บทที่ 307 กลับบ้าน
บทที่ 307
กลับบ้าน
เมื่อมองไปที่รูปสลักเหล่านี้แล้วลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอ่อนแอของตัวเอง แม้ว่าเขาในอนาคตเขาจะมีพลังเทียบเท่ากับระดับจักรพรรดิ แต่เขาก็คงไม่สามารถหลีกหนีจากความตายได้
“มานี่สิ” เสียงของหลี่หวู่หยวน ดังมาจากที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ลั่วอู๋เดินไปตามเสียงเสียงนั้น
เขาพบว่าหลี่หวู่หยวนนั้นกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ธรรมดา ๆ ในห้องโถงรอ ลั่วอู๋ พร้อมทักทายอย่างอบอุ่น “มาสิ นั่งลงก่อน ไม่ต้องสุภาพ”
ลั่วอู๋รู้สึกยินดีเล็กน้อย
เบื้องของเขาในตอนนี้คือรองเจ้าสำนักของสำนัก เฉียนหลง ซึ่งหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ
ทันทีที่ลั่วอู๋นั่งลง หลี่หวู่หยวนก็เอ่ยปากพูด เขายังไม่ได้ถามถึงคำขอ แต่เริ่มที่การแนะนำห้องโถงแห่งนี้ก่อน
“ห้องโถงนี้มีชื่อว่า ห้องโถงหลิงหยาน มันถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าสำนัก ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งสำนักเฉียนหลง รูปแกะสลักทั้งหมดนี้เองก็ถูกแกะสลักขึ้นโดยตัวท่านเจ้าสำนักด้วยเช่นกัน”หลี่หวู่หยวน กล่าว
“แม้ว่าที่นี่จะมีรูปปั้นของสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ขนาดที่ว่าสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิบางชนิดเองก็ไม่ได้อยู่ในโลก มิติเดียวกับพวกเราด้วยซ้ำ”
ลั่วอู๋ตกใจมาก
โลกที่ไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกับพวกเรา หมายความว่ายังไงกัน?
“การที่สัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนั้นเป็นเรื่องยาก มีพวกมันจำนวนน้อยมากที่จะเกิดขึ้นโดยการพัฒนามิติวิญญาณไปทีละขั้นจากสัตว์วิญญาณระดับล่างจนถึงขั้นระดับจักรพรรดิ”
หลี่หวู่หยวน กล่าวอย่างช้าๆ
ลั่วอู๋พยักหน้า
มันคือเป้าหมายสูงสุดของผู้ใช้พลังวิญญาณ
จะเป็นเรื่องน่าซาบซึ้งใจแค่ไหน หากได้มีโอกาสทำ พันธสัญญากับสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิและเข้ากับมันได้
อย่างไรก็ตามหากเทียบแแล้ว การที่จะปรับแต่งเลี้ยงดูสัตว์วิญญาณให้ไปถึงระดับนั้น ย่อมยากกว่าการที่จะขอให้สัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิยอมรับเป็นคู่พันธสัญญา
ถึงกระนั้นลั่วอู๋ก็ยังสับสนว่าทำไมรองเจ้าสำนักถึงมาบอกกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
สีหน้าและการแสดงออกของหลี่หวู่หยวนเริ่มดูจริงจังขึ้นมา “ทุกคนต่างใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิในครอบครอง เพราะการได้ครอบครองสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดินั้นย่อมหมายความว่า เขาได้กลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วยังไงล่ะ”
“อืม” ลั่วอู๋ได้แต่พยักหน้า
หลี่หวู่หยวน มองไปที่ ลั่วอู๋ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามีศักยภาพนั้น”
ลั่วอู๋ตะลึง
เขากินยาผิดรึเปล่า ? จู่ๆ ก็มาชมเขาแบบนี้ซะอย่างนั้น นี่มันอะไร ?.
หากบุคคลภายนอกได้ฟังประโยคเมื่อครู่ เขาเกรงว่าจะต้องเกิดความวุ่นวายเป็นแน่
“หึ หึ ” หลี่หวู่หยวน กล่าวต่อ “ลั่วอู๋ เจ้าสนใจโลกใบนี้รึเปล่าล่ะ?”
ลั่วอู๋ ไม่รู้ว่าเขาถามทำไม แต่ยังคงตอบไปว่า “แน่นอนสิ ที่มีหลี่หยิน, ฉูจงฉวน, ไร้หน้า, หยู่เฮา, หลิวหู ข้ามีเพื่อนและคนสำคัญมากมาย นอกจากนี้ข้ายังเปิดร้านค้าอยู่ในมณฑล หมิงหนานด้วย ข้าต้องดูแลสนับสนุนพวกเขาหลายคนขนาดนี้ ข้ามีกลุ่มคนของข้า ข้าไม่สนใจได้อย่างไรกัน? ”
“ดี ดีมาก”หลี่หวู่หยวน ดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของเขามาก
ลั่วอู๋ มองอย่างงุนงง “ท่านรองเจ้าสำนักเกี่ยวกับคำขอของข้า … ”
“บอกมาเถอะข้าจะทำให้เจ้าพอใจแน่”
“ ข้าต้องการตามหาชาย ผู้มีความสามารถน่าทึ่งคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ช่วยสำนักเฉียนหลงในการสร้างมิติเหนือเมฆ” ลั่วอู๋กล่าว
“เจ้าต้องการตามหาเขาเพื่ออะไร” ใบหน้าของ หลี่หวู่หยวน เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ข้ามีบางอย่างที่สำคัญมากที่จะต้องให้เขาช่วยดู ว่ากันว่ามีเพียงท่านเจ้าสำนักเท่านั้นที่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะขอพบท่านเจ้าสำนักจะได้ไหม?”
ใบหน้าของหลี่หวู่หยวน เปลี่ยนไปดั่งเมฆที่ไม่ชัดเจนราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังรบกวนจิตใจของเขา
“เบาะแสที่อยู่ของท่านเจ้าสำนักนั้นไม่แน่นอน แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ได้อยู่ในอาณาจักรมังกรเร้นกาย”หลี่หวู่หยวน กล่าวช้าๆ
มีร่องรอยของความผิดหวังบนใบหน้าของ ลั่วอู๋
“เจ้ากลับไปก่อนก็แล้วกัน” หลี่หวู่หยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าจะพยายามติดต่อท่านเจ้าสำนักให้เจ้าเอง”
ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอ
เหมือนพูดคุยกันเรียบร้อย ลั่วอู๋ ก็ถูกส่งตัวออกจากห้องโถงหลิงหยานในทันที
……
……
ประตูของสำนักเฉียนหลงเปิดออก
นักเรียนทุกคนต่างออกจากสำนักเฉียนหลงด้วยความช่วยเหลือของประตูมิติที่สร้างขึ้นโดยทูตเฉียนหลง
หยู่เฮาและกลุ่มคนจากสำนักหม่าเฉินจะกลับไปที่ภูเขาแห้งแล้ง โดยก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ลั่วอู๋ ได้มอบโล่ คริสทัลให้กับหยู่เฮา
จากนั้นลั่วอู๋ก็เดินทางออกจากสำนักเฉียนหลงไปพร้อม หลี่หยิน
ลั่วซง ผู้อาวุโสของสำนักย่อยการปรับแต่งต้องการพา ลั่วอู๋ กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วก่อน แต่ลั่วอู๋ ขอปฏิเสธเพราะเขายังไม่อยากกลับไปที่นั่นในตอนนี้
ลั่วซงทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ดีและไม่ได้ถามอะไรต่อ
ตอนนี้ ลั่วอู๋ พร้อมแล้วที่จะกลับไปยังสำนักโล่พิทักษ์ในมณฑลทางใต้ ยังไงซะมันเป็นทรัพย์สินของเขา และแน่นอนว่ามันคือบ้านของเขา
ทีแรกฉูจงฉวนนั้นจะกลับไปพร้อมกับลั่วอู๋ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้รับจดหมายลับบางอย่างทำให้เขาต้องแยกตัวออกไป
ลั่วอู๋ ถามอย่างสงสัย แต่ฉูจงฉวนปฏิเสธที่จะบอก เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเอง หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหายไปที่ไหน
“เอาเถอะ ยังไงซะ ฉูจงฉวนก็ไม่ใช่คนโง่ เขาคงจะไม่บอก เว้นแต่ว่ามันจะมีเหตุจำเป็น” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “กลับบ้านกันเถอะ หลี่หยิน!”
หลี่หยินพยักหน้าอย่างมีความสุข
มันผ่านมานานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้กลับไปที่นั่น
ตวนซีกลายร่างเป็นม้าผีที่มีคุณสมบัติทั้งรวดเร็วและทนทาน มันแบก ลั่วอู๋และหลี่หยินเดินทางไปยัง มณฑล หมิงหนาน โดยใช้เวลาเพียงแค่วันเดียว มันก็สามารถวิ่งจากเมืองหลวงของจักรวรรดิไปถึงมณฑลหมิงหนานได้
มันเร็วมาก เร็วเสียยิ่งกว่าสัตว์วิญญาณที่มีความสามารถบินได้เสียอีก
“ทำไมกัน ? ศาลาไป่หยู่อยู่ที่ไหนแล้ว ?” ลั่วอู๋มองไปที่ถนนอันพลุกพล่านตรงหน้าเขาอย่างสงสัย “ข้ามาผิดที่รึเปล่า?”
ไม่สิ มันไม่ควรจะผิด
ป้ายที่น่าจะเด่นชัดที่สุดบนถนนสายนี้น่าจะเป็นป้ายของศาลาไป่หยู่
แต่เมื่อมองเขามองดูใกล้ ๆ ลั่วอู๋ก็เห็นว่าศาลาไป่หยู่เดิมนั้นถูกปิดไปแล้ว และสำนักโล่พิทักษ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้กลายเป็นร้านค้าที่เจริญที่สุดในถนนทั้งสาย
ตอนนี้สำนักโล่พิทักษ์ ได้ขยายตัวเกือบสิบเท่าจากร้านเดิม ร้านนั้นใหญ่โตโอ่อ่าและการตกแต่งภายในก็หรูหราและสวยงาม และทำให้ผู้คนที่เข้ามารู้สึกสะดวกสบาย
มีคนหลั่งไหลเข้าร้านไม่ขาดสาย
มันมีขนาดนี้ใหญ่กว่า ศาลาไป่หยู่ในตอนแรกด้วยซ้ำ
หลี่หยินสับสนในความคิดของนาง “นายน้อยที่นี่คือสำนักโล่พิทักษ์จริง ๆ งั้นเหรอเจ้าคะ ?”
“ ถ้าเราไม่โง่พอที่จะกลับบ้านผิดทาง ก็แสดงว่าเสี่ยวชาและอาฟู ทำผลงานได้ดีมาก” ลั่วอู๋บ่นพึมพำ
ในตอนแรกพวกเขาเป็นเพียงแค่คนงานตัวเล็ก ๆ สองคน แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถบริหารร้านให้เจริญได้ถึงระดับนี้ ดูเหมือนว่าการอบรมโดยเจ้าของร้านเก่านั้นจะไม่ได้ไร้ผล
ใบหน้าของลั่วอู๋เต็มไปด้วยความสุข “กลับบ้านกันเถอะ!”
ผู้คุ้มกันนอกสำนักโล่พิทักษ์ ล้วนเป็นคนใหม่ ดูเหมือนว่าทีมคุ้มกันคมมีดนั้นเพิ่มสมาชิกใหม่ขยายกองกำลังขึ้นมามาก ซึ่งแน่นอนว่าคนใหม่เหล่านี้ไม่รู้จักลั่วอู๋
ทันทีที่ลั่วอู๋เดินเข้าไปในร้านคนงานก็รุดเข้ามาหาเขา “นายท่าน ข้าจะทำอะไรให้ท่านได้บ้าง?”
“คนงานใหม่งั้นเหรอ?” ลั่วอู๋มองมาที่เขา
“ข้าอยู่ในสำนักโล่พิทักษ์มาสามเดือนแล้วขอรับ ท่านเป็นลูกค้าประจำรึเปล่า บอกสิ่งที่ท่านต้องการมาได้เลย ข้าจะทำให้แน่ใจว่าท่านพึงพอใจกับบริการของเรา”
“ฮ่า ฮ่า” “ข้ากำลังมองหาเจ้าของร้านของเจ้าน่ะ” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
ชายคนนั้นตะลึง “ข้าเกรงว่าจะสนองความต้องการนั้นไม่ได้เพราะเจ้าของร้านใหญ่นั้นไม่อยู่ ส่วนเจ้าของร้านคนที่สองเองก็ไม่ว่าง ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีเวลามาดูแลท่านได้ ข้าจะทำอะไรให้ท่านได้บ้างขอรับ? สะดวกฝากข้อความรึเปล่าขอรับ?”
“ข้าชื่อลั่วอู๋ ไปบอกเขาว่าข้ากลับมาแล้ว” ลั่วอู๋กล่าวอย่างเงียบ ๆ
“ตกลงขอรับ ขอเวลาสักครู่ … ” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายคนนั้นแข็งขึ้นในทันที จากนั้นใบหน้าของเขาก็ตื่นเต้นและเปลี่ยนเป็นสีแดง “ท่านคือ.. นายน้อยรึเปล่าขอรับ?”
ภาพเหมือนของ ลั่วอู๋ เป็นอะไรที่คนงานใหม่ทุกคนต้องจดจำให้ได้
เมื่อครู่ก่อนเขายังจำมันไม่ได้ แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของลั่วอู๋ใบหน้าของลั่วอู๋ก็ตรงกับภาพในใจของเขาขึ้นมา
นายน้อยคนนี้เป็นเจ้าของสำนักโล่พิทักษ์ที่แท้จริง ชายผู้ดุร้ายที่อาศัยเพียงกำลังของตัวเองสร้างธุรกิจที่สามารถเอาชนะศาลาไป่หยู่และครอบครองธุรกิจที่มีชื่อเสียงทั้งหมดของแดนใต้
“ นายน้อยกลับมาแล้ว!” คนงานชายตะโกน
สำนักโล่พิทักษ์ตกอยู่ในความเงียบงันครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตานับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปทางต้นเสียงและแล้วทั่วทั้งสำนักโล่พิทักษ์ก็เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ
นายน้อยกลับมาแล้ว!