เยี่ยนจ้าวเกอไม่ปล่อยให้ตัวเองอดจริงๆ
หากจะพูดให้ถูกต้อง โอสถที่เขาเตรียมไว้กินในตอนนี้ มีมากกว่าของพวกเฟิงอวิ๋นเซิงรวมกันเสียอีก
เพราะเขามีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่า หลังจากรับประทานโอสถเซียนและยาวิเศษลงไปแล้ว จะสามารถหลอมพลังของโอสถได้มากกว่า
ขณะที่นับคำนวณโอสถที่อยู่ในมือ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยื่นมือออกมากดลงบนเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ
ญาณจริงแท้ในร่างของเขาพลันพรั่งพรู ราวกับความโกลาหล รากฐานที่เกิดจากคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตเริ่มแสดงความสามารถออกมา
เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับที่สงบนิ่งในตอนแรก ยามนี้เหมือนกับเงียบงันยิ่งกว่าเดิม
หากมองภายนอกจะดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทว่าในตอนที่สติของเยี่ยนจ้าวเกอล่องลอย เขาคล้ายกับเห็นด้ายเส้นหนึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ เชื่อมต่อกับเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ
ตอนนี้รอบๆ เตาวิเศษมีเมฆหมอกเลือนรางชั้นหนึ่งปรากฏ ไม่ได้ตัดขาดเส้นด้ายเส้นนั้น แต่อำพรางเตาวิเศษไว้
ถ้าหากว่ามีคนคิดตามหาเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับผ่านตำหนักโอสถ แน่นอนว่าได้แต่ต้องกลับไปพร้อมความผิดหวัง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างเตาวิเศษกับตำหนักโอสถโดยสิ้นเชิง เพราะต้องการทิ้งเบาะแสเอาไว้เพื่อวันหน้าจะได้ตามหาตำหนักโอสถเจอ
เขาชักมือกลับมา ก่อนจะออกจากประตูวังฝูงมังกร ไปอยู่บนศีรษะของพ่านพ่าน
พ่านพ่านแบกวังฝูงมังกรพร้อมกับเหาะอยู่กลางอากาศ
โลกใบนี้ไม่ได้วังเวง ขณะที่เดินทางก็ผ่านหมู่บ้านจำนวนไม่น้อย
ทว่าเพื่อทำความเข้าใจกับสภาพของโลกใบนี้ให้เร็วที่สุด เยี่ยนจ้าวเกอจึงวางเป้าหมายไว้ที่สถานที่ใหญ่ๆ ของที่นี่
ไม่ทันไร ป้อมปราการขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า
ทว่าหลังจากเยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว เขากลับหยุดพ่านพ่านไว้ ไม่ให้มันพาเข้าไปใกล้
เขานิ่วหน้ามองป้อมปรากการแห่งนั้น เงียบงันอยู่เนิ่นนาน
ที่นั่นมีประชากรหนาแน่น เสียงคนดังเซงแซ่ ไม่ใช่เมืองร้าง กระนั้นยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งกกว่าเดิม
เพราะว่าด้านบนป้อมมีรัศมีแสงจางๆ คลุมอยู่ชั้นหนึ่ง!
จิตที่สงบนิ่งเป็นธรรมชาติและเป็นอนิจจังไหลออกมา เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นได้ยินบทสวดที่เหล่านักบวชขับขาน ดังขึ้นไม่ขาดหูทั้งๆ ที่ตัวเขาอยู่ห่างไกลทีเดียว
นั่นไม่ใช่เพราะด้านในป้อมปราการมีคนมากมายกำลังสวดมนต์เสียงดัง แต่ป็นการจับตัวกันของแรงศรัทธาจากผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนาด้านในเมือง เปลี่ยนจากปลอมเป็นจริง ส่งผลรบกวนโลก
“นี่…” เยี่ยนจ้าวเกอประหลาดใจอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่าโลกที่ตัวเองมาถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ จะเป็นโลกที่ศาสนาพุทธรุ่งเรือง
ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอยังเคยสงสัยอยู่ว่า เหตุใดจึงไม่เคยเห็นการสืบทอดหรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเลย
ถึงอย่างไรก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ศาสนาพุทธ์มีความยิ่งใหญ่มากกว่าสำนักเต๋าด้วยซ้ำ
หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ สำนักเต๋าเหลืออยู่น้อยนิด ศาสนาพุทธกลับหายไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่พระไตรปิฎกหรือโบราณสถานก็หาไม่พบ ไม่ว่าจะมองอยางไรก็ไม่ปกติ
ไม่ว่าจะเป็นโลกเบื้องล่าง เช่น โลกแปดพิภพ โลกผืนสมุทร โลกยมทะยาน หรือจะเป็นโลกซ้อนโลก ก็มีซากโบราณสถานของบรรพบุรุษก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อยู่ไม่น้อย
การสืบทอดวรยุทธ์ที่เริ่มต้นใหม่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการขุดซากโบราณสถานของคนรุ่นก่อน เริ่มต้นบนพื้นฐานนี้
ไม่มีเหตุผลที่สำนักเต๋าจะมีคนรอดจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ แต่ศาสนาพุทธิกลับพินาศโดยสิ้นเชิง แม้แต่ร่องรอยน้อยนิดก็ไม่มีเหลือ
นอกเสียจากว่าวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตอนนั้นจะเจาะจงกับศาสนาพุทธ เป็นการทำลายศาสนาพุทธโดยสมบูรณ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ทว่าในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกอ วังเทพกลับเป็นที่ที่พบเจอภัยพิบัติก่อน
ถึงขั้นที่มือยักษ์ร่วงหล่นจากฟ้า อันเป็นภาพสุดท้ายในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกอ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่านั่นเป็นฝีมือของศาสนาพุทธก็ไม่ปาน
เขาเองยังเคยสงสัยว่าเป็นศาสนาพุทธลงมือก่อน สำนักเต๋าจึงลงมือโต้ตอบ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บอย่างหนัก สำนักเต๋าเหลืออยู่น้อยนิด ส่วนศาสนาพุทธพินาศ
กระนั้นเมื่อเห็นโลกใบนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ว่าไม่ได้เกิดเรื่องเช่นนั้น
‘เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระศรีอาริย์…’ เยี่ยนจ้าวเกอมองป้อมปราการที่อยู่ห่างออกไป พลางกล่าวในใจ
รัศมีแสงที่โชติช่วงนั้น คือการรวมตัวกันของแรงศรัทธาจากเหล่าสาวก
พระศรีอาริย์เผยแผ่หลักคำสอนไปทั่วใต้หล้า พระธรรมที่ใช้สั่งสอนมนุษย์โลกไม่ได้แสดงถึงการหลุดพ้น แต่มีความหมายว่า ‘ผู้ที่เชื่อเราตถาคตจะมีความสุขใจ ผู้ที่เชื่อเราตถาคตจะได้ไปแดนสุขาวดี ผู้ที่เชื่อเราตถาคตจะมีชีวิตนิรันดร์’ อยู่หลายส่วน
สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ยังไม่พูดถึงว่ามีความสามารถขนาดไหน แต่ลักษณะเช่นนี้…ดูเหมือน…จะดูตกต่ำไปเล็กน้อยกระมัง
ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสในศาสนาพุทธ จะได้รับพระบารมีจากพระศรีอาริย์ ไม่จำเป็นต้องลำบากฝึกฝนมากมาย ก็จะได้รับอภิญญา
สิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่าก็คือ จะได้รับมรรคผล มีความสุขถึงขีดสุด ได้เข้าไปในแดนสุขาวดี ไร้ความขุ่นมัวอีก
พระศรีอาริย์ทรงตรัสไว้และจะทรงทำ คิดจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งมวลจริงๆ
ที่ในกลุ่มคนธรรมดาก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มีผู้นับถือศาสนาพุทธมากกว่าสำนักเต๋า ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องนัก เพียงแต่ความเข้าใจที่เขามีต่อพระธรรมค่อนข้างจำกัด ดังนั้นจึงไม่อาจด่วนสรุป
เพียงแต่ในเมื่อมีความสงสัยในใจ เยี่ยนจ้าวเกอครั้นได้เผชิญกับศาสนาพุทธอีกครั้ง ก็จำเป็นต้องระวังตัวให้ดี
โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ตนได้สัมผัสยังไม่มีร่องรอยของศาสนาพุทธ ทว่าจู่ๆ ตรงหน้าก็ปรากฏโลกที่พระธรรมรุ่งเรือง และเหมือนกับแดนสุขาวดีเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอจึงยิ่งสงสัยกว่าเดิม
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้สั่งให้พ่านพ่านเข้าเมืองไป แต่ว่าขยายขอบเขตการค้นหา เดินทางไปรอบๆ
เพราะว่าจู่ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่ง
ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่เลือกคนมากคนน้อย ประชากรหนาแน่นหรือประชากรบางตาอีก แต่หาสถานที่ตามแต่โอกาสจะพาไป
ณ เมืองเล็กแห่งหนึ่ง ในเมืองมีรัศมีแสงปรากฏเช่นกัน แม้ว่าเทียบกับเมืองใหญ่เมื่อครู่แล้วจะบางเบากว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่นับถือพุทธของที่นี่ไม่ศรัทธาจริงๆ แต่เป็นเพราะมีคนน้อยกว่าบ้างเท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอให้พ่านพ่านหดตัวลง กลับเข้าไปในวังฝูงมังกร วังฝูงมังกรเองก็ลดขนาดลงเช่นกัน แค่พริบตาเดียวก็หายไปแล้ว
เขาเก็บวังฝูงมังกร จากนั้นก็เดินเข้าไปในเมือง
หลังจากสำรวจเล็กน้อย เยี่ยนจ้าวเกอพบว่าคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์
ทว่าในร่างของแต่ละคนเหมือนกับแฝงรัศมีแสงเอาไว้
สำหรับคนทั่วไป ทุกคนดูเหมือนกัน ไม่มีอะไรผิดแผก
แต่เมื่อมองด้วยสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ ทุกคนที่อยู่ที่นี่เหมือนมีร่างกายดุจกระจก มีแสงสว่างลอดออกมาจากในร่างอยู่รางๆ
บางคนแข็งแกร่ง บางคนอ่อนแอ
เป็นเพราะไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ รัศมีแสงเหล่านี้จึงอยู่ในร่าง ไม่ได้สะสมพลังงานอะไรเอาไว้ อย่างมากสุดก็ทำให้มีสภาพร่างกายดีกว่าทั่วไป ไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
ทว่าถ้าหากฝึกวรยุทธ์ เยี่ยนจ้าวเกอประเมินว่ารัศมีแสงเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นพื้นฐานด้านวรยุทธ์ของศาสนาพุทธได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมีพื้นฐานนี้อยู่ด้วย ผู้คนจะฝึกฝนวรยุทธ์ของศาสนาพุทธได้อย่างง่ายดาย
คำพูดที่แพร่หลายก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ มีคำพูดเช่นจอมยุทธ์ศาสนาพุทธมิต้องลำบากฝึกฝน จะไม่พบเจอคอขวด สิ่งที่จำเป็นก็คือจิตใจแน่วแน่และนับถือพุทธศาสนาอย่างศรัทธา
“ท่านผู้เฒ่า รบกวนแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเจอบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง พบเจอผู้เฒ่าคนหนึ่งออกมานอกประตูพอดี จึงเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม
จากการตรวจสอบก่อนหน้า สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ ภาษาที่ใช้กันในโลกใบนี้แทบจะเหมือนกับก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่
ส่วนที่แตกต่างมีเพียงเล็กน้อย ล้วนเป็นเพราะยุคสมัยยาวนาน ประวัติศาสตร์ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
วัฒนธรรมของที่นี่เหมือนกับไม่เคยผ่านช่วงขาดตอน ที่เกิดจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มาก่อน แต่ดูเหมือนจะมีร่องรอยที่ถูกคนจัดการ
อย่างเช่น…
“ท่านผู้เฒ่า ข้าเป็นคนผ่านทาง ได้มายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่ค่อยคุ้นเคยอยู่บ้าง ขอถามท่านว่าวัดในเมืองอยู่ที่ใด ข้าคิดจะไปไหว้พระเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดเช่นนั้น เฒ่าชราก็พลันกล่าวด้วยความเป็นมิตร “หนุ่มน้อยเป็นคนมีจิตศรัทธานัก ในเมืองเล็กๆ ของเรานี้ เจ้าเดินไปทางใต้ ขณะที่เดินอยู่บนถนนให้มองไปด้านข้างก็จะเจอเอง”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า จากนั้นก็ปราศรัยกับชายชราอีกหลายประโยค แล้วถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “จริงด้วยท่านผู้เฒ่า เหตุใดข้าจึงไม่เห็นคนบูชาสามพิสุทธิ์ที่นอกเมืองเลยเล่า”
“สามพิสุทธิ์?” เฒ่าชรางงงวย “อะไรคือสามพิสุทธิ์ หนุ่มน้อยมองผิดแล้วกระมัง คนที่อยู่ที่นี่เพียงกราบไหว้พระพระศรีอาริย์ ไม่เคยเห็นใครนับถือสามพิสุทธิ์อะไรนั่นมาก่อน เป็นของนอกรีตอะไรบางอย่างหรือไร”
‘เป็นเหมือนที่คาดไว้…’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดในใจ
โลกใบนี้เหมือนจะไม่มีร่องรอยของสำนักเต๋าโดยสิ้นเชิง เหมือนกับที่โลกซ้อนโลกและโลกแปดพิภพไร้ร่องรอยของศาสนาพุทธ!