เจียงป่าวชิงมาถึงที่พักของซูรุ่ยเอ๋อร์ ก็เห็นว่านางนอนห่มผ้าไหมบาง ๆ อยู่บนเตียง ดูจากสีหน้าแล้วซีดเซียวไม่ค่อยสู้ดีนัก
เจียงป่าวชิงค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย ในความเป็นจริงด้วยสภาพร่างกายและความสามารถในการดื่มเหล้าของซูรุ่ยเอ๋อร์ที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกขานนางว่าแม่สาวคอทองแดง นางไม่น่าเมาง่าย อันที่จริงนางดื่มเหล้าก็เหมือนดื่มน้ำเลยด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ที่นางได้ยินมู่จิ้งอี๋บอกว่าซูรุ่ยเอ๋อร์เมาค้าง นางก็รู้สึกว่ามันผิดปกติถึงได้ตามมาดูด้วยยังไงล่ะ
เจียงป่าวชิงเอื้อมมือไปจับชีพจรให้ซูรุ่ยเอ๋อร์ สีหน้าเข้าใจพลันปรากฏให้เห็น “หัวหน้าสอง นี่ท่านไม่ได้เมาค้าง แต่เป็นไข้หวัดและกระเพาะอาหารผิดปกติจึงทำให้ป่วย ข้าจะให้ท่านดื่มยาต้มบำรุงร่างกาย ช่วงนี้ท่านระวังเรื่องสุขภาพของตัวเองหน่อยแล้วกัน”
ซูรุ่ยเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง
มู่จิ้งอี๋นั่งลงข้างเตียงซูรุ่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย พลางนวดขมับให้นาง “ข้าบอกแล้วว่าช่วงนี้อากาศเย็นลง เจ้าควรระวังเรื่องอาหารการกินกับใส่เสื้อผ้าหนา ๆ แต่เจ้ามักจะไม่เชื่อฟังข้า…”
“พอได้แล้ว” ซูรุ่ยเอ๋อร์ยังคงมีท่าทีเกียจคร้านแม้แต่ตอนที่ป่วย “พี่อี๋ พี่พูดจนข้ารู้สึกเวียนหัวหมดแล้ว”
มู่จิ้งอี๋ปิดปากเงียบไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงนวดขมับให้ซูรุ่ยเอ๋อร์เบา ๆ
เจียงป่าวชิงมองดูทั้งสองคนอย่างไม่คาดคิด ใบหน้าที่อ่อนโยนต่อซูรุ่ยเอ๋อร์ตรงหน้าซ้อนทับกับใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อคืนนี้
แต่เจียงป่าวชิงก็สะดุ้งออกจากการครุ่นคิด เพราะเสียงซิ่วผิงเรียกหัวหน้าสองอยู่ข้างนอก “หัวหน้าสองอยู่ไหมเจ้าคะ ?”
ซูรุ่ยเอ๋อร์มองมู่จิ้งอี๋ แล้วเขาก็พูดขึ้นแทนนาง “เข้ามาสิ”
หลังจากที่ซิ่วผิงเข้ามาและเห็นว่าเจียงป่าวชิงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน นางดีใจอย่างมาก “หมอเจียง ข้าบอกแล้วว่าระหว่างเราน่าจะมีวาสนาชะตาลิขิตอะไรบางอย่าง ดูสิ เราเจอกันบ๊อยบ่อย”
“ล้วนเป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้น” เจียงป่าวชิงพูดห้วน ๆ นางยกตัวอย่าง “ข้าเจอกับหัวหน้าสามแทบทุกวัน เจ้าคิดว่านั่นคือวาสนารึ หึ! ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
“…” ซิ่วผิงไม่อยากสนใจเจียงป่าวชิง นางหันหน้ากลับไปจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ไม่นาน รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนใบหน้านางอีกครั้ง และนางก็บอกข่าวดีให้ซูรุ่ยเอ๋อร์รับรู้ “หัวหน้าสอง ในที่สุดไอ้ตัวลำบากนั่นก็ยอมตอบตกลงเรื่องการแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ และนางเลือกคนแล้วด้วย เห็นบอกว่ายอมแต่งงานกับพี่หลู่”
ไอ้ตัวลำบากที่ซิ่วผิงพูดนั้นหมายถึงหลี่อันหรู เมื่อไม่กี่วันก่อนหลี่อันหรูมักก่อเรื่องอยู่เสมอ ก่อเรื่องมากเสียจนซิ่วผิงรู้สึกเกลียดนางมาก นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ซิ่วผิงเรียกนางว่า “ไอ้ตัวลำบาก” ในที่สุดตอนนี้หลี่อันหรูก็คิดได้และยอมแต่งงานอย่างเชื่อฟังสักที ซิ่วผิงดีใจมากจริง ๆ
แม้ซูรุ่ยเอ๋อร์จะป่วยอยู่และนางค่อนข้างเฉื่อยชา แต่นางยังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสนใจ “อยู่ดี ๆ ทำไมจู่ ๆ แม่นั่นถึงคิดได้ล่ะ ?”
คุณหนูผู้เย่อหยิ่งพลัดตกลงไปในถ้ำโจรอย่างกะทันหัน แล้วยังถูกบังคับให้แต่งงานมีลูกที่นี่ การที่หลี่อันหรูคิดได้ด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเลยทีเดียว
ซิ่วผิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “คงเป็นเพราะพี่หลู่หล่อเหลาและมีความอดทนอย่างมากต่อไอ้ตัวลำบากนั่น… ถ้าข้าเป็นนางนะ การที่มีคนปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ข้าคงรักเขาอย่างสุดจิตสุดใจไปนานแล้ว อ้อ ใช่แล้ว เมื่อวันก่อนจู่ ๆ ไอ้ตัวลำบากนั่นก็อยากกินเกาลัดผัดน้ำตาลขึ้นมา พี่หลู่ถึงกับลงเขาเพื่อไปซื้อกลับมาให้นาง แต่พอไอ้ตัวลำบากนั่นดมกลิ่น นางก็โยนทิ้งทันทีและบอกว่าไม่ใช่กลิ่นที่นางอยากกิน ข้าเห็นแล้วโมโห๊โมโห แต่พี่หลู่กลับลงเขาไปซื้อร้านใหม่ให้นางอีกครั้ง แต่น่าหมั่นไส้นัก นางก็ยังโยนทิ้งอีก… ทำซะจนข้าอยากตบนางสักฉาด คนอารมณ์ร้อนอย่างพี่หลู่กลับต้องวิ่งลงเขาไปซื้อเกาลัดผัดน้ำตาลให้นางตั้งสี่ห้ารอบ… ไอ้โย! ทำไมถึงไม่มีใครรักข้าสุดใจแบบนี้บ้าง” ซิ่วผิงพูดจบ นางเหลือบมองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
“เหล่าหลู่อย่างนั้นรึ ? น่าสนใจหนิ” ซูรุ่ยเอ๋อร์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เหล่าหลู่ชื่อว่าหลู่เว่ยต้ง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เกิดความไม่สันติสุขที่สุดในหมู่บ้าน ปกติเขาจะชอบแข่งขันเอาชนะ ไม่ค่อยชอบขี้หน้าจิ้นเทียนหยู่ และเขามักจะแอบชักนำผู้คนให้ขัดใจกับจิ้นเทียนหยู่อยู่เสมอ
แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงมีกฎเกณฑ์ในหมู่บ้านและมีหัวหน้าใหญ่อย่างกู่ฟู่กุ้ยคุมอยู่เบื้องบน จึงไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่อะไร การขัดแย้งกันเรื่องเล็ก ๆ ถือเป็นปกติ เดิมทีโจรพวกนี้มีความป่าเถื่อนอยู่แล้วจึงไม่เคยเอาจริงเอาจังกับมันเลย
แต่ไม่คิดว่าผู้หญิงที่จิ้นเทียนหยู่ลักพากลับมาจะเลือกหลู่เว่ยต้งซะอย่างนั้น
เพียงแต่พอได้ฟังนิทานความรักของหลี่อันหรูกับหลู่เว่ยต้งแล้ว ซูรุ่ยเอ๋อร์ก็มองมู่จิ้งอี๋พร้อมทั้งพูดขึ้นอย่างออดอ้อน “พี่อี๋ แล้วถ้าหากว่าข้าอยากกินเกาลัดผัดน้ำตาลบ้างล่ะ พี่จะทำยังไง?”
มู่จิ้งอี๋พูดเสียงอ่อนโยน “ข้าจะจับตัวพ่อค้าขายเกาลัดผัดน้ำตาลกลับมาเพื่อให้เขาได้ผัดเกาลัดให้เจ้ากินทุกวัน”
แม้ซูรุ่ยเอ๋อร์จะป่วยอยู่ แต่นางยังคงดูเหมือนดอกกุหลาบที่สวยที่สุด นางหัวเราะคิกคัก ปรายตามองมู่จิ้งอี๋ ความอ่อนโยนในดวงตาของนางดูเหมือนน้ำในลำธารที่ไหลช้า ๆ ดูสวยงาม
ซิ่วผิงมองดูทั้งสองคนสนิทชิดเชื้อกันอย่างเขินอาย รู้สึกอิจฉาต่อความสนิทสนมของทั้งสองคน นางอดไม่ได้ เหลือบมองเจียงป่าวชิงอีกครั้ง
เจียงป่าวชิงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและลุกขึ้นไปหากระดาษมาเขียนรายการยาบำรุงและแก้ปวดท้องให้กับซูรุ่ยเอ๋อร์
ซิ่วผิงเดินเตร่อยู่รอบตัวเจียงป่าวชิงอย่างช้า ๆ มองเจียงป่าวชิงที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น
ซิ่วผิงไม่รู้หนังสือ แต่นางชอบมองท่าทางตอนที่เจียงป่าวชิงเขียนเพราะมันแตกต่างจากทุกคนในหมู่บ้าน มันให้ความรู้สึกสงบตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างบอกไม่ถูก
เจียงป่าวชิงเขียนเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา พบว่าซิ่วผิงยังคงวนเวียนอยู่ข้างตัวนาง …ความรู้สึกที่ซิ่วผิงมีต่อนาง นางเองก็เริ่มดูออกบ้างแล้ว
นางนั้นเคยปฏิเสธหลายครั้ง ไม่ว่าจะโจ่งแจ้งหรือลับหลัง แต่สาวน้อยก็มักไม่เชื่อ ชอบวิ่งเข้าไปในกองไฟเสมอ
เจียงป่าวชิงถอนหายใจและพูดกับซิ่วผิง “ซิ่วผิง เจ้าบอกหัวหน้าสามเกี่ยวกับเรื่องของหลี่อันหรูแล้วหรือยัง ?”
ซิ่วผิงทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของหัวหน้าซูมาโดยตลอด คำสั่งให้ไปดูแลหลี่อันหรูที่บ้านของหัวหน้าจิ้นในครั้งนี้ก็เพราะพวกผู้หญิงในหมู่บ้านน้อยเกินไป อีกอย่าง ทางฝั่งของหัวหน้าจิ้นก็ล้วนเป็นผู้ชายทั้งหมด ไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่
ซิ่วผิงมาบอกให้หัวหน้าซูทราบเช่นนี้ พูดตามหลักนางก็ควรบอกหัวหน้าจิ้นด้วยเช่นกัน
“ข้าไม่ได้ไปหาหัวหน้าสาม” ซิ่วผิงมองเจียงป่าวชิงอย่างระมัดระวัง “หรือว่าไม่ต้องบอกเขา ?”
ซิ่วผิงได้ยินเรื่องที่เจียงป่าวชิงถูกหัวหน้าจิ้นไล่ออกจากงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้แล้ว นางรู้สึกสงสารเจียงป่าวชิงมากจึงไม่ค่อยอยากสนใจหัวหน้าจิ้นเท่าไหร่นัก
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้ว “ไม่ว่ายังไงผู้ริเริ่มอย่างเขาก็เป็นคนพาหลี่อันหรูกลับมา ก่อนที่นางจะแต่งงาน นี่ถือเป็นความรับผิดชอบของเขา อีกอย่าง คนที่นางเลือกคือหลู่เว่ยต้ง…”
“เลือกหลู่เว่ยต้งแล้วมันทำไมรึ ?” ซิ่วผิงรู้สึกงุนงงจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ซิ่วผิงไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้แบบแบ่งพวก แต่ถ้าจะบอกว่าแบ่งพวกสำหรับที่นี่ก็คงจะมากเกินไปหน่อย ทั้งสองคนเพียงแค่ไม่ชอบหน้ากัน ความสัมพันธ์ไม่ดีมาตลอดก็เท่านั้น
เจียงป่าวชิงเองก็ไม่อยากพูดอะไรกับซิ่วผิงมากมาย อันที่จริงไม่ได้มีใครบอกนางเกี่ยวกับสิ่งนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่นางสังเกตเห็นเองในอดีต เรื่องบางเรื่องรู้อยู่ในใจก็พอแล้ว แต่ไม่เหมาะสมที่จะบอกให้คนอื่นรู้ด้วยลมปาก
เพราะถึงอย่างไร คำพูดบางคำก็ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาพูดมั่วซั่วต่อหน้าทุกคนได้
“ไม่เป็นไร” เจียงป่าวชิงเป่าคราบหมึกเบา ๆ จากนั้นก็ส่งใบสั่งยาให้ซิ่วผิง “เจ้าอยู่ที่นี่พอดี งั้นเจ้าไปหาอาฉิงแล้วให้อาฉิงหยิบยาตามใบที่ข้าเขียนนี่เพื่อนำมาให้หัวหน้าสองกินก่อนสักสามชุด ข้าจะไปหาหัวหน้าสาม ถ้าหากว่าเจอเขา ข้าจะบอกเรื่องนี้แทนเจ้าเอง”
ซิ่วผิงถือใบรายชื่อยาแต่ยังคงมีความอาลัยอาวรณ์ในสายตานาง แต่นางเป็นคนที่ทำงานภายใต้การควบคุมของหัวหน้าสอง นางจึงรู้ว่าอันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อเจียงป่าวชิง แต่นางยังคงไปเอายาจากเจียงฉิงด้วยความว่องไว