ตอนที่ 675 สำนักเต๋า
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบเจ็ด เดือนห้า ยามเหม่า
ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกทั้งสาม เดินทางออกจากเมืองจินหลิงไปยังภูเขาชิงหยุนที่อยู่ห่างออกไปราว 600 ลี้
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ซูฉางเซิงที่อาศัยอยู่บนภูเขาชิงหยุนไกลออกไป 600 ลี้ ก็ได้เดินทางมาถึงวัดฟูจื่อพอดิบพอดี
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
ถ้ำนั้นทอดยาวลึกลงไปดุจขุมนรกดำมืด
เขาเอามือไพล่หลังแล้วยืนมองอยู่บริเวณปากถ้ำครู่หนึ่ง แต่ทว่ามิได้ลงไปดูว่าเบื้องล่างนั้นเป็นเยี่ยงไร
ร่างนั้นหายวับไปอีกครา เพื่อออกจากเมืองจินหลิงไปยังป่ากระบี่
ในวันนี้เอง เรื่องที่ปรมาจารย์สำนักเต๋าเป็นเช่อเหมิน ส่วนฮองเฮาซั่งเป็นรองเช่อเหมินแห่งลัทธิจันทราก็ได้ถูกเผยแพร่จากชาวยุทธไปยังหมู่ราษฎร
เรื่องนี้แพร่มาจากทิศตะวันออก ราษฎรมิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ปรมาจารย์สำนักเต๋าเป็นอาวุโสลัทธิจันทราสักเท่าใดนัก แต่ทว่าเรื่องที่ฮองเฮาซั่งเป็นรองเช่อเหมินได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง
ในหมู่คนมีชื่อเสียงของยุทธภพเองเมื่อได้ทราบข่าวนี้ พวกเขาก็มิได้แยแสเรื่องฮองเฮาซั่ง แต่ทว่ากลับสนอกสนใจต่อสำนักเต๋าเป็นพิเศษ
ในเมื่อปรมาจารย์ของสำนักเต๋าคือทายาทที่สืบทอดสิ่งชั่วร้ายต่อจากราชวงศ์ก่อน เช่นนั้นแล้วสำนักเต๋าก็ไร้ความบริสุทธิ์อีกต่อไป
ในเมื่อภูเขาดาบและป่ากระบี่สองผู้นำยุทธภพที่เก่งกล้าได้ร่วมมือกันปล่อยข่าวนี้ออกมา เช่นนั้นพวกเขาก็ควรจะไปทำลายล้างสำนักเต๋าให้สิ้นซาก !
เหล่าศิษย์ของสำนักเต๋านั้นหยิ่งทระนงนักมิใช่หรือ ?
สำนักเต๋าถูกขนานนามว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวยุทธมิใช่หรือ ?
นี่มันแฝงไปด้วยความสกปรกโสมมอย่างชัดเจน เป็นคนโฉดแต่เสแสร้งทำเป็นคนดี !
แน่นอนว่าชาวยุทธย่อมมิอาจจำนนต่อเรื่องนี้ได้ ภายใต้การใส่ไฟของศิษย์สำนักภูเขาดาบและป่ากระบี่ พวกเขาจึงทำการต่อต้านสำนักเต๋าให้ออกจากยุทธภพราวกับว่าทั้งยุทธภพได้เกิดกระแสพัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง !
ทว่าเหล่าชาวยุทธมิได้ล่วงรู้เลยว่า บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเก็บกวาดพวกตนมิให้หลงเหลือ !
บัดนี้พวกเขาได้มุ่งหน้าไปยังภูเขาชิงหยุนจากทั่วทุกสารทิศ แต่ทว่าสิ่งที่รอคอยอยู่นั้นคือทหารม้ารักษาพระองค์ในชุดเกราะ และมีมากถึง 40,000 นาย !
……
……
ภายในรถม้า
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อวันก่อนข้าได้หารือเรื่องหนึ่งกับฝ่าบาท ข้ามีความเห็นว่าคนที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต้องอุทิศตนเพื่อราษฎร แต่ทว่าผู้คนในยุทธภพนั้นมิได้อยู่ในการควบคุม อีกทั้งพวกเขายังนำวรยุทธมาก่อความวุ่นวายอีกด้วย
ข้าจึงชี้แนะต่อฝ่าบาทว่าให้พระองค์ทรงก่อตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมยุทธภพทั้งมวล ซึ่งหน่วยงานนี้มีชื่อว่าสำนักมือปราบหกประตู”
ฟู่เสี่ยวกวนเบนสายตาไปมองซูเจวี๋ยหนึ่งคราแล้วยิ้มออกมา “และเจ้าสำนักมือปราบหกประตูคนแรกนั้น ข้าได้เสนอท่านให้ฝ่าบาททรงพิจารณา ศิษย์พี่ใหญ่ หากกลับจากภูเขาชิงหยุนแล้ว ข้าจะพาท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทดีหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยผงะ “ข้าหรือ ? เจ้าเสนอให้ข้าเป็นเจ้าสำนักเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับ “นอกจากท่าน ข้าก็มิเห็นว่าจะมีผู้ใดที่เหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
“ศิษย์น้องเล็ก ข้ามิเหมาะสมต่อการรับราชการเลยแม้แต่น้อย…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือปรามซูเจวี๋ยที่ยังเอ่ยมิจบ “ตำแหน่งนี้มิได้เป็นยากนักหรอก ท่านก็แค่ให้ชาวยุทธทั้งหลายมาขึ้นทะเบียน เมื่อได้รับบัตรก็สามารถนำอาวุธไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก… มันคือการควบคุมพวกเขา เพื่อป้องกันมิให้ก่อปัญหาให้ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาอีก”
“ศิษย์พี่ใหญ่ได้บรรลุเป็นปรมาจารย์และประพฤติตนอยู่ในความดีงามจึงสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีต่อชาวยุทธได้ เหล่าผู้คนในยุทธภพทั้งหลายล้วนแต่ไร้วัฒนธรรม ดังนั้นการควบคุมมิอาจใช้การศึกษาเพื่อให้พวกเขาอ่อนข้อได้ แต่ต้องใช้ท่อนกระบองสั่งสอนแทน
หากมีผู้ใดในยุทธภพมิยอมเชื่อฟัง เมื่อศิษย์พี่ใหญ่มีตำแหน่งขุนนาง ย่อมสามารถใช้ไม้ตายสั่งสอนให้พวกเขาเชื่อฟังได้ อีกอย่างข้าอยากรู้ว่ามีศิษย์พี่จากสำนักเต๋าท่านใดบ้างจะเข้าร่วมกับสำนักมือปราบหกประตูเพื่อคอยแบ่งเบาภาระของศิษย์พี่ใหญ่”
เมื่อซูซูได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “เช่นนั้นข้าก็สามารถเข้าร่วมได้ใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วตอบว่า “หากเจ้าชอบก็แน่นอนว่าย่อมได้ ! ”
ซูเจวี๋ยจัดระเบียบหมวกของตน เมื่อศิษย์น้องประสงค์จะชักชวนศิษย์จากสำนักเต๋าให้เข้ารับราชการนี่ย่อมเป็นเรื่องดีต่อสำนัก
ทุกวันนี้มีปืนคาบศิลา หากนำมาเปรียบเทียบของสิ่งนี้ก็ได้ทำให้วรยุทธเสื่อมอิทธิฤทธิ์มากพอสมควร
หากพวกข้าทำผลงานได้ดีในสำนักมือปราบหกประตู เช่นนั้นสำนักเต๋าก็ย่อมมีชื่อเสียงดีเลิศในพระทัยของฮ่องเต้ ถ้าฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้สำนักเต๋าเป็นศาสนาประจำแคว้น… นี่ย่อมเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อสำนักเต๋า
เช่นนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบรับโดยไม่รีรอ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะขอลอง แล้วเหตุใดถึงเรียกว่าสำนักมือปราบหกประตูมิใช่สำนักมือปราบประตูเดียวล่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยรอยยิ้มออกมา “ข้าคิดว่าหากประตูเยอะหน่อยก็สามารถเข้าออกได้สะดวกมากกว่า”
ซูเจวี๋ยชะงักเล็กน้อยแล้วเข้าถึงคำสอนในทันใด… แท้จริงศิษย์น้องเล็กต้องการจะบอกพวกข้าว่าการเป็นมนุษย์มิอาจหัวรั้นยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ตลอดไป ต้องรู้จักพลิกแพลงเสียบ้าง !
ประตูทั้งหกบาน เจ้าต้องการเดินไปยังประตูบานใดก็สุดแล้วแต่เจ้าจะเลือกเอง
เขาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาลึกซึ้ง ศิษย์น้องเล็กเป็นบุคคลที่มิธรรมดาอย่างแท้จริง !
ทั้งสี่ได้สนทนาเช่นนี้ไปตลอดทาง รถม้าใช้เวลาเดินทาง 4 วันเต็ม ๆ และไปถึงภูเขาชิงหยุนเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนห้า
ที่แห่งนั้นเป็นเทือกเขายาวสุดลูกหูลูกตา
ภูเขาเรียงสูงตระหง่านเขียวขจี แสงสุริยาริบหรี่ยามสนธยาสาดส่องเข้าไปยังหมู่เทือกเขา คล้ายว่าพื้นที่ป่าได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงเรืองรองของความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเหยียบไปยังทางเดินเล็กของเทือกเขาเหล่านี้ แล้วมุ่งหน้าสู่ภูเขาชิงหยุนที่อยู่ลึกเข้าไป
เมื่อสุริยาลาลับขอบฟ้า แสงดาราได้ส่องประกายระยิบระยับ พวกเขาหยุดอยู่ที่ประตูของสำนักแห่งหนึ่ง
บริเวณนี้เป็นซุ้มประตูสูงใหญ่ ด้านบนของประตูมีตัวอักษรขนาดมหึมาเขียนไว้ว่า สำนักเต๋า !
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรเหล่านั้น พบว่ามันดูเก่าแก่และเรียบง่ายแต่ทว่าทรงพลังยิ่ง ราวกับมีศิลปะจากสำนึกกระบี่ครอบงำอยู่เนือง ๆ
“สำนักเต๋าก่อตั้งมานานเท่าใดแล้ว ? ”
“แปดร้อยกว่าปีมาแล้ว ! ”
“อืม… นับว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานเสียทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผ่านซุ้มประตูนี้เข้าไปได้ ก็หมายความว่าสำนักเต๋าตั้งอยู่อีกมิไกลแล้ว
ก่อนไปถึง ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ร้องขอให้ศิษย์พี่ใหญ่ปล่อยนกพิราบเพื่อแจ้งข่าวการมาเยือนให้ท่านอาจารย์ทราบล่วงหน้าเพราะเกรงว่าเมื่อท่านอาจารย์รู้ข่าวแล้วจะหลบซ่อนมิยอมมาพบเจอตน
ใกล้จะได้พบท่านปรมาจารย์แล้ว เขาจะเป็นคนเยี่ยงไรกันหนอ ?
หากเปิดโปงความจริงที่ว่าท่านเป็นผู้เดินทางข้ามกาลเวลามา อีกฝ่ายจะฉวยกระบี่มาฟันข้าหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกจิตใจร้อนรนจึงสอดมือเข้าไปในกระเป๋าตรงแขนเสื้อ แล้วลูบคลำปืนกระบอกนั้น มันช่วยทำให้จิตใจพลันสงบลงในทันใด
ตัวเขาสวมเสื้อแพรปีกจักจั่นโดยมีศิษย์พี่ใหญ่ ซูซู และสวี่ซินเหยียนอยู่ข้างกาย ขอเพียงแค่อีกฝ่ายมิรุกเข้ามาในคราเดียว เขาย่อมมีโอกาสยิงกระสุนใส่ 1 นัด
เพียงแค่นัดเดียวก็เพียงพอ
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้อย่าให้เกิดขึ้นเลยจะดีกว่า คนสองคนที่เดินทางข้ามกาลเวลามาเหมือนกันควรได้นั่งดื่มชา… แล้วสนทนาร้อยเรื่องราวเกี่ยวกับโลกนี้และอีกโลกที่ได้จากมา เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่สวยงามกว่ามิใช่หรือ ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาจึงเดินไปเบื้องหน้า แต่ก็ถูกสกัดไว้ที่ประตูทางเข้าของสำนักเต๋าเสียก่อน
“ท่านผู้ใดมาเยือน ! ”
“ติ้งอันป๋อ ฟู่เสี่ยวกวน”
“หา…ติ้งอันป๋อ แสงช่างมืดสลัว ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยที่มีตาแต่หามีแววไม่ ! ”
ทหารนายหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วยกสองมือขึ้นคำนับ เขาคือเซวียผิงกุยเป็นนายทหารม้ารักษาพระองค์ใต้บังคับบัญชาของฮั่วหวยจิ่นที่ได้รับคำสั่งให้นำทหารม้าชุดเกราะกว่าสี่หมื่นนายมารอสังหารพวกชาวยุทธเหล่านั้น
“ลุกขึ้นเถิด พวกเรามิใช่คนอื่นคนไกล…มีคนเข้ามาโจมตีสำนักเต๋าบ้างหรือยัง ? ”
“เรียนติ้งอันป๋อ ตลอดสองวันที่ผ่านมานั้น ได้สังหารไปแล้วยี่สิบกว่ารายขอรับ”
“เพียงเท่านั้นเองหรือ ? ”
“สายรายงานแจ้งมาว่าจอมยุทธชาวลวี่หลินเหล่านั้นกำลังรวมพลอยู่นอกเขตเทือกเขา และในจำนวนนั้นมีจอมยุทธจากสำนักป่ากระบี่และภูเขาดาบฝีมือดีอยู่ด้วย คาดว่าจะมาถึงในอีกมิช้านี้ขอรับ”
“เยี่ยม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้สายตามองสำรวจที่แห่งนี้อย่างละเอียด เดิมทีคิดว่าสำนักเต๋าอันสูงส่งจะถูกสร้างไว้บนยอดเขาเสียอีก หากได้เมฆหมอกคอยปกคลุมคงมีบรรยากาศดุจสรวงสวรรค์ มิคาดคิดว่าจะตั้งอยู่ตรงพื้นที่ระหว่างหุบเขาเยี่ยงนี้
เขาเห็นกำแพงเตี้ยและยาวอยู่เลือนรางภายใต้แสงจันทราและแสงดารา ภายในกำแพงเตี้ย ๆ นั้นก็ได้ปรากฏเงาชั้นล่างของเจดีย์สูง
นั่นคือที่ตั้งของสำนักเต๋า !
ข้าได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว !