เมิ่งหวานมองเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเรียบเฉย ยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์พี่เฟิง บางทีข้าอาจจะรอวันนี้มาโดยตลอด”
คำว่ารอมาโดยตลอดที่นางพูด ไม่ใช่การมอบมงกุฎจันทราให้แก่เฟิงอวิ๋นเซิงด้วยมือตัวเอง
แต่เป็นการรอคอย เพื่อต่อสู้กับศิษย์พี่ที่ใกล้ชิดกับตนที่สุดผู้นี้ เพื่อดูว่าใครกันแน่คือสตรีแห่งจันทราที่แข็งแกร่งที่สุด
มาตรว่าตอนอยู่ในโลกแปดพิภพจะโดดเด่นเหนือใคร สยบคนทุกคน แต่เมิ่งหวานกลับไม่เคยลืมว่านางเป็นตัวสำรองของเฟิงอวิ๋นเซิงมาตั้งแต่แรกเริ่ม
เฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนั้นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ทว่าทุกสิ่งต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ก็ไม่มีคนรู้แล้ว
เฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกตที่เคยฉวยโอกาสที่นางบาดเจ็บเอาชนะไปได้ ในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่หนึ่ง
ฝานชิวแห่งหอคลื่นโหมที่เอาชนะไปได้เพราะนางถอยให้เนื่องจากฝึกฝนวิชาพิเศษ ในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่
อวิ๋นซิ่วชิง สตรีแห่งจันทราคนที่สามซึ่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ชุบเลี้ยง เพื่อเป็นตัวสำรองให้กับนาง
คนเหล่านี้ เมิ่งหวานมีความมั่นใจเด็ดขาด
ขอแค่นางไม่มีปัญหาอะไร นางก็คือผู้ชนะเลิศตลอดกาลของการทดสอบแห่งจันทรา พวกเฉินซู่ถิง ฝานชิวไม่อาจเขย่าตำแหน่งของนางได้
ยิ่งอย่าพูดถึงหลิงฮุ่ยแห่งเขาไร้พรมแดน และพวกเหนียนเหล่ยแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์
เฟิงอวิ๋นเซิงเสียเวลาไปเปล่าๆ สองปี เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ไม่อาจไล่ตามนางได้ทัน
แต่ว่าถ้าหากไม่มีการเสียเวลาสองปีนี้ ทุกคนต่างฝึกฝนเป็นปกติ ตนไหนเลยจะก้าวข้ามศิษย์พี่เฟิง และเอาชนะศิษย์พี่เฟิงได้?
นี่เป็นเรื่องเดียวในการทดสอบแห่งจันทราที่นางไม่มีความมั่นใจ
มงกุฎจันทราสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นทิฐิอย่างหนึ่ง ส่วนเรื่องในอดีตนั้น ส่วนลึกของจิตใจของเมิ่งหวานก็มีความเสียดายเช่นกัน
ปัจจุบัน ปัญหานี้ในที่สุดก็จะมีคำตอบแล้ว
เฟิงอวิ๋นเซิงกลับเหมือนสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาจริงๆ ชดเชยเวลาสองปีที่เสียไปเปล่าๆ ถึงขั้นที่พัฒนาเร็วและพัฒนาไปไกลกว่านาง
เมิ่งหวานรู้สึกดีใจแทนเฟิงอวิ๋นเซิง แต่นางไม่มีทางยกธงขาวยอมแพ้
ต่อให้ไม่ถูกสำนักแสงสว่างพามายังโลกซ้อนโลก ยังอยู่ในโลกแปดพิภพ ในการเผชิญหน้ากับเขากว่างเฉิงที่สยบทั้งแปดทิศ นางก็จะไม่มีทางยกธงขาว
ขณะมองเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่เบื้องหน้า เมิ่งหวานก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่เฟิง น่าเสียดายนัก ตอนนี้ข้าต้องเป็นคู่ต่อสู้เสียแล้ว แม้ว่าจะไม่มีการทดสอบแห่งจันทรา พวกเราก็ต้องสู้กันอยู่ดี ท่านคือลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิง ข้าคือลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และเขากว่างเฉิงก็ได้ทำลายสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว”
“ข้าแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจและการกระทำมากมายของสำนัก ของอาจารย์ปู่หวงผู้เป็นอาจารย์ลุงของอาจารย์ อาจารย์ลุงหวงเจ้าสำนัก และศิษย์พี่หวง แต่สุดท้ายข้าก็เป็นศิษย์ของอาจารย์ เป็นศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เพราะท่านอาจารย์ชุบเลี้ยงและชี้แนะข้า จึงค่อยๆ เดินมาถึงวันนี้ได้”
“เพื่อท่านอาจารย์ เพื่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะแพ้ไม่ได้ ข้าถึงขั้นไม่อาจดำเนินการทดสอบแห่งจันทราที่ช้าไปหลายปีต่อได้ เรื่องราวในตอนนี้ จำเป็นต้องใช้ความเป็นไปได้ทั้งหมด ใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อชิงชัย ข้าจำเป็นต้องใช้มงกุฎจันทราเป็นอาวุธ เพื่อสู้กับศิษย์พี่เยี่ยนผู้นั้น เพื่อสู้กับท่าน”
เมิ่งหวานสีหน้าไร้อารมณ์ แต่สายตาแน่วแน่ ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
เฟิงอวิ๋นเซิงอาจจะเป็นคนไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่เข้าใจเมิ่งหวานมากที่สุด
ด้วยความเข้าใจที่นางมีต่อเมิ่งหวาน เกรงว่านางจะปฏิเสธเรื่องละทิ้งสำนักแสงสว่าง แล้วสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องเหมือนกับถังหย่งฮ่าว
เมิ่งหวานในตอนนี้ไม่เหมือนกับถังหย่งฮ่าว ที่พลังฝึกปรือไม่อาจส่งผลต่อจางเชาได้ มีความสามารถในการกล่าวว่า ‘ไม่’
แต่นางไม่ได้พูด
นางไม่ได้คุ้นเคยกับจางเชา แต่เพื่อตอบแทนการเลี้ยงดูของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นางยินดีฟังความเห็นของจางเชา ยอมรับว่ามงกุฎจันทราเป็นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ของนางเมิ่งหวานเพียงคนเดียว
บางทีท่าทีเช่นนี้อาจจะไม่คงอยู่ตลอดกาล แต่อย่างน้อยปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนี้
การต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้ก็เหมือนกัน
ถ้าหากว่าทำตามความปรารถนาส่วนตัวของนาง นางอยากจะทำให้การทดสอบแห่งจันทราที่เกิดขึ้นสายไปนี้เสร็จสมบูรณ์ ดูว่าใครจะเป็นสตรีแห่งจันทราที่แข็งแกร่งที่สุด
กระนั้นนางในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อการต่อสู้ของตัวเอง แต่สู้กับเฟิงอวิ๋นเซิงจอมยุทธ์แห่งเขากว่างเฉิง ในฐานะส่วนหนึ่งของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
เฟิงอวิ๋นเซิงว่า “เสี่ยวหวาน ข้าไม่อยากจะทำลายความตั้งใจของเจ้าเท่าไรนัก พูดจากใจจริง ข้าก็อยากให้เราสู้กันมาโดยตลอดเหมือนกับเจ้า แต่ว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ต้องบอกเจ้าเอาไว้ ลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขากว่างเฉิงไม่ได้สังหารทิ้งจนหมดสิ้น อาจารย์ของเจ้าเองก็ไม่ได้ตาย ตอนนี้พำนักอยู่ที่หอคลื่นโหม”
“ถ้ามีโอกาสก็กลับแปดพิภพไปพบอาจารย์ของเจ้าเถอะ
ทั่วทั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ คนที่ทำให้เมิ่งหวานเชื่อใจได้อย่างแท้จริง มีเพียงคนสองคน คนหนึ่งคืออาจารย์ของนาง อีกคนคือเฟิงอวิ๋นเซิง
มีแต่อยู่ต่อหน้าพวกนาง เมิ่งหวานถึงจะเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ บนใบหน้าของเมิ่งหวานก็ปรากฏรอยยิ้ม
“ถ้าหากมีโอกาส ข้าย่อมกลับไปพบท่านอาจารย์ ถ้าหาก…ถ้าหากว่าข้าไม่ตายด้วยดาบของศิษย์พี่เฟิงในการต่อสู้ครั้งนี้” แสงสว่างสุกสกาวบนศีรษะของเมิ่งหวานกลายเป็นหงส์เพลิงสีขาวบริสุทธิ์ ร้องเสียงกังวาน สยายปีกบินขึ้นสูง
“ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่ แต่การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าจะทดแทนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ใช้พลังทั้งหมดที่มี
เมิ่งหวานสีหน้าเคร่งขรึม อากาศรอบๆ ถูกย้อมด้วยแสงกระจ่างใสชั้นหนึ่งตามการสยายปีกของหงส์เพลิงสีขาว ดูอ้างว้างเงียบงัน เย็นเยียบเสียดแทงกระดูก
เฟิงอวิ๋นเซิงเงื้อดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกในมือ สภาวะดาบพุ่งทะยานไม่หยุด ดวงอาทิตย์สีฟ้าสาดส่องสี่ทิศ
“เสี่ยวหวานไม่ต้องกังวลสิ่งใด ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าดี” เฟิงอวิ๋นเซิงก้าวไปด้านหน้าทีละก้าว “เพราะว่าข้าก็เป็นเช่นเดียวกัน
“เขากว่างเฉิงมอบชีวิตใหม่ให้ข้า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้นหนึ่งมีความสำคัญ และมีพลังกล้าแข็ง ข้าจะต้องนำมันไปให้สำนักให้ได้”
คมดาบถูกชูสูง แสงสีฟ้าโชติช่วง สาดส่องฟ้าดิน
“เสี่ยวหวานระวังด้วย ดาบของข้าไม่ด้อยกว่ามงกุฎจันทรา”
ครั้นพูดจบ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ฟันดาบลง อากาศแตกร้าวทันที
อานุภาพนั้นไม่ด้อยกว่าการลงมือด้วยพลังทั้งหมดของยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงเลย!
พลังอาทิตย์ยะเยือกกับพลังแห่งจันทรากระแทกกัน สภาวะน่าตกใจยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “น่าเสียดายที่ไม่อาจชมการต่อสู้นี้สบายๆ ได้”
กระบี่รุ้งพร่างพราวมาอยู่ในมือ หนึ่งกระบี่ฟันออก ประกายกระบี่ที่เหมือนกับกระแสเวลาของคังเม่าเซิง พลันถูกกระเพื่อม เหมือนกับพร้อมจะขาดออกได้ตลอดเวลา
คังเม่าเซิงกับคังจิ่นหยวนเห็นดังนั้นต่างสูดหายใจเย็นเยียบ ‘ท่านพ่อเคยบอกว่าวิชากระบี่ของเขาคมกล้าเหนือจินตนาการ แต่หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ใครจะนึกออกบ้างว่าจะมีอานุภาพขนาดนี้?’
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นกลับหัวเราะขึ้น ‘เป็นวรยุทธ์จากคัมภีร์นภากาลเวลาจริงๆ เสียด้วย น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของข้าคือกระบี่สังหารเซียน ไม่ใช่กระบี่ลวงเซียน’
ในใจแม้จะคิดเช่นนี้ แต่ว่าขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอฟันกระบี่ใส่คังเม่าเซิงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็ฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่จางเชาไปด้วย
จางเชาผลักสองมือออกพร้อมกัน ดวงอาทิตย์สีทองสองดวงผสานกัน ประกอบกันเป็นพลังหมัดที่กล้าแข็ง ก่อนจะปะทะกับฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ
ทว่าพลังของทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะสัมผัสกัน แสงอาทิตย์สีทองก็พลันริบหรี่ลงไป อุณหภูมิเริ่มเย็นลง
พลังหมัดอันกล้าแข็งของจางเชาถูกรอยตราพลิกนภาพลิกเอกภพ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่รอให้จางเชาตอบสนองต่อ สภาวะฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เขาหุบสี่นิ้ว เหลือไว้เพียงแค่นิ้วชี้ จากนั้นก็แทงใส่จางเชา
แสงสว่างสีขาวซีดปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของชายหนุ่ม มันเหนี่ยวนำให้พลังหมัดอันกล้าแข็งของจางเชากลายเป็นพลังหมัดที่นุ่มนวล ก่อนจะม้วนกลับไปหาตัวเขาเอง!
คัมภีร์นภาหยินหยาง บรรยายถึงหยินหยาง!