“ถ้าเป็นไปได้…ต่อไปนี้ช่วยใส่กางเกงบ้างจะดีที่สุดนะครับ” โม่จื่อเฉินเอ่ยเตือนหลังจากตื่นมาตอนเช้าและเห็นเชียนหลานเดินไปมาอย่างสบายอกสบายใจอย่างเคย
เธอก้มลงมอง แม้จะไม่ได้คิดว่าการใส่เสื้อผ้าของเธอจะมีปัญหาอะไร เธอก็ยังฟังเขาและกลับไปใส่กระโปรงยาวถึงเข่าที่ห้อง
ด้วยเป็นวันหยุดเชียนหลานจึงชอบแต่งตัวสบายๆ มากกว่า แต่เขากลับออกปากเตือน “แต่งตัวให้เรียบร้อยกว่านี้หน่อยครับ เดี๋ยวเราจะมีแขกมา”
“โอเคค่ะ” เชียนหลานพยักหน้ารับ
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่พวกเขาอยู่ด้วยกันที่โม่จื่อเฉินพูดกับเชียนหลานดีๆ และทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขามีแขก
เพราะโม่จื่อเฉินไม่ได้บอกให้เธอออกไป มันจึงดูเหมือนกับเขายอมรับเธอแล้ว
ไม่นานแขกก็มาถึง นอกจากหุ่นสวยที่ยืนอยู่หน้าประตู ยังมีเด็กอีกคนหนึ่งด้วย
โม่จื่อเฉินกอดสาวสวยและพาเธอเข้ามาในห้อง ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนสมัยเด็กของโม่จื่อเฉิน หนานกงไฉ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เสี่ยวต้านเขอ
เธอแต่งงานไปเมื่อสามปีที่แล้ว แต่เจ้าบ่าวของเธอไม่ใช่ทั้งโม่จื่อเฉินและโม่จื่อซี สามีของเธอเป็นนักแสดงหนุ่มในวงการบันเทิง ล่ำลือกันว่าเขาเป็นคนรักครอบครัวตัวจริง
“มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” หนานกงไฉ่ถามหลังจากได้ยินเสียงมาจากอีกห้อง
เขาส่งยิ้มบางขณะที่เชียนหลานเดินออกมา
หลังจากหนานกงไฉ่เห็นเชียนหลาน เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ถึงจะผ่านมาห้าปี รสนิยมของนายก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะเนี่ย”
“เธอเป็นคู่หมั้นของฉันเอง เชียนหลาน”
“นี่พี่ไฉ่” โม่จื่อเฉินแนะนำ
เชียนหลานโค้งให้หนานกงไฉ่ “สวัสดีค่ะ”
“เราเคยเจอกันเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นคุณยังเป็นแค่คุณครูอยู่เลย ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่เหรอคะ” หนานกงไฉ่ถาม
“ฉันเป็นทหารค่ะ…”
“คุณเป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพเหรอคะ” หนานกงไฉ่ถามในสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้ว “ฉันน่าจะรู้เหตุผลที่จื่อเฉินไม่เคยคิดคบหาใครเลยมาห้าปีนะคะ เป็นเพราะเขาเว้นที่ในใจไว้ให้คุณนี่เอง ฉันว่ามันคงเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้พวกคุณได้คืนดีกันนะคะ”
“ไปกันเถอะ วันนี้ฉันจะพาเหยาเอ๋อร์ออกไปเล่น” โม่จื่อเฉินรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ได้ นายจะไม่พาเชียนหลานไปกับนายด้วยเหรอ”
“วันนี้เธอต้องไปรายงานตัวที่กองทัพ เธอไม่มีเวลาหรอก” เขาเอ่ยขณะที่กลับไปสวมเสื้อแจ็กเกตที่ห้อง หลังจากหนานกงไฉ่ก้าวออกไป โม่จื่อเฉินหันขวับมาบอกเชียนหลาน “พี่ไฉ่กับผมจะไปเยี่ยมกองถ่าย กลับไปที่ฐานทัพก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“ค่ะ” เชียนหลานพยักหน้า
“ไปกันเถอะ”
ว่ากันตามหลักการแล้ว เชียนหลานควรจะพอใจที่โม่จื่อเฉินยอมรับเธอต่อหน้าคนอื่น แต่เธอกลับรู้สึกว่าคำว่า คู่หมั้น ไม่มีความหมายกับเขาแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังไม่เคยบอกว่าเธอจะกลับไปรายงานตัวกับกองทัพในวันนั้น
…
หลังจากออกมาจากห้อง โม่จื่อเฉินเงียบผิดปกติแม้แต่ยามที่อุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน ชวนให้หนานกงไฉ่งุนงงไปเล็กน้อย “เธอกลับมาอยู่ข้างๆ นายแล้ว ทำไมนายถึงยังดูหดหู่ขนาดนี้ล่ะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อยู่ๆ คนที่จากฉันไปห้าปีก็โผล่มาตรงหน้าฉัน แต่ฉันก็ทำกับเธอเป็นศัตรูหรือเมินเฉยเธอไม่ได้ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเหมือนกัน ฉันอยากจะให้อภัยเธอแต่มันก็ดูเหมือนไม่ง่ายขนาดนั้น” โม่จื่อเฉินว่าเย้ยตัวเอง
“ฉันอยากจะให้เธอเข้าใกล้ฉันแต่ฉันก็กลัว บางทีฉันอาจจะลืมไม่ลงว่ามันรู้สึกยังไงตอนที่ถูกทิ้งไปเมื่อห้าปีก่อนก็ได้มั้ง”
หนานกงไฉ่ระบายยิ้มและรับลูกมาจากอ้อมแขนของเขา “จื่อเฉิน นายปิดบังความรู้สึกตัวเองเกินไปแล้วนะ
“นายไม่ได้อายุยี่สิบต้นๆ เหมือนอย่างห้าปีก่อน ถ้าเธอพยายามจะขอเลิกอีกก็ยื้อเธอไว้แล้วพาเธอกลับมาอยู่ข้างๆ สิ ทำไมนายถึงได้สนใจศักดิ์ศรีของตัวเองมากขนาดนี้กัน
“นายเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวแล้วไม่ใช่เหรอ
“ถ้านายจับไว้แน่นเกินไปก็แค่คลายออกสักหน่อย…บางทีนายอาจไม่ทรมานมากนักก็ได้”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ โม่จื่อเฉินไม่ได้ตอบกลับ
“นายน่าจะโทรหาน้าหนิงแล้วถามเธอเรื่องนี้นะ ฉันมั่นใจว่าเธอมีเรื่องสอนนายเยอะเลยละ”
โม่จื่อเฉินนัดเจอกับหนานกงไฉ่วันนั้นไม่เพียงแต่ขับรถไปส่งแม่ลูกที่กองถ่าย แต่ยังไปเจอพ่อแม่ตัวเองอีกด้วย
หลังผ่านมาเนิ่นนาน พ่อแม่ของเขาก็ยังหลงใหลในภาพยนตร์ไซไฟ
“ฉันยังไม่ได้วางแผนจะบอกเรื่องนี้กับแม่เลย ยิ่งฉันให้ความหวังแม่ก็จะยิ่งผิดหวังถ้ามันพัง”
“ถ้าอย่างนั้นก็คุมสถานการณ์ให้ดีๆ สิ”
โม่จื่อเฉินรับฟังทุกอย่างที่หนานกงไฉ่บอกและรู้สึกดีขึ้นมาก แต่เขายังไม่หลุดพ้นจากความกลัว อย่างที่หนานกงไฉ่ว่าไว้ ถ้าเชียนหลานจะบอกเลิกอีกครั้งเขาก็จะรั้งแล้วไม่ปล่อยให้เธอไป หากแต่ถ้าทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำ เหตุใดเขาจึงรู้สึกวุ่นวายใจขนาดนี้กัน
หลังจากมาถึงกองถ่าย โม่จื่อเฉินเห็นพ่อแม่ที่เป็นที่พึ่งของเขา ตอนนี้เหยียนเอ๋อร์เข้ามาดูแลไห่รุ่ย โม่ถิงจึงมีเวลามาอยู่กับภรรยามากขึ้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัวติดกันมากกว่าแต่ก่อน
โม่จื่อเฉินมองพ่อแม่ตัวเองอยู่ห่างๆ เฝ้าดูพวกเขาแสดงความรักกันอย่างหวานแหวว เขาพลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นพวกเขา
ถังหนิงหันมาเห็นลูกชายในจังหวะนั้น เธอวางเรื่องย่อในมือลงทันทีก่อนเดินไปหาเขา “ทำไมลูกมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“แม่ครับ ผมคิดถึงแม่”
“ลูกไม่คิดถึงพ่อบ้างเหรอ”
“พ่ออยากให้แม่คิดถึงพ่อแค่คนเดียวครับ” โม่จื่อเฉินเอ่ยขณะวาดแขนโอบถังหนิง “แม่ ทั้งผมกับจื่อซียังไม่ได้แต่งงานเลย แม่ไม่รีบบ้างเหรอ”
“ต่อให้แม่จะรีบ มันก็เป็นเรื่องของแม่ แม่ไม่มีทางกดดันลูกหรอกนะ ลูกมีอิสระที่จะตัดสินใจว่าอยากจะแต่งงานเมื่อไหร่”
“แม่…ตอนนี้ผมอยากแต่งงานแล้ว”
“ถ้าลูกอยากแต่งก็แต่งเลยสิ แม่มีอย่างเดียวที่จะบอกกับลูกก็คือเมื่อลูกตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่ออย่ายอมแพ้ ถึงลูกจะตัดสินใจผิดพลาดก็จะไม่เสียใจตราบใดที่ยินดีที่จะรับผิดชอบและไม่ทำเรื่องที่ฝืนความคิดของตัวเอง ลูกต้องเข้าหาคนอย่างเท่าเทียมกัน เลิกคิดว่าตัวเองจะสูญเสียหรือทุกข์ทรมาน พอคนสองคนอยู่ด้วยกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทุ่มเทให้กันและกันต่างหาก!”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของถังหนิง โม่จื่อเฉินอดยิ้มออกมาไม่ได้ขณะนึกถึงคำที่หนานกงไฉ่บอกกับเขา
ทันทีที่ถังหนิงเปิดปากเธอมีความสามารถที่จะชี้ทางสว่างให้คนอื่นได้เสมอ
“ขอบคุณนะครับ แม่”
“วันไหนพาเธอมาหาเราที่บ้านบ้างสิ”
ในเมื่อเป็นคนที่โม่จื่อเฉินอยากจะแต่งงานด้วย เป็นธรรมดาที่ถังหนิงจะสนับสนุนการตัดสินใจของเขา
“แม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลกเลยครับ”
เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากอยู่กับพ่อแม่ที่กองถ่ายทั้งวัน ในที่สุดเขาก็กลับมาที่ห้องเมื่อตกค่ำ
โม่จื่อเฉินคิดว่าเชียนหลานคงหลับในห้องของเธอไปแล้ว แต่เมื่อเปิดไฟเขาก็เห็นเธองีบอยู่บนโซฟาพร้อมเรียวขาที่โผล่พ้นออกมา
เขาไม่ได้พูดอะไรขณะถอดเสื้อแจ็กเกตก่อนนั่งลงข้างเธอ
เชียนหลานไม่ได้ตื่นขึ้นมาเขาจึงถือโอกาสนี้โอบแขนรอบเอวเธอ ในขณะที่ทั้งคู่นอนอยู่บนโซฟา โม่จื่อเฉินพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์จากร่างของเชียนหลาน