บทที่ 13 ยอมตายดีกว่าร้องเพลงแย่ ๆ
บทที่ 13 ยอมตายดีกว่าร้องเพลงแย่ ๆ
วัชพืชรอบป้ายหน้าหลุมฝังศพถูกกำจัดออกไป และไร้ที่ให้กำบัง หากมีอะไรเธอก็คงเห็นแล้ว
ซูโย่วอี๋ได้แต่โค้งคำนับและเดินต่อไป
เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ เธอก็พบเจอกับหลุมฝังศพหลายหลุมติดต่อกัน
ผู้เสียชีวิต: พระเยซู ศาสดาศาสนาคริสต์
ผู้เสียชีวิต: นบีมุฮัมมัด ศาสดาศาสนาอิสลาม
นี่เป็นระบบส่งเสริมความเชื่อทางศาสนาหรือยังไงกัน?
เอ่อ… แล้วนี้มันเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ
ซูโย่วอี๋เกิดภายใต้ธงสีแดงและเติบโตท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ เธอเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า และเชื่อในตัวเอง และไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย
เป็นเวลากว่าสิบนาทีแล้วที่เธอเงยหน้าขึ้นมอง ซูโย่วอี๋ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรและก้าวไปข้างหน้าต่อ
หลุมฝังศพที่เธอพบในครั้งนี้ไม่ใช่ศาสดาของศาสนาไหนอีกต่อไป แต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
ผู้เสียชีวิต: ไอน์สไตน์ ค.ศ. 1879-1955 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921 เสนอทฤษฎีควอนตัมและคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ผู้เสียชีวิต: ไอแซก นิวตัน
ผู้เสียชีวิต: เจมส์ คลาร์ก แมกซ์เวลล์
ผู้เสียชีวิต: นิลส์ เฮนเรก เตวิด โปร์
…
นอกจากไอน์สไตน์และนิวตันแล้ว ซูโย่วอี๋ก็ไม่คุ้นเคยกับผู้เสียชีวิตคนอื่น ๆ โชคดีที่หลุมฝังศพบันทึกชีวิตและความสำเร็จของพวกเขาไว้อย่างคร่าว ๆ และผู้เสียชีวิตทั้งแปดคนเป็นคนดังในวงการฟิสิกส์
นอกจากจะรู้ชื่อคนไม่กี่คนแล้ว… ชื่อของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอิทธิพลต่อเธอเท่าไหร่
ซูโย่วอี๋กำลังใช้ความคิดขณะที่เดิน
เมื่อเธอเห็นโสกราตีส วิญญาณของซูโย่วอี๋ก็เปล่งประกาย และมองไปที่หญ้าสีเขียวที่ไม่มีที่สิ้นสุดข้างหน้า
ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ทุ่งหญ้าเขียว มันก็มีเสียงเตือนว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของนักปราชญ์
เป็นที่ที่วิสุทธิชน*[1] หลับใหล ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดเลยที่ไม่เป็นนักคิดในสายงานของตน และชื่อของพวกเขาก็คงอยู่ตลอดกาล
โอกาสมีอยู่ทุกหนทุกแห่งดังนั้นโอกาสนี้ต้องเกี่ยวข้องกับผู้ยิ่งใหญ่แน่
เราเพิ่งผ่านศาสดา นักฟิสิกส์ และตอนนี้ก็เป็นนักปรัชญา
ดังนั้นจึงต้องมีสุสานสำหรับศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อยู่ข้างหน้า!
นั่นคือสิ่งที่ซูโย่วอี๋ต้องการมากที่สุดในตอนนี้
เพื่อทำความเข้าใจเหตุผลที่มาที่นี่ ซูโย่วอี๋เริ่มวิ่งไปข้างหน้า แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายหรือเปล่า ซูโย่วอี๋วิ่งได้เร็วโดยปราศจากความรู้สึกหน่วงและเทอะทะ
สายลมพัดผ่านไป ผมยาวสีดำขลับของเธอปลิวไสวไปในอากาศ
ทันใดนั้น ซูโย่วอี๋ก้มลงและหายใจหอบถี่ ใบหน้าของเธอหันไปทางสุสาน
ผู้เสียชีวิต: ลีโอนาร์โด ดาวินชี ค.ศ. 1452-1519 หนึ่งในสามวีรบุรุษของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ชาวอิตาลี จิตรกร ประติมากร นักปรัชญา และนักประดิษฐ์
ในที่สุดเธอก็พบตำแหน่งโดยประมาณ ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้ม ถ้าเป็นแบบนี้นักร้องและนักเต้นรำก็คงอยู่ไม่ไกล
ซู่โหย่วอี้เกือบถึงขีดสุดแล้ว ตราบใดที่เธอแน่ใจว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการร้องเพลงและการเต้น เธอจะข้ามไปทันที
เธอกระโดดข้ามหลุมฝังศพติดต่อกัน
จนถึงหลุมฝังศพหินกลม
ผู้เสียชีวิต: หลินลี่ ราชินีเพลงป๊อป 1883-1937
ประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมเพลงป๊อประดับโลก เธอได้รับรางวัล ‘นักร้องยอดนิยมของโลกที่มียอดขายสูงสุด’ ในปี 1909 ได้รับรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยมของโลกครั้งที่ 3 จากอัลบั้ม ‘Empty and Different’
ประเด็นคือคนคนนี้เป็นคนจีน
ซูโย่วอี๋รู้จักหลินลี่เป็นอย่างดี เธอเคยเห็นการแสดงของอาจารย์หลินลี่ ทางโทรทัศน์ ตอนนั้นในใจของเธอมีเพียงสองคำคือ ‘ตกตะลึง’
การแสดงของอาจารย์หลินลี่ ดูเหมือนจะมีพลังมนตรา ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ ทั้งความเศร้า ความอ่อนหวาน ความกล้าหาญ และความสุข ดนตรีเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของเธอ รวมถึงความรู้สึกทั้งหมดในชีวิตของเธอ
เพื่อให้ผู้ฟังทุกคนได้ดื่มด่ำไปกับห้วงดนตรีที่เธอสร้างขึ้น
ซูโย่วอี๋หายใจเข้าลึก ๆ หากเธอสามารถได้รับพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยจากหลินหลี่ เธอคงได้รับประโยชน์มากมาย
ซูโย่วอี๋ไม่รอช้าอีกต่อไป เธอคุกเข่าลงหน้าหลุมฝังศพพร้อมพูดเสียงพึมพำ เธอเลียนแบบพิธีรับศิษย์ เธอคำนับสามครั้งติดในท่าคุกเข่า
หนึ่งวินาทีผ่านไป
ห้าวินาทีผ่านไป
……
ไม่มีอะไรตอบสนอง?
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว
เธอยืดร่างกายท่อนบนให้ตรงและมองดูข้อความบนป้ายหินหน้าหลุมศพอีกครั้งด้วยความงงงวย
“อาจารย์หลินลี่ คุณได้ยินฉันไหม”
“ถ้าคุณได้ยิน ได้โปรดรับฉันเป็นศิษย์ด้วย”
ยังคงไม่มีการตอบสนอง
ซูโย่วอี๋มองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง เป็นไปได้ไหมว่าหลุมฝังศพที่นี่กำลังรอผู้ที่ถูกเลือกไว้แล้ว? และเธอไม่ได้เป็นคนที่ถูกเลือกใช่ไหม?
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจ หรือว่าเธอใช้โอกาสนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์และคงจะถูกสุนัขจิ้งจอกหัวเราะเยาะแน่ถ้าเธอออกไป
เธอไม่ได้ดื้อดึงต่อไป เธอลุกขึ้นเดินไปที่หลุมฝังศพและนั่งลงข้าง ๆ เหมือนญาติที่ไปเยี่ยมบรรพบุรุษของเธอ
หลินลี่ ผู้เป็นไอดอลในวัยเด็กของซูโย่วอี๋ เธอและซูหยินสวมผ้าปูที่นอนและจินตนาการสถานการณ์ในห้องของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ว่าตัวเองยืนอยู่บนเวทีและร้องเพลงต่อหน้าคนจำนวนมาก
ทั้งสองชื่นชมกันและกันไม่หยุด
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ปรากฏรอยยิ้มเมื่อนึกถึงความทรงจำในตอนนั้น
คิดถึงเรื่องราวในวัยเด็กของเธอ แม้จะลำบาก แต่ก็ไม่ทำให้เธอหมดความหวังในชีวิต
มันเป็นนาทีสุดท้าย
ซูโย่วอี๋ยืนขึ้นและคำนับเคารพหลุมฝังศพอีกครั้ง “ฉันจะกลับไปแล้ว”
แล้วถ้าไม่ได้รับโอกาสล่ะ? หลินลี่เองก็ประสบความสำเร็จเช่นนี้ด้วยความพยายามของเธอเองไม่ใช่เหรอ?
เธอก็ทำได้เช่นกัน!
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของซูโย่วอี๋ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้ ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้เธอรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เปล่าประโยชน์
ขณะที่เธอหันกลับมา ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“เธอเก่งใช้ได้นี่”
ซูโย่วอี๋หันกลับมาด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่หลินหลี่
หลินลี่ที่เธอรู้จักไม่ได้เยาว์วัยขนาดนี้ นี่คือ ‘สาวงามหลิน’ ในตอนที่เธองดงามที่สุดในชีวิต
ซูโย่วอี๋คุกเข่าลงอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
หลินลี่ถอนหายใจเบา ๆ และพลังที่มองไม่เห็นก็ฉุดซูโย่วอี๋ขึ้นยืน “เป็นเวลานานแล้วที่ฉันจากโลกนี้ไป และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปเกิดใหม่แล้ว วันนี้ฉันจะถ่ายทอดทักษะการร้องเพลงของฉันให้กับเธอ”
ซูโย่วอี๋สงสัย “คุณ…จะทำแบบนั้นได้ยังไง”
หลินหลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมถึงทำไม่ได้ล่ะ เพราะความทะเยอทะยานของเธอเองไม่ใช่เหรอที่เรียกฉันออกมา”
มือของเธอสัมผัสซูโย่วอี๋อย่างอ่อนโยน และดวงตาที่ยิ้มแย้มของเธอก็มีความอ่อนโยนอย่างไร้ที่สิ้นสุด “เด็กน้อย จำความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานของเธอไว้ นี่คือแก่นแท้ของการร้องเพลง สิ่งที่ฉันถ่ายทอดให้เธอเป็นเพียงทักษะเท่านั้น ความรู้สึกและความเข้าใจในแต่ละส่วนจำเป็นต้องให้เธอค่อยๆ สัมผัสถึงมันเอง”
“คนที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อชีวิต ไม่มีวันเป็นนักร้องที่ดีได้ หนทางของเธอยังอีกยาวไกล”
“แต่ตอนนี้เธอมีมรดกของฉันแล้ว ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ ไม่ว่าเธอจะอับจนหนทางหรือขมขื่นเพียงใด เธอต้องยอมตายดีกว่าได้ร้องเพลงแย่ ๆ เธอทำได้หรือเปล่า”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างจริงใจ “โปรดวางใจได้ว่าฉันจะทำให้ดีที่สุด”
หลินลี่ ยิ้มอย่างปล่อยวาง
“ฉันเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว และในที่สุดฉันก็ออกจากที่นี่ได้”
ร่างของหลินหลี่ค่อย ๆ จางหายไปราวกับเธอไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน
ชื่อบนป้ายหลุมศพก็หายไปและกลายเป็นป้ายหลุมศพที่ว่างเปล่า
ซูโย่วอี๋ อยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อนและเศร้าโศก เธอคุกเข่าลงบนพื้นและโค้งคำนับสามครั้งอีกที
[1] วิสุทธิชน หมายถึง ความบริสุทธิ์ หรือผู้หมดจดจากกิเลส ที่เป็นไปทางกาย ทางจิต และทางปัญญา