
ฉางเจิ้นกล่วว่า ‘ตอนแรกนางสูญเสียร่างแห่งจันทราไป ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์โดดเด่น แต่ใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้ ที่นางฟื้นฟูร่างแห่งจันทราที่สำนักของเราได้ เชื่อว่าเหนือความคาดหมายสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน’
ผู้อาวุโสฉินกล่าว ‘การทดสอบแห่งจันทราจะทำอย่างไร เหลือเวลาอีกแค่สามเดือนแล้ว ครั้งนี้เฟิงอวิ๋นเซิงมีความหวังมาก!”
จางคุนขมวดคิ้ว ฉานเจิ้นเอ่ยว่า ‘ครั้งนี้ศิษย์หลานเฟิงเกรงว่าจะไม่อาจร่วมการทดสอบแห่งจันทราได้’
ผู้อาวุโสฉินพูดต่อว่า ‘ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นพวกเดียวกันหรือสายลับที่สังหารอาจารย์ของตัวเอง ถึงแม้จะมีพิธีโลหิตจิตหวนเวลา แต่ก็ไม่อาจอาศัยสิ่งนี้ตัดสินได้ นี่ไม่ยุติธรรมต่อเฟิงอวิ๋นเซิง’
จางคุนกับฉางเจิ้นต่างมองผู้อาวุโสฉิน
ผู้อาวุโสฉินมีสีหน้าสงบนิ่ง
ในตอนนั้นเขายอมให้เยี่ยนจ้าวเกอรับเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ ไม่สนใจว่าจะเกิดความขัดแย้งกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ถ้าหากเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นสายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เยี่ยนจ้าวเกอจะต้องรับผิดชอบ ผู้อาวุโสฉินจะโดนพัวพันเข้าไปด้วย
แต่ว่าผู้อาวุโสฉินใจร้อน ไม่คิดจะหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนสงสัยหรือป้องกันตัวเอง ยังคงพูดความคิดของตัวเองออกมา
ฉางเจิ้นกล่าว “ถ้าหากยืนยันแล้วว่าเป็นความผิดของนางจริงๆ ตอนนี้สมควรโดนโทษประหารไปแล้ว”
ผู้อาวุโสฉินมองเขา “ท่านหมายความว่า?”
“ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่รู้แน่ชัด ข้าเองก็ไม่เชื่อว่าศิษย์หลานเฟิงจะเป็นคนเช่นนี้ หวังว่าการตรวจสอบหลังจากนี้จะยืนยันความบริสุทธิ์ของนางได้ แต่ว่าการทดสอบแห่งจันทราต่อจากนี้นางไม่เหมาะจะเข้าร่วมต่อจริงๆ” ฉางเจิ้นมองจางคุนกับผู้อาวุโสฉิน ค่อยๆ พูดว่า “พูดเช่นนี้อาจจะเป็นการดูถูก แต่ปัญหาของนางมิใช่แค่ทำให้ศิษย์น้องฟู่เจออันตรายเท่านั้น”
ได้ยินดังนั้น จางคุนกับผู้อาวุโสฉินเงียบงันลง คล้ายกับคิดออกอันใด
ฉางเจิ้นพูดต่อ “สถานการณ์ในตอนนี้ ผลลัพธ์ของการทดสอบแห่งจันทราในครั้งที่เจ็ดสำคัญมาก มงกุฎจันทราไม่อาจปล่อยไว้ในมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้อีก ไม่อย่างนั้นรอพวกเขารักษาขวานจามสวรรค์ในมือแล้ว จะรับมือได้ยากยิ่งขึ้น”
“ถ้าหากว่าเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นสายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ตอนนี้นางรู้ว่าตนเผยความลับแล้ว ถ้าหากนางเอาชนะการทดสอบแห่งจันทรา ได้มงกุฎจันทรามาครอง พวกเราคนไหนจะควบคุมนางได้บ้าง?”
“นางจะต้องทรยศ จากนั้นก็กลับไปยังสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเท่ากับประสานมือมอบมงกุฎจันทราให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”
ผู้อาวุโสฉินเอ่ยว่า “เมิ่งหวานแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บที่ทะเลตะวันออก เพราะว่าพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ จึงโจมตีสตรีแห่งจันทราในสำนักเรา ทำให้พวกเรามือไม้ปั่นป่วน นี่เท่ากับว่าเป็นการมอบมงกุฎจันทราให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!”
ฉางเจิ้นพยักหน้า “ถูกต้อง มีความเป็นไปได้นี้จริงๆ แต่ใครจะรับประกันได้ว่า เฟิงอวิ๋นเซิงจะไม่มีปัญหา?”
ผู้อาวุโสฉินเหมือนอยากพูดอันใด ฉานเจินพูดก่อน “ดังนั้น ข้าขอเสนอว่า ให้ประณีประนอม”
คิ้วขาวของจางคุนเลิกขึ้นเล็กน้อย “ประณีประนอม? จะประณีประนอมอย่างไร?”
ฉางเจิ้นอธิบาย “อย่างแรกต้องมั่นใจก่อนว่ามงกุฎจันทราจะไม่อยู่ในมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”
ผู้อาวุโสฉินกับจางคุนต่างพยักหน้า “นี่ถูกต้อง”
“เมิ่งหวานแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งอาการบาดเจ็บยังสาหัสมาก ไม่อาจหายดีได้ในระยะเวลาอันสั้น จะต้องซ้ำเติมแผลเดิมในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สองแน่” ฉางเจิ้นเอ่ย “เฟิงอวิ๋นเซิงไม่รับประกัน แต่ว่าคนอื่นเอาชนะเมิ่งหวานได้”
จางคุนสีหน้าสั่นไหวเล็กน้อย “ความหมายของเจ้าคือ?”
ฉางเจิ้นพยักหน้า “เฉินซู่หนิงแห่งเมืองทะเลมรกตไม่อาจรับประกัน แต่ว่าฝานชิวแห่งหอคลื่นโหมเอาชนะอวิ๋นซิ่วชิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน และชนะเมิ่งหวานที่ได้รับบาดเจ็บได้เช่นกัน”
“พวกเราไม่ได้มงกุฎจันทราก็ไม่เป็นไร แต่ว่าไม่อาจปล่อยให้มงกุฎจันทราอยู่ในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่อเด็ดขาด ให้หอคลื่นโหมได้ไปเป็นผลลัพธ์ที่รับได้กว่า”
ฉางเจิ้นกวาดมองจางคุน กล่าวเสียงเบา “ท่านอาจารย์ ตอนนี้สำนักของพวกเราเพียงต้องการความมั่นคง ศิษย์น้องเจ้าสำนักไร้เทียมทาน ขอแค่ผ่านพ้นไปได้ รอจนเจ้าสำนักกลับมาจากทะเลตะวันออก ต่อให้หวงกวงเลี่ยกลับมาด้วย ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักเราอยู่ดี
“เนื่องจากเจ้าสำนักเลื่อนเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ มีพลังน่าตกตะลึง ความจริงหอคลื่นโหมใช่ว่าจะไม่มีความคิด ตอนนี้เราเองก็ไม่ได้เปรียบมากนัก”
ผู้อาวุโสฉินได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่เขารู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจางคุนมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมมาโดยตลอด ผู้อาวุโสสูงสุดเหอหนิงที่ไม่ได้มาเพราะรักษาบาดแผลก็ไม่นิยมความรุนแรงและอนุรักษ์นิยมเช่นกัน
ในอดีต พวกเขาไม่ค่อยชอบแนวคิดหัวรุนแรงของเยี่ยนตี๋ ฟางจุ่น และสื่อเถียซึ่งเป็นยอดฝีมือยุคกลางเท่าไรนัก
ถึงแม้ว่าสือเถี่ยจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อพลังของสำนักเพิ่มขึ้นตามอิทธิพลและพลังที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันของพวกเยี่ยนตี๋และฟางจุ่น อีกทั้งยังมีหยวนเจิ้งเฟิงคอยสนับสนุน ความคิดไม่นิยมความรุนแรงจึงไม่มีที่ยืนอีก
แต่ว่าหลังจากสงครามในปฐพีพิภพและทะเลตะวันออก สำนักว่างเปล่า ความคิดอนุรักษ์นิยมก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง
ผู้อาวุโสฉินมองฉางเจิ้น ในความทรงจำของเขา ถึงแม้ฉางเจิ้นจะเป็นลูกศิษย์ของจางคุน แต่ความคิดค่อนข้างเป็นกลาง มิใช่คนไม่นิยมความรุนแรงโดยสิ้นเชิง