ตอนที่ 50 เทพหมากล้อมก็เป็นเพียงผู้เยาว์ผู้หนึ่งในวิถีหมากล้อม
“พี่หลี่ ท่านคิดว่าตานี้ผู้ใดจะชนะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พี่จ้าว คำถามของท่านช่างไร้สาระสิ้นดี เจ้าสำนักจื่อชิงเรียกได้ว่าแตกฉานในด้านหมากล้อมสุดจะเทียบเคียงได้ ศิษย์พี่ฉางเสวียนจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าสำนักจื่อชิงได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“จริงสิพี่จ้าว สองร้อยปีก่อนเวลาที่เจ้าสำนักจื่อชิงและศิษย์พี่ฉางเสวียนปะมือกัน นับว่าผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่เหตุใดจู่ ๆ เจ้าสำนักจื่อชิงก็มีฝีมือก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือว่าเขาจะได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ท่านใดมา หรือว่าได้รับการถ่ายทอดวิถีแห่งหมากล้อมอะไรมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พี่หลี่ท่านถามได้ตรงประเด็นยิ่งนัก พวกเราก็รู้จักกันมาหลายร้อยปีแล้ว ในเมื่อท่านถามออกมา เช่นนั้นข้าก็จะบอกความลับบางอย่างให้ท่านทราบ แต่ความลับนี้ท่านอย่าได้ไปบอกผู้ใดเป็นอันขาดเชียว”
“พี่จ้าว เรารู้จักกันมานาน ข้ามีนิสัยเช่นไร ท่านยังมิทราบอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นิสัยของพี่หลี่ ข้าย่อมรู้ดี เช่นนั้นข้าก็จะบอกท่านตามตรง”
“พี่จ้าวเชิญกล่าวได้ ! ”
“ความจริงแล้ว… ศิษย์พี่สวีได้รับการชี้แนะมาจากเทพหมากล้อมอันดับหนึ่งแห่งจงหยวน หนานกงเสวียนจี และเรียนรู้สัจธรรมของกลหมากสี่มังกรพ่นวารีที่หนานกงเสวียนจีเป็นผู้คิดค้นอีกด้วย เช่นนั้นฝีมือด้านหมากล้อมของศิษย์พี่สวีในตอนนี้ เกรงว่าคงมีน้อยคนนักที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ เช่นนั้นก็เท่ากับเจ้าสำนักจื่อชิงกำลังโกงศิษย์พี่ฉางเสวียนอยู่น่ะสิ ? ! ”
“……”
บนทางเดินเล็ก ๆ ท่ามกลางป่าไผ่ที่ทอดยาวสู่ภูเขาด้านหลังตำหนักไท่เสวียน ผู้อาวุโสสองท่านของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากตอนแรกที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่เรียกขานพี่ชายน้องชาย มาบัดนี้กลับโมโหจนหน้าดำหน้าแดง
หนานกงเสวียนจีเป็นใคร เกรงว่าทั่วทั้งจงหยวนคงมิมีผู้ใดที่มิทราบ ว่าเขานั้นคือปรมาจารย์ตัวจริงเสียงจริงในด้านหมากล้อม
เขาเข้าสู่วิถีเต๋าด้วยหมากล้อม ตบะแก่กล้าสุดจะหยั่ง โดยเฉพาะความแตกฉานในวิถีหมากล้อม เกรงว่าทั่วทั้งใต้หล้าเวลานี้คงมิมีผู้ใดที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
เพียงแต่กล่าวกันว่าหนานกงเสวียนจีเป็นคนลึกลับ น้อยคนนักที่จะพบร่องรอยของเขา
แต่สุดท้ายกลับถูกสวีฉิงเทียนพบเข้าจนได้ อีกทั้งยังถ่ายทอดกลหมากสี่มังกรพ่นวารีให้อีกด้วย
เช่นนั้น ทันทีที่ได้รู้ว่าเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง สวีฉิงเทียน ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากเทพแห่งหมากล้อมคนปัจจุบัน หนานกงเสวียนจี ผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้จึงรู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะแตกหักกันไปข้างหนึ่ง
‘เอาวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดจากเทพแห่งหมากมาโกงผู้อื่นเช่นนี้ ช่างเป็นคนที่ต่ำช้ายิ่งนัก ! ’
“คนแซ่หลี่ เจ้าอย่าลืมว่าเมื่อครู่เจ้ารับปากข้าว่า จะมิบอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้นะ ! ”
“หึ คาดมิถึงว่าเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิจื่อชิงของพวกเจ้าจะต่ำช้าถึงเพียงนี้ นี่มันรังแกกันชัด ๆ มิใช่หรือ ? ! ”
“คาดมิถึงว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้า จะเป็นคนไร้ยางอายที่มิรักษาคำพูด ถือว่าข้าได้เห็นธาตุแท้ของเจ้าแล้ว”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของพวกเจ้าต่างหากที่ไร้ยางอายและต่ำทรามยิ่งนัก”
“คนแซ่หลี่ เจ้ากล้าประลองฝีมือกับข้าตัวต่อตัวหรือไม่ ! ”
“เพ้ย ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกศิษย์พี่ฉางเสวียนประเดี๋ยวนี้เลย ให้เขาได้รู้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของพวกเจ้าเป็นคนเช่นไร ! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงร่างของทั้งสองก็หายไปในอากาศราวกับภูตผี
มินานทั้งคู่ก็มาปรากฏตัวยังศาลาที่นักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนกำลังดวลหมากกันอยู่
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือนักพรตฉางเสวียนที่มิได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเทพแห่งหมากล้อมนั้น กลับมีสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมท่าทีสบาย ๆ
ตรงกันข้ามกับสวีฉิงเทียนที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเทพแห่งหมากล้อมมา แต่กลับมีสีหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายเต็มหน้าผาก ดวงตาจดจ้องอยู่บนกระดานหมากมิกระพริบ
“ศิษย์น้องหลี่เหตุใดจึงทำท่าทางดุดันเช่นนั้นเล่า หรือว่าการประลองด้านนอกเกิดอะไรขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นชายชรานามว่าหลี่ชิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าท่างดุดัน
“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่าน…”
สีหน้าของหลี่ชิ่งเต็มไปด้วยความสับสนทันที หลังกวาดสายตามองไปยังสวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียน
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ’
‘ดูจากสถาณการณ์ตอนนี้แล้ว กลับกลายเป็นเจ้าสำนักจื่อชิงที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเทพแห่งหมากหนานกงเสวียนจีกำลังตกเป็นรอง’
‘นี่… นี่มันเป็นไปมิได้ ! ’
‘ใช่แล้ว ศิษย์พี่ฉางเสวียนเคยบอกว่าเขาได้รับการชี้แนะมาจากบรรพจารย์ที่อยู่ด้านล่างมานี่นา’
‘หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่ท่านนี้มิเพียงจะแตกฉานในวิถีกระบี่เท่านั้น แต่ยังปราดเปรื่องในวิถีหมากล้อมด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’
‘เพียงแค่ให้คำชี้แนะศิษย์พี่ฉางเสวียนมิกี่ชั่วยาม ศิษย์พี่ฉางเสวียนก็สามารถทำให้เจ้าสำนักจื่อชิงตกเป็นรองได้แล้ว’
‘ท่านบรรพจารย์เย่ท่านนี้เป็นเซียนมาจุติโดยแท้ ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
หลี่ชิ่งคิดถึงตรงนี้ก็มีท่าทีอ่อนลง สีหน้ากรุ่นโกรธก็มลายหายไปในทันที
“นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ”
ชายชรานามจ้าวชิงที่เพิ่งตามมาถึงสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของสวีฉิงเทียน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความฉงน
เห็นได้ชัดว่าสวีฉิงเทียนผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเทพแห่งหมากล้อม ตอนนี้ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว
ส่วนนักพรตฉางเสวียนที่พ่ายแพ้มาเกือบสองร้อยปีกลับมีท่าทีสบาย ๆ มิได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด
‘หรือว่าเจ้าสำนักไท่เสวียนเองก็ได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ด้านหมากล้อมเช่นกัน ? ’
‘แต่เวลานี้ยังมีผู้ใดที่แตกฉานในด้านหมากล้อมเหนือกว่าเทพแห่งหมากล้อมหนานกงเสวียนจีอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
หลี่ชิ่งเห็นใบหน้าพิศวงของจ้าวชิง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่จ้าว เมื่อครู่ท่านแสร้งเยาะเย้ยข้าใช่หรือไม่ ? ”
จ้าวชิงแค่นหัวเราะออกมา แล้วถลึงตาใส่หลี่ชิ่งอีกครา ก่อนจะมิสนใจเขาอีก
ขณะนั้นเอง สวีฉิงเทียนก็ดึงสติออกมาจากกระดานอีกครั้ง พลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเงยหน้าขึ้น กล่าวกับนักพรตฉางเสวียนว่า “กระดานนี้ข้าแพ้แล้ว”
นักพรตฉางเสวียนยิ้มบาง ๆ ออกมา “พี่สวี พวกเราจะพักกันก่อนหรือจะเล่นต่อดี ? ”
“เล่นต่อ ! ”
สวีฉิงเทียนแค่นหัวเราะออกมา หลังจากเก็บหมากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครานี้เขาเลือกเป็นฝ่ายลงหมากก่อน
เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป ทั้งคู่พลัดกันลงหมากได้ร้อยตัว หมากดำของสวีฉิงเทียนก็ถูกหมากขาวล้อมไว้อีกครั้ง
หลี่ชิ่งและจ้าวชิงที่จับตาดูการเดินหมากอยู่นั้น มีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาแทบจะพร้อมกันทันที
ส่วนสวีฉิงเทียนกลับมีสีหน้าซีดเผือด คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น สายตาจับจ้องไปยังกระดานด้วยสีหน้าจนปัญญา
แต่นักพรตฉางเสวียนกลับยิ้มบาง ๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง อีกทั้งท่าทางของเขาในตอนนี้ ราวกับมิได้เห็นสวีฉิงเทียนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ฉางเสวียน กลหมากสี่มังกรพ่นวารีของเจ้าสำนักจื่อชิง เป็นกลหมากที่เทพแห่งหมากล้อมหนานกงเสวียนจีเป็นผู้สร้างขึ้นขอรับ”
หลี่ชิ่งมองนักพรตฉางเสวียนเล็กน้อย ก่อนจะสื่อสารทางจิตกับเขา
“เทพแห่งหมากล้อมผู้ไร้ร่องรอย หนานกงเสวียนจีงั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนมองหลี่ชิ่งเล็กน้อย พลันสื่อสารโต้ตอบกับเขาทางจิต
“ตาเฒ่าจ้าวชิงเป็นคนบอกข้าเอง และการที่เจ้าสำนักจื่อชิงชนะท่านมาได้สองร้อยปี หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดก็คงจะเป็นเรื่องจริงขอรับ” หลี่ชิ่งตอบกลับไปตามตรง
นักพรตฉางเสวียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พลางกวาดตามองสวีฉิงเทียน “หนานกงเสวียนจีแล้วเยี่ยงไรเล่า ข้าได้รับการชี้แนะจากบรรพจารย์เย่เพียงมิกี่ชั่วยาม ก็สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว”
“หากข้าประเมินมิผิดล่ะก็ ผู้ที่เรียกว่าเทพแห่งหมากล้อม แต่เมื่อยู่ต่อหน้าท่านบรรพจารย์เย่ หนานกงเสวียนจีก็เป็นเพียงผู้เยาว์ในวิถีแห่งหมากก็เท่านั้น”
หลี่ชิ่งได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
Related