ตอนที่ 209 เจ้าสำนักไท่เสวียนช่างมีคุณธรรมจริง ๆ
หลังจากนักพรตฉางเสวียนลุกขึ้นยืนและเดินออกไป
เจ้ายอดเขาต่าง ๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะทยอยลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกตำหนัก
ส่วนหนานกงเสวียนจีก็ได้หัวเราะออกมา ก่อนจะลุกเดินไปทางนอกตำหนักเช่นกัน
ผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
ณ เชิงเขาไท่เสวียน
ก็มีลำแสงหลายสายพุ่งลงมา ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าซือถูเจิ้นผิง
“ศิษย์คารวะท่านเจ้าสำนักและเจ้ายอดเขาทุกท่าน ! ”
ศิษย์ที่ลาดตระเวนด้านล่างเห็นเช่นนั้น ก็รีบโค้งคำนับพวกนักพรตฉางเสวียนในทันที
นักพรตฉางเสวียนโบกมือให้เบา ๆ เป็นสัญญาณให้ศิษย์เหล่านั้นออกไป ก่อนจะประสานมือคารวะแก่ซือถูเจิ้นผิง
“ผู้น้อยเหอฉางเสวียนคารวะผู้อาวุโสซือถู”
“ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสซือถู”
เหล่าเจ้ายอดเขาแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างก็ประสานมือคารวะให้แก่ซือถูเจิ้นผิงเช่นกัน
ซือถูเจิ้นผิงเห็นภาพตรงหน้า จึงได้เอ่ยราวกับเย้ยหยันตัวเองขึ้นว่า “ข้าเข้าฌานมานับพันปี คิดว่าคนบนโลกนี้คงลืมข้าไปหมดแล้ว คาดมิถึงว่าพวกเจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนยังจะจำข้าได้เช่นนี้”
ตอนนั้นเองหนานกงเสวียนจีก็ได้เหาะลงมา ก่อนปรากฏตัวต่อหน้าซือถูเจิ้นผิง
“พี่ซือถู ข้าคิดว่าท่านละสังขารไปเสียแล้ว คาดมิถึงว่า…”
เอ่ยมิทันจบประโยค หนานกงเสวียนจีก็หยุดพูดลงดื้อ ๆ
ราวกับเขาสัมผัสได้ถึงไอพลังบางอย่างจากกายของซือถูเจิ้นผิง ก่อนจะเอ่ยต่อพลางขมวดคิ้วแน่น “พี่ซือถู นี่ท่าน ! ”
“พี่หนานกง คาดมิถึงว่าท่านจะอยู่ที่นี่ด้วย”
ซือถูเจิ้นผิงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ก่อนจะสารภาพออกมาตามตรงว่า “ใช่แล้ว ข้าใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เช่นนั้นจึงจำเป็นต้องออกฌานเพื่อตามหาวาสนา เพื่อให้สามารถบรรลุในวิถีกระบี่ให้จงได้”
หนานกงเสวียนจีและเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ยินเช่นนั้นต่างก็สบตากันเล็กน้อย
ประการแรก การจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ จำต้องมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่มหาศาล
ประการที่สอง ในเวลาสำคัญเช่นนี้ซือถูเจิ้นผิงกลับมาปรากฏตัวยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ความตั้งใจของเขานั้นช่างชัดเจนยิ่งนัก
ท่านบรรพจารย์เย่ !
ซือถูเจิ้นผิงต้องการพบท่านบรรพจารย์เย่
เขาต้องการได้รับโอกาสและวาสนาจากท่านบรรพจารย์เย่ เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง
แม้ทุกคนในที่นั้นจะมองเจตนาในการมาของซือถูเจิ้นผิงออก
ทว่าเยี่ยงไรเสียอีกฝ่ายก็ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในวิถีกระบี่ของยุคนี้
เป็นผู้อาวุโสของพวกเขา !
เช่นนั้นนักพรตฉางเสวียนจึงทำได้เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสซือถู ในเมื่อท่านมาถึงที่นี่แล้ว พวกเราขึ้นไปคุยกันบนเขาก่อนจะดีกว่าขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงพยักหน้ารับและประสานมือขึ้น “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าสำนักไท่เสวียนแล้ว”
เมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งก้านธูป
นักพรตฉางเสวียนก็ได้เดินนำทุกคน กลับมายังตำหนักไท่เสวียนอีกครั้ง
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตฉางเสวียนถึงได้เอ่ยถามตรง ๆ ว่า “ผู้อาวุโสซือถู ที่ท่านมาในครานี้คงเป็นเพราะท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราใช่หรือไม่ ? ”
“ขอเรียนท่านเจ้าสำนักไท่เสวียนตามตรง จุดประสงค์ที่ข้ามาในครั้งนี้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ”
ซือถูเจิ้นผิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะยอมรับออกมาตรง ๆ เช่นกัน “ก่อนหน้านี้ข้าได้เรียนไปแล้วว่าข้าใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที หากมิอาจบรรลุในวิถีกระบี่ได้อีก เกรงว่าอีกมินานข้าจะต้องละสังขารอย่างแน่นอน”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็หันไปสบตากันอย่างอดมิได้ ท่าทางเต็มไปด้วยความสับสน
ท่านบรรพจารย์เย่เร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ แม้แต่คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเองยังมิกล้าไปรบกวนด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ทว่าก่อนหน้านี้ด้วยสาเหตุจำเป็นบางอย่าง ทำให้พวกเขาจำต้องไปรบกวนท่านบรรพจารย์เย่อยู่หลายครั้งหลายครา
และเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้มีการประชุมกัน เดิมตั้งใจแต่งตั้งลู่อู๋ซวงเป็นผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
และเชิญท่านบรรพจารย์เย่มาร่วมงานแต่งตั้งนี้
แต่คาดมิถึงว่าท่านบรรพจารย์เย่จะไปเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนเสียก่อน
บัดนี้ท่านบรรพจารย์เย่ได้กลับมาจากเมืองหลวงแล้ว พวกเขากำลังปรึกษากันว่าควรจะจัดงานแต่งตั้งเมื่อใด เพื่อเชิญท่านบรรพจารย์เย่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
ทว่าจู่ ๆ ซือถูเจิ้นผิงผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งวิธีกระบี่ท่านนี้ กลับมาเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แล้วบอกว่าต้องการจะพบท่านบรรพจารย์เย่เช่นนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือซือถูเจิ้นผิงใกล้จะถึงขีดจำกัด จำเป็นต้องบรรลุในวิถีกระบี่จึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้
เช่นนั้นเรื่องนี้จึงค่อนข้างลำบากใจมิน้อย !
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น
ซือถูเจิ้นผิงเห็นเช่นนั้นก็ลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยฉีกยิ้มออกมา พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
“ท่านเจ้าสำนักไท่เสวียน มีปัญหาอะไรเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ผู้อาวุโสซือถู คือว่าเรื่องเป็นเช่นนี้”
นักพรตฉางเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเรียนตามตรงว่า “เดิมพวกเรากำลังวางแผนที่จะจัดงานแต่งตั้งผู้สืบทอดหญิง และตั้งใจที่จะเชิญท่านบรรพจารย์เย่มาเข้าร่วมงานแต่งตั้งในครานี้ด้วย”
“บัดนี้เมื่อท่านใกล้จะถึงขีดจำกัด และต้องการให้ท่านบรรพจารย์เย่ช่วยให้ท่านบรรลุในวิถีกระบี่ เช่นนั้น…”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็หยุดไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา “มิเป็นไร อย่างมากก็เลื่อนงานแต่งตั้งออกไปเท่านั้น”
“ห๊ะ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
พิธีแต่งตั้งมีความหมายเช่นไรกับดินแดนบำเพ็ญเพียรศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
การที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ยอมเลื่อนงานแต่งตั้งออกไปเพื่อเขา
เช่นนี้แล้วก็เท่ากับเขาติดหนี้บุญคุณดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว
ซือถูเจิ้นผิงคิดเช่นนั้นแล้วก็เหลือบมองไปยังหนานกงเสวียนจี ที่เป็นแขกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
หนานกงเสวียนจีเป็นใคร มีนิสัยเช่นไร เขาย่อมรู้ดีที่สุด
ที่หนานกงเสวียนจีกลายเป็นแขกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เหตุผลเป็นเพราะอะไรนั้นตาเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานับพันปีเช่นเขาย่อมพอจะคาดเดาได้
ซือถูเจิ้นผิงคิดถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนักไท่เสวียน หากท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้าท่านนั้น สามารถช่วยให้ข้าบรรลุในวิถีกระบี่ได้ ข้าจะยอมมาเป็นแขกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของท่านด้วย”
“นอกจากนี้ข้าได้ยินมาว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านยังมีสายยอดเขากระบี่วิญญาณอยู่ด้วย ข้าจะยอมชี้แนะการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ให้แก่ศิษย์สายนี้ด้วยตัวเอง”
หลังสิ้นเสียงเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในวิถีกระบี่แห่งยุค ยอมมาพำนักเป็นแขกคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ?
นี่ช่างเป็นข่าวดีและข่าวใหญ่มากจริง ๆ !
อีกทั้งบัดนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มีเทพแห่งหมากคนปัจจุบันมาพำนักอยู่ก่อนแล้ว หากมีผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งวิถีกระบี่แห่งยุคมาพำนักเพิ่มอีก
เมื่อมียอดฝีมือที่ไร้เทียมทานสองท่านนี้อยู่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็จะเป็นที่เลื่องลือ และสามารถขึ้นเป็นสำนักอันดับหนึ่งในจงหยวนได้แล้ว ทั้งยังสามารถบดขยี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวได้อีกด้วย !
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่นักพรตฉางเสวียนที่เงียบไปกลับเอ่ยขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสซือถู ผู้น้อยมิได้หมายความเช่นนั้นนะขอรับ”
นักพรตฉางเสวียนเรียบเรียงคำพูด ก่อนเอ่ยต่อว่า “คิดว่าท่านคงได้ยินมาบ้างแล้ว เรื่องที่จักรพรรดิมารในแดนรกร้างทางเหนือตนนั้นได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว เชื่อว่าอีกมินานฝ่ายมารจะต้องรวมตัวกันบุกโจมตีจงหยวนอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นปีศาจเผ่าต่าง ๆ ในเทือกเขาแดนใต้ก็จะต้องรุกรานดินแดนทางใต้ด้วยอย่างแน่นอน”
“ส่วนท่านมิว่าจะเป็นตบะบารมีหรือว่าความแตกฉานในวิถีกระบี่ ล้วนแต่มิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงได้ เช่นนั้นพวกผู้น้อยจึงมิต้องการที่จะเห็นท่านต้องดับสูญไปเช่นนี้ขอรับ”
จากนั้นนักพรตฉางเสวียน จึงได้เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เช่นนั้นเหล่าผู้น้อยมีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น หากเกิดความโกลาหลขึ้นในจงหยวน ขอให้ท่านยื่นมือเข้าช่วยขอรับ ! ”
เมื่อเห็นท่าทางจริงใจของนักพรตฉางเสวียนแล้ว ซือถูเจิ้นผิงก็เผยรอยยิ้มชื่นชมออกมา
วินาทีต่อมา
“เจ้าสำนักไท่เสวียนช่างมีคุณธรรมจริง ๆ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะประสานมือคาราวะให้แก่นักพรตฉางเสวียน “เจ้าสำนักไท่เสวียน ได้โปรดวางใจหากข้ายังมิตาย เมื่อใดที่เผ่ามารและปีศาจบุกโจมตีดินแดนจงหยวนของเรา ข้าจะมิมีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน”
“และแน่นอนว่ารวมถึงคำสัญญาก่อนหน้านี้ของข้าด้วย ขอเพียงข้าเกิดการบรรลุในวิถีกระบี่ ก็จะยังคงพำนักที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เป็นแขกคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนตามที่ลั่นวาจาเอาไว้”
นักพรตฉางเสวียนเองก็ได้ลุกขึ้นยืนเช่นกัน พร้อมคารวะให้แก่ซือถูเจิ้นผิง “เช่นนั้นต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสซือถูแล้ว”