ตอนที่ 203 แล้วเหตุใดเจ้ามิรีบบอก
ได้ยินเช่นนั้นพวกเยี่ยนเทียนซานก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
‘วันนี้จะไปจากเมืองหลวง ? ’
เยี่ยนเทียนซานจึงเอ่ยด้วยสีหน้าสับสนออกมาว่า “ท่านเย่ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่งที่มาวันนี้ก็เพราะตั้งใจพาท่านไปชมที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวง แต่คาดมิถึงว่าท่าน…”
แม้ปากจะบอกเช่นนั้น
แต่เมื่อได้ยินว่าผู้อาวุโสเย่จะไปวันนี้ ภายในใจของเยี่ยนเทียนซานก็อดที่จะโล่งใจมิได้
ทว่าแม้การที่ผู้อาวุโสเย่บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวง จะเป็นการรบกวนเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวงอย่างมาก แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็มีบุญคุณต่อแคว้นต้าเยี่ยน
เช่นนั้นเยี่ยนเทียนซานจึงอดมิได้ที่จะเกิดความละอายใจขึ้นมา
เวลาเดียวกันนั้นเยี่ยนปิงซินก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านเย่ ท่านเพิ่งมาเมืองหลวงได้มิกี่วัน มิอยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ ข้าจะพาท่านไปชมที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวงเอง ? ”
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาอย่างสงบนิ่ง พลางโบกมือให้กับทุกคน
“อย่าดีกว่า วันหน้าหากมีโอกาสพวกเราย่อมได้พบกันอีก”
เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าเย่ฉางชิงเอ่ยตามที่คิดจริง ๆ
เวลานี้เขาสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว หากกลับไปเมืองเสี่ยวฉือ ด้วยหินหุนหยวนที่เขาต้องใช้ในการบำเพ็ญเพียรที่ราชันทมิฬหามาได้
เช่นนั้นเขาย่อมมิได้จับเจ่าอยู่แต่ที่เมืองเสี่ยวฉือตลอดไปอีกแล้ว
หากวันหนึ่งเขามีตบะบารมีที่สามารถปกป้องตัวเองได้ มิเพียงแต่เขาจะท่องไปทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยน แต่เขาจะท่องไปทั่วทั้งจงหยวนอีกด้วย
หากเป็นไปได้โลกภายนอกจงหยวน เขาเองก็อยากจะไปดูด้วยเช่นกัน
มิเช่นนั้นเป็นถึงผู้ทะลุมิติอย่าว่าแต่เรื่องที่มิอาจปลุกดัชนีทองคำได้เลย แม้แต่โลกเซียนแห่งนี้ก็มิได้ท่องไปที่ใด เช่นนั้นเขาจะมิอัดอั้นตันใจตายก่อนหรอกหรือ ?
สุดท้ายแม้พวกเยี่ยนเทียนซานจะเอ่ยรั้งไว้เท่าไรก็ตาม แต่ด้วยความแน่วแน่ของเย่ฉางชิง
เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไปจากเมืองหลวง และกลับเมืองเสี่ยวฉือในวันนี้อยู่ดี
จนใกล้เที่ยงวัน
เย่ฉางชิงก็ได้เดินออกจากประตูเรือนจิ่งหลันหยวน โดยมีพวกเยี่ยนเทียนซานเดินมาส่ง
“ทุกท่าน เช่นนั้นเราก็ลากันตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงอุ้มจิ้งจอกน้อยเอาไว้แนบอก เมื่อเดินมาถึงหน้ารถม้าที่จอดรออยู่แล้วก็หมุนตัวไปเอ่ยลากับทุกคน
“ท่านเย่ เช่นนั้นวันหน้าข้าไปเยี่ยมท่านที่เมืองเสี่ยวฉือได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
เยี่ยนปิงซินมองเย่ฉางชิงด้วยความอาลัยอาวรณ์
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้”
“ท่านเย่…”
ถานไถชิงเสวี่ยที่ปกติมิค่อยพูดค่อยจาใด ๆ ทว่าเวลานี้กลับมองเย่ฉางชิงด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ และมีท่าทางอึกอักเช่นกัน
เย่ฉางชิงเอ่ยอย่างสุภาพว่า “แม่นางชิงเสวี่ย มีอะไรก็เอ่ยออกมาเถิด”
“ท่านเย่ ข้าไปเมืองเสี่ยวฉือกับท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ถานไถชิงเสวี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทางมิสบายใจ “ชิงเสวี่ยเบาปัญญานัก ข้ายังมีข้อสงสัยในวิถีดนตรีอีกมากเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าท่านวางใจได้นะเจ้าคะ เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ข้าจะไปทันที จะมิรบกวนท่านอีกแน่นอนเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงยิ้มบาง ๆ ออกมา “แม่นางชิงเซว่กล่าวเกินไปแล้ว หากท่านต้องการก็ย่อมได้อยู่แล้ว”
แม้การเดินทางด้วยค่ายกลห้วงเวลาจะสามารถไปถึงเมืองชิงเหอที่อยู่ใกล้เมืองเสี่ยวฉือได้อย่างรวดเร็ว แต่การเดินทางจากเมืองชิงเหอไปยังเมืองเสี่ยวฉือยังต้องใช้เวลาอีกกว่าสองชั่วยาม
ระหว่างทางหากมีสาวงามเช่นนี้เดินทางไปด้วย ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
การที่ถานไถชิงเสวี่ยยอมไปเมืองเสี่ยวฉือกับเขา เย่ฉางชิงย่อมรู้สึกยินดีอยู่แล้ว
ถานไถชิงเสวี่ยได้ยินคำตอบเช่นนั้น จึงยิ้มหวานออกมา ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างกายของเย่ฉางชิง
จากนั้นเย่ฉางชิงและถานไถชิงเสวี่ยก็ได้ขึ้นไปนั่งบนรถม้า โดยมีเยี่ยนหยางเหนียนนั่งไปเป็นเพื่อนเพื่อเดินทางไปยังนอกเมือง
ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงไปจากเรือนจิ่งหลันหยวนได้ประมาณครึ่งชั่วยาม
ข่าวที่ท่านเทพฉางชิงไปจากเมืองหลวงแล้ว ก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นทั่วทั้งเมืองหลวง
ณ สำนักศึกษาตงหลัน
“เจ้าว่าอะไรนะ ท่านเทพฉางชิงไปจากเมืองหลวงวันนี้งั้นหรือ ? ”
“เรียนท่านจาง ท่านเทพฉางชิงออกไปได้ครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
“ท่านเทพฉางชิงเพิ่งจะมาเมืองหลวงมินานก็จะไปแล้วหรือ ? ”
“เรียนท่านจาง ใช่แล้วขอรับ”
“เฮ้อ ท่านเทพฉางชิงมอบวาสนาเช่นนี้ให้ข้า คาดมิถึงว่าสุดท้ายจะมิอาจไปส่งเขาเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
“ท่านจาง บางทีท่านเทพฉางชิงอาจจะมิอยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นหลังจากที่ท่านจากไป จึงได้เลือกจากไปเงียบ ๆ ก็เป็นได้นะขอรับ”
“อืม คงจะเป็นเช่นนั้น”
“ทุกท่าน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราเหล่าบัณฑิตอย่าได้ลืมชื่อของท่านเทพฉางชิง ทุกคราที่อ่านตำราก็ให้ท่องชื่อของท่านเทพฉางชิงไปด้วย”
“ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งท่านจางขอรับ”
………………………….
ทิศตะวันออกของเมืองหลวง
จากการปรากฏตัวของเย่ฉางชิง รวมทั้งได้มอบพรให้แก่เหล่าสาวก
ทำให้ราษฎรเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงกลายมาเป็นสาวกผู้ศรัทธาในท่านเทพฉางชิงภายในระยะเวลาสั้น ๆ
หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด อีกมินานมิเพียงแต่ในเมืองหลวง แต่ทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยนก็จะมีคนนับถือในท่านเทพฉางชิงผู้นี้เพิ่มมากขึ้น
อีกทั้งสองวันก่อน ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนยังได้มีราชโองการฉบับหนึ่งออกมา
ในราชโองการกล่าวไว้ว่า แคว้นต้าเยี่ยนทั้งสิบสองเขต ห้าสิบเมือง ในทุกเขตทุกเมืองจะต้องสร้างอารามฉางชิงขึ้นในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อเพิ่มสาวกให้แก่ท่านเทพฉางชิง
มินานหลังจากข่าวท่านเทพฉางชิงไปจากเมืองหลวงในวันนี้แพร่ออกไป
ด้านล่างอารามฉางชิง ก็มีเหล่าสาวกนับหมื่นมารวมตัวกันในเวลามิถึงหนึ่งเค่อ
พวกเขาหันหน้าไปทางอารามฉางชิงที่อยู่ด้านบนเขาตะวันออก จากนั้นก็คุกเข่าลงคำนับด้วยความศรัทธา
ทันใดนั้นเสียงแห่งความศรัทธาก็ดังก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวงภายในพริบตา
“ผู้น้อยน้อมส่งท่านเทพฉางชิง ขอท่านเทพฉางชิงได้ดื่มด่ำกับพรอันวิเศษ มีชีวิตยืนยาวนานตราบสิ้นฟ้าดิน ! ”
“ผู้น้อยน้อมส่งท่านเทพฉางชิง ขอท่านเทพฉางชิงได้ดื่มด่ำกับพรอันวิเศษ มีชีวิตยืนยาวนานตราบสิ้นฟ้าดิน ! ”
“ผู้น้อยน้อมส่งท่านเทพฉางชิง ขอท่านเทพฉางชิงได้ดื่มด่ำกับพรอันวิเศษ มีชีวิตยืนยาวนานตราบสิ้นฟ้าดิน ! ”
อีกด้านหนึ่ง
ณ หอสายลมจันทรา
มู่หรงลี่จูที่สวมกระโปรงยาวหงส์โลหิต กำลังยืนอยู่หน้าราวกั้นของชั้นบนสุด
นางทอดสายตามองออกไปอย่างครุ่นคิด อยู่คนเดียวเช่นนั้นเกือบสองสามชั่วยาว
มิหนำซ้ำหลายวันมานี้มู่หรงลี่จูก็เป็นเช่นนี้มาตลอด
หลิวหรูเยียนที่ขึ้นมาชั้นพิณอย่างเงียบ ๆ มองร่างบอบบางที่ดูเปล่าเปลี่ยวด้วยความสงสาร
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลิวหรูเยียนจึงเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านเจ้าหอ วันนี้ท่านเย่จะไปจากเมืองหลวงแล้ว ท่านมิคิดจะไปพบเขาอีกสักคราหรือเจ้าคะ ? ”
“ห๊ะ ? ”
มู่หรงลี่จูได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมาทันที พร้อมกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“เขาจะไปแล้วจริง ๆ หรือ ? ”
มู่หรงลี่จูหันขวับมามองหลิวหรูเยียน
หลิวหรูเอียนผงะไปทันที ก่อนจะพยักหน้าอย่างหวาดหวั่น
ในตอนนั้นเองมู่หรงลี่จูราวกับจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “เขาจะไป แล้วเกี่ยวอันใดกับข้ากัน ! ”
หลิวหรูเยียนเหลือบมองมู่หรงลี่จู จากนั้นก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ทั้งสองคนเงียบกันอยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มู่หรงลี่จูก็ขมวดคิ้วมุ่นก่อนพึมพำออกมา “จะไปแล้วจริง ๆ หรือ ? ”
หลิวหรูเยียนพยักหน้ารับด้วยความลังเล
“แล้วเหตุใดเจ้ามิรีบบอก ! ”
มู่หรงลี่จูแค่นเสียงเย็นชาออกมา
เพียงพริบตาร่างของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นร่างเงาอันไร้เทียมทานเงาหนึ่ง ก่อนพุ่งออกจากชั้นบนสุดของหอสายลมจันทรา และเหาะไปทางชานเมืองทันที
เมื่อเห็นมู่หรงลี่จูจากไปแล้ว
หลิวหรูเยียนก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ อดมิได้ที่จะพึมพำออกมา “สตรีนี้หนา มิว่าเยี่ยงไรก็มิอาจหนีสิ่งที่เรียกว่าความรักไปได้”
ณ ชานเมืองของเมืองหลวง
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม
ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง
“ท่านเย่ ถึงแล้วขอรับ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กับเย่ฉางชิง
“เช่นนั้นก็ลงจากรถม้ากันเถอะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้น
มินานทุกคนก็ทยอยเดินลงมาจากรถม้า
แต่ขณะที่เย่ฉางชิงเพิ่งจะเดินออกมาจากด้านในรถม้านั้น
เงาร่างอันอ้อนแอ่นบอบบางสีแดงเพลิงเงาหนึ่ง ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่งสุดจะเปรียบ ก็ได้เหาะเข้ามาใกล้ ๆด้วยความรวดเร็ว
เย่ฉางชิงที่เห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เขาอดมิได้ที่จะลอบทอดถอนใจออกมา
“คาดมิถึงว่าในเมืองหลวงจะมีผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสตรีอีกด้วย”